Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายวัน21 กรกฎาคม 2552
มิตซูบิชิ เสนอลดภาษีเก๋ง             
 


   
search resources

มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย
Automotive




“มิตซูบิชิ” เสนอรัฐบาลปรับลดภาษีรถเก๋ง ชี้ภาษีสรรพสามิตไทยสูงกว่าต่างประเทศ ที่สำคัญประโยชน์ตกกับผู้บริโภคไม่ใช่บริษัทรถ แนะควรเริ่มจากโครงการอีโคคาร์ก่อน เหตุอัตราภาษี 17% ยังไม่จูงใจให้เกิดความต้องการพอ เผยปีนี้มั่นใจยอดขายเติบโตสวนตลาด ขณะที่ “วัลลภ” ผอ.สถาบันยานยนต์ ค้านค่ายรถที่เจรจาบีโอไอปรับลดเงื่อนไขอีโคคาร์ เหตุเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายได้พิจารณาถึงจุดดีต่างๆ และตกลงรับกันไว้แต่ต้นแล้ว

นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า โครงการอีโคคาร์ของมิตซูบิชิยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีแผนการผลิตตามที่โครงการกำหนดไว้ระหว่างปี 2552-2554 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สามารถตัดสินใจต่างๆ ได้ รวมถึงพิจารณาเรื่องเงื่อนไขการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดหรือไม่

“เงื่อนไขต่างๆ เพื่อขอรับส่งเสริมการลงทุนโครงการอีโคคาร์ โดยเฉพาะเรื่องยอดการผลิต 1 แสนคัน ในปีที่ 5 ขึ้นไป เป็นตัวเลขที่ท้าทายสำหรับบริษัทรถพอสมควร ซึ่งการที่โตโยต้าขอลดตัวเลขลง คงเป็นเพราะสถานการณ์ตลาดทั่วโลกขณะนี้น่าจะเป็นไปได้ลำบาก แน่นอนหากเงื่อนไขตัวเลขการผลิตลดลงก็เป็นการดี แต่ก็ต้องมองภาพรวมอื่นๆ เช่นลดลงแล้วจะสามารถคุ้มทุนต่อการผลิตหรือไม่ ต้องนำพิจารณาประกอบด้วย ดังนั้นในเมื่อเรายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการผลิตชัดเจน จึงยังคงไม่มีเป้าหมายในการไปปรับลดเงื่อนไขใหม่”

นายมูราฮาชิกล่าวว่า แน่นอนการที่รัฐบาลต้องการให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะกำลังผลักดันให้รถยนต์นั่ง หรือเก๋งเป็นโปรดักซ์แชมเปี้ยน จะต้องได้รับการสนับสนุนให้ตลาดเติบโตได้มากกว่านี้ ซึ่งมิตซูบิชิมองว่าภาษีสรรพสามิตของเก๋งปัจจุบัน 25% ขึ้นไป หากเทียบกับต่างประเทศถือว่าสูงมาก

“หากรัฐบาลอยากให้เก๋งขยายตัว ควรจะมีการลดภาษีสรรพสามิตให้ต่ำลง เช่นเดียวกับปิกอัพที่เสียภาษีในอัตราเพียง 3% หรืออย่างอีโคคาร์ที่รัฐบาลต้องการผลักดันให้เป็นโปรดักซ์แชมเปี้ยนในอนาคต หากจะให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องลดภาษีลงมากกว่านี้ ซึ่งอัตราภาษีที่ให้ปัจจุบัน 17% ยังไม่น่าจูงใจเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงมองว่าหากรัฐบาลจะสนับสนุนควรเริ่มที่ลดภาษีอีโคคาร์ก่อน”

ทั้งนี้การที่ลดภาษีสรรพสามิตลง บริษัทรถไม่ได้รับประโยชน์แต่อย่างใด เพราะราคารถยนต์ลดลงจากภาษี จะถูกส่งต่อไปให้กับผู้บริโภคโดยตรง ฉะนั้นผู้ที่ได้รับประโยชน์จึงเป็นผู้บริโภคชาวไทย และเมื่อตลาดมีการขยายมาก รัฐบาลก็จะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีมากขึ้นด้วย

นายมูราฮาชิกล่าวว่า ส่วนเป้าหมายการขายของมิตซูบิชิในไทยปีนี้ ตั้งเป้าไว้ที่ 2.3 หมื่นคัน เติบโตจากปีที่แล้วที่ทำได้ 1.9 หมื่นคัน หรือมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 4% เนื่องจากจะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ โฉมใหม่ ที่จะแนะนำสู่ตลาดช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนส่งออกเป็นไปตามสภาวะตลาดโลก ตั้งเป้าไว้ 1.16 แสนคัน ลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 5 หมื่นคัน

สำหรับการผลิตของมิตซูบิชิ เมื่อต้นปีได้มีการลดกำลังการผลิตลงประมาณ 40% แต่แนวโน้มตลาดปัจจุบันมีการขยายตัวดีขึ้น จึงคาดว่าจะเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตเพิ่มเป็น 2 กะ ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ที่โรงงานแห่งที่ 1 และจะมีการรับพนักงานชั่วคราวกลับมาทำงานประมาณ 1,000 คนในเบื้องต้น หลังจากได้มีการปรับลดพนักงานชั่วคราวลง 1,100 คน และพนักงานประจำสมัครใจลาออกอีกส่วนหนึ่ง รวมทั้งหมดแล้วประมาณ 1,400 คน

นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า จากที่มีรายงานข่าวบริษัทรถยนต์ที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนโครงการอีโคคาร์ จะหารือกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการปรับลดเงื่อนไขอีโคคาร์ โดยเฉพาะในเรื่องกำลังการลิต 1 แสนคันในปีที่ 5 ลงมาให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจและสภาพตลาดปัจจุบัน ซึ่งในส่วนตัวนั้นไม่เห็นด้วย เพราะเป็นเงื่อนไขที่ระบุไว้ตั้งแต่แรก และผ่านการหาข้อสรุปร่วมในการผลักดันอีโคคาร์ออกมา ซึ่งเป็นการการันตีว่าขนาดโครงการลงทุนจะใหญ่ เพียงพออย่างที่รัฐบาลต้องการ ทั้งในแง่เม็ดเงินและส่วนของการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก

ส่วนของเงื่อนไขหลักของอีโคคาร์ มี 4 ประเด็นหลัก คือ อัตราการบริโภคเชื้อเพลิง 20 กิโลเมตรต่อลิตร มาตรฐานไอเสียยูโร4 กำลังการผลิต 1 แสนคันในปีที่ 5 เป็นต้นไป และเม็ดเงินลงทุน 5,000 ล้านบาทต่อโครงการ แต่สิ่งที่ค่ายรถยนต์โดยเฉพาะโตโยต้าต้องการให้รัฐบาลทบทวนคือการลดเป้าหมายการผลิต 1 แสนคันลงมาให้เหมาะสมกับสถานะการตลาด

สำหรับโครงการอีโคคาร์ จะเริ่มให้การสนับสนุนนับตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป โดยมีบริษัทรถยนต์ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 6 ราย ได้แก่ ฮอนด้า, นิสสัน, ซูซูกิ, ทาทา, มิตซูบิชิ และโตโยต้า รวมมูลค่าลงทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทที่เริ่มดำเนินโครงการอีโคคาร์แล้ว คือนิสสันที่จะเปิดตัวรถใหม่ได้ในต้นปี 2553   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us