|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
คาดผลประกอบการณ์ บล.ไตรมาส 2 ออกมาดี เหตุมีภาวะตลาดเป็นใจหนุนให้พอร์ตลงทุนมีกำไร แถมมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันก็เพิ่มด้วย มองปีนี้ทั้งกลุ่มโตได้ 5-6%
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูโอบี เคเฮียน(ประเทศไทย) ประเมินว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2552ของกลุ่มบล.จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2552 เนื่องจากปริมาณการซื้อขาย(วอลุ่ม)ในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2552มีวอลุ่มเฉลี่ยเพียง 8.8 พันล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2551ด้วย เพราะมีวอลุ่มเพียง 2 หมื่นล้านบาทต่อวันเท่านั้น
โดยบล.ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิโดดเด่น คือ บล.เคจีไอ (KGI),บล.ภัทร ( PHATRA) และ บล.เอเซียพลัส (ASP) เพราะทั้ง 3 บริษัทมีพอร์ตลงทุนของบริษัทซึ่งเป็นเม็ดเงินจำนวนมากและในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30% หรือเฉลี่ยวอลุ่มสูงสุดที่ 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ส่งผลให้พอร์ตเพื่อการลงทุนของบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วน บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (KEST) ก็ยังเป็นบริษัทที่มีกำไรสุทธิสูง แต่เนื่องจากบริษัทมีพอร์ตลงทุนเพียง 100 ล้านบาท ทำให้การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิไตรมาสนี้เป็นการเพิ่มขึ้นตามวอลุ่มตลาดเท่านั้น อย่างไรก็ตามยังเชื่อกำไรสุทธิไตรมาส 2/2552ของกลุ่ม บล.จะไม่ใช่ไตรมาสที่มีกำไรสุทธิสูงที่สุด เพราะเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้กำไรสุทธิของกลุ่ม บล.เพิ่มขึ้นต่อเนื่องด้วย
เพราะฉะนั้นมองว่ากำไรสุทธิในปีนี้ของกลุ่ม บล.จะเพิ่มขึ้น 5-6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หลังจากมองว่าวอลุ่มเฉลี่ยทั้งปีที่น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.7 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากทั้งปีที่ผ่านมามีวอลุ่มเฉลี่ยเพียง 1.6 หมื่นล้านบาทต่อวัน อีกทั้งการขยายพอร์ตลงทุนของ บล.ในช่วงที่ตลาดหุ้นขาขึ้นนั้นได้ส่งผลให้กำไรสุทธิของกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
คาดว่ากำไรสุทธิทั้งปีของกลุ่ม บล.มีดังนี้คือ KEST น่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 615 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 534 ล้านบาท, PHATRA น่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่207 ล้านบาท, ASP น่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 302ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 210 ล้านบาท
ขณะที่ บล.บัวหลวง (BLS) น่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 190 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 136 ล้านบาท และ บล.ซีมิโก้ (ZMICO) น่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 119 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 173.5 ล้านบาท ส่วน KGI มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 118 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 187 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 1/2552 ขาดทุนจากพอร์ตลงทุนส่งผลให้ไตรมาส 1/2552 มียอดขาดทุนสุทธิ 59 ล้านบาท
'การที่ KGI มีความเชี่ยวชาญการลงทุนด้านตลาดอนุพันธ์ (TFEX) และมีมาร์เก็ตแชร์ที่สูงที่สุดในกลุ่มทำให้มีความเป็นไปได้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทอาจจะมีรายได้จากธุรกิจ TFEX เข้ามากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปีเติบโตกว่าที่ฝ่ายวิจัยประมาณการณ์ไว้ก็เป็นไปได้'
ด้าน บล.ขนาดเล็กที่มีการควบรวมกิจการอย่าง ZMICOกับ KTBS และ ระหว่าง SYRUS, ACLSและ FNS ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่ากำไรสุทธิทั้งปีจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ตามต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการภายในของแต่ละบริษัทด้วยว่าจะออกมาในทิศทางใด
สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่ม บล.ในช่วงนี้ แนะนำ 'เก็งกำไร' เพราะเป็นช่วงที่หุ้นมีความผันผวนตามภาวะตลาดโลก อีกทั้งยังเชื่อว่าก่อนประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2552จะเริ่มมีนักลงทุนเข้ามา 'เก็งกำไร' หุ้นอย่างหนาแน่น แนะนำ 'เก็งกำไร' KEST ที่ราคาเหมาะสม 16.60 บาท, PHATRA ที่ราคาเหมาะสม 23.60 บาท และ ASP ที่ราคาเหมาะสม 2.45 บาท
|
|
 |
|
|