|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ซีไอเอ็มบีไทยตั้งเป้าหวังใช้เครือข่ายช่วยดันบริษัทลูก บลจ.บีที เล็งเป้าสินทรัพย์บริหารหมื่นล้านบาท จากปีที่ผ่านมาเจอกองทุนครบกำหนดทำยอดหดไปเกือบ 3 พันล้าน ช่วงปีที่เหลือเตรียมเข็นอีก 10 กองสู่ตลาด ประเดิมโกลด์ลิงค์ ฟันด์ 5 ออกขายผลตอบแทน 3-4% ต่อปี
สุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นพร้อมสนับสนุนธุรกิจกองทุนของ บลจ.บีทีซึ่งเป็นบริษัทลูกอย่างจริงจัง โดยปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจกองทุนรวมว่า จะมีสินทรัพย์รวม 1 หมื่นล้านบาท และในปี 2553 เพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาท
โดยขณะนี้ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มีฐานลูกค้าเงินฝาก 120,000 ราย มีสาขา 150 สาขา อยู่ในกรุงเทพฯ 100 สาขา และตามหัวเมืองใหญ่อีก 50 สาขา ซึ่งถือว่ากลุ่มคนที่มีเงินที่จะลงทุนเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในเมืองและหัวเมืองใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นในแง่ของเครือข่ายของธนาคารถือว่ามีความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ที่ครบวงจรให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ ธนาคารซีไอเอ็มบี มีนโยบายเน้นฐานลูกค้ารายย่อย โดยจะการให้บริการการเงินแบบครบวงจร โดยธุรกิจจัดการกองทุนของ ซีไอเอ็มบี ในมาเลเซียมีมูลค่าสิน ทรัพย์รวม 2-3 แสนล้านบาท
ขณะที่ เจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านจัดการลงทุน บลจ.บีที กล่าวว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(Asset Under Management: AUM) ของบริษัทเมื่อสิ้นปีที่แล้ว มีประมาณ 9 พันล้านบาท แต่ลดลงมาเหลือ 6 พันล้านบาทในกลางปีนี้ เนื่องจากมีการครบอายุของกองทุนตราสารหนี้และกองทุน FIF ที่ครบกำหนด
ส่วนแผนในครึ่งหลังของปีนี้ จะรุกการออกกองทุนให้มีความหลากหลายครบถ้วนมากยิ่งขึ้นและตั้งเป้าที่จะเพิ่มสินทรัพย์สุทธิปลายปี 2552 ที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท ให้ได้ โดยกองทุนที่จะออกยังคงเน้นไปที่กองทุน Structure Fund ที่มีการคุ้มครองเงินต้นและอ้างอิงผลตอบแทนกับทองคำหรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ซึ่งจะพยายามออกให้ได้เดือนละกอง นอกจากนี้ยังมีแผนจะออกกองทุนหุ้นที่ลงทุนในกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ในกลางเดือนหน้าด้วย โดยจะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนหลักของ CIMB ในมาเลเซีย เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพดีช่วงที่ผ่านมา
"ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงเตรียมแผนการออกกองทุนหุ้นที่ลงทุนในจีนและอินเดียอีก 2 กองทุน ,กองทุนหุ้นที่ลงทุนในดัชนี SET50, กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ด้วย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินของบริษัทมีความหลากหลายและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของกองทุนหุ้นจะทยอยออกในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ ขณะที่กองทุนอสังหาริมทรัพย์อาจจะเป็นช่วงไตรมาสที่ 4 "
ล่าสุด บริษัทได้จัดตั้ง “กองทุนรวมบีที FIF โกลด์ลิงค์ ฟันด์ 5” มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท อายุ 2 ปี เป็นทางเลือกให้นักลงทุนที่พลาดโอกาสจองซื้อพันธบัตรไทยเข้มแข็ง โดยเปิดขายถึงวันที่ 24 ก.ค.นี้ ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท
กองทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากคุ้มครองเงินต้นและปิดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปลงทุนในสกุลเหรียญสหรัฐ โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ในต่างประเทศที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ ขึ้นไป โดยผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำหรือเรียกว่าสตรักเจอร์โน้ต
กองทุนนี้ผลตอบแทนจะอ้างอิงความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในสกุลเงินเหรียญสหรัฐในแต่ละไตรมาส หรือจำนวน 8 งวดในช่วง 2 ปี หากวันสุดท้ายของแต่ละไตรมาสราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบ 0-15% จากราคาทองในวันแรกที่ลงทุนผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามจริงในไตรมาสนั้นๆ จน ครบ 8 ไตรมาสแล้วนำมารวมกัน กองทุนก็จะจ่ายผลตอบแทนคืนให้แก่ผู้ลงทุนเมื่อกองทุนครบอายุ
“หากทุกไตรมาสกองทุนอยู่ในกรอบที่กำหนดจะได้ผลตอบแทน 7.5% ต่อปี หากชนะ 50% จะได้ 3.8% ต่อปี ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่าชนะ 40% ดังนั้นถ้า 2 ปีข้างหน้ากองทุนชนะแค่ 40% ก็จะได้ผลตอบแทน 3% ต่อปี ซึ่งเรามองว่าราคาทองตอนนี้โอกาสชนะ 40-50% มีสูง จึงคาดการณ์ ผลตอบแทนไว้ 3-4% ต่อปี
|
|
|
|
|