|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
มองตลาดทุนมีโอกาสจะปรับฐาน ทั้งหุ้น ทอง น้ำมัน แนวโน้มวิ่งต่อยาก แนะพักเงินในกองทุนตลาดเงินความเสี่ยงต่ำ รอดูสถานการณ์ไปก่อน ตั้งท่ารอโอกาสรอบใหม่
ศุภมาศ พยัคพันธ์ นักวิเคราะห์กองทุนรวม บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำ หรือน้ำมันเพราะอยู่ในช่วงที่ตลาดมีโอกาสปรับฐาน จึงควรจะขายลดความเสี่ยงเข้ามาพักเงินไว้ในกองทุนตราสารตลาดเงินก่อนบางส่วนเพื่อรอความชัดเจนและหาโอกาสเข้าลงทุนต่อไป
ภาพใหญ่ของตลาดหุ้นไทยเริ่มมีการอ่อนตัวให้เห็นหลังมีปัจจัยลบมากระทบจากข่าวของสถาบันจัดอันดับเอสแอนด์พีที่อาจจะมีการปรับลดอันดับเครดิตของประเทศไทยจาก BBB+ เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจากการอัดฉีดเงินจากภาครัฐที่ลดลง โดยการส่งออกของไทยในเดือน พฤษภาคม 2552 ลดลง 26.6% กระทรวงพาณิชย์คาดว่า การส่งออกของไทยในปี 2552 จะหดตัว 15-19% นอกจากนี้ทางธนาคารโลกยังออกมาปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกในปีนี้ลงอีก
ด้านราคาน้ำมันดิบก็อ่อนตัวลงจากข่าวนักเก็งกำไรน้ำมันดิบล่วงหน้าในตลาด NYMEX มีการปรับลดสถานะซื้อสุทธิลงเกือบครึ่งหนึ่งในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ราคาทองคำก็ลดลงเช่นกัน หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาประกอบกับมีข่าวว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อาจจะมีการขายทองคำ 400 ตัน ออกมาในตลาด ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อราคาทองคำในระยะนี้ได้ จึงแนะนำให้ชะลอการลงทุนในน้ำมันและทองคำในระยะนี้ออกไปก่อน
ดังนั้นจึงแนะนำพักเงินในกองทุนตราสารตลาดเงินที่มีระดับความเสี่ยงต่ำเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ที่มีอายุเฉลี่ย (Duration) ของตราสารหนี้ที่ลงทุนต่ำและมีสัดส่วนเงินฝากในพอร์ตการลงทุนสูงเพื่อลดความผันผวนที่อาจจะ เกิดขึ้นจากปริมาณการออกพันธบัตรภาครัฐในอนาคต ซึ่งปัจจุบันผลตอบแทนของกองทุนตราสารตลาดเงินโดยเฉลี่ยในอุตสาหกรรมจะอยู่ประมาณ 0.3-1.0%
หากเทียบกับผลตอบแทนของเงินฝากออมทรัพย์ถือว่าดีกว่า และหากจะเทียบกับเงินฝากประจำ 6 เดือน ปัจจุบันเฉลี่ยหลังหักภาษีอยู่ที่ 0.4-0.6% ส่วนเงินฝากประจำ 1 ปี ให้ผลตอบแทนสุทธิหลังหักภาษีไม่ถึง 1.0% ซึ่งจะเห็นว่าผลตอบแทนไม่ต่างกันมากแต่กองทุนตราสารตลาดเงินได้เปรียบกว่าในเรื่องของสภาพคล่องซึ่งเหมาะที่จะพักเงินเพื่อรอจังหวะลงทุนต่อไป
“แนวโน้มของดอกเบี้ยเงินฝากในตลาดยังมีโอกาสจะปรับลงได้อีก โดยมุมมองของนักวิเคราะห์ในตลาดส่วนใหญ่มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ยังมีโอกาสจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (R/P 1 วัน) ลงได้อีก 0.25% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
เรายังแนะนำผู้ฝากเงินลงทุนในกองทุนต่างประเทศประเภท Locked-in fund ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ทั้งหมด เพราะผลตอบแทนของกองทุนประเภทนี้ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากการลดภาษีดอกเบี้ยหัก ณ ที่จ่ายของรัฐบาลเกาหลีใต้ โดยพันธบัตรอายุประมาณ 1 ปี ให้ผลตอบแทนประมาณ 3% กว่า ซึ่งดีกว่าผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝากประจำในประเทศไทยมากพอสมควร
|
|
|
|
|