Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์13 กรกฎาคม 2552
ไทยรับพ่าย FTA 'จีน-ญี่ปุ่น' ดุลการค้าดิ่งหัว-เกษตรฯอ่วม.!             
 


   
search resources

FTA




เปิดแผล FTA ไทย 8 ฉบับ เฮ 6 เสีย 2 โดยเฉพาะ 'ยุ่น-จีน' ที่ไทยใช้สิทธิประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ สินค้าเกษตรฯไทยอ่วมหนัก-สินค้านอกทะลักตีตลาดในประเทศ ขณะที่ส่งออกหลุดเป้าเหตุเจอการกีดกันการค้าต่างๆนานา ส่วน ก.พาณิชย์ทำได้แค่แนะผู้ประกอบการเข้ารับการช่วยเหลือจากกองทุนฯ

หากพูดถึงการค้าเสรีหรือ FTA (Free Trade Area) ไทยได้มีการลงนาม และได้มีผลบังคับใช้ไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 8 ฉบับ ประกอบ ด้วย ไทย-อาเซียน ,ไทย-ออสเตรเลีย, ไทย-นิวซีแลนด์, ไทย-อินเดีย ,ไทย-ญี่ปุ่น,อาเซียน-จีน,อาเซียน-เกาหลี,อาเซียน-ญี่ปุ่น และกำลังเจรจาอยู่อีกหลายฉบับอาทิ อาเซียน-แคนาดา อาเซียนยุโรป อาเซียน-อินเดีย เป็นต้น

หากนับตั้งแต่ฉบับแรกคือไทยอาเซียนหรือ AFTA เริ่มตั้งแต่ปี 2535 ก็ผ่านไปกว่า 17 ปี แล้วแน่ละในการค้าระหว่างคู่เจรจาด้วยกันมักจะได้ยินเสมอกับคำว่ามีได้-มีเสียในทุกฉบับแต่ที่กำลังเกิดช่องโหว่ทางการค้าอย่างรุนแรงเห็นจะเป็น 2 ฉบับคือ ไทย-ญี่ปุ่น และอาเซียน-จีน 2 มหาอำนาจทางการค้าที่ไทยเสียเปรียบดุลการค้าเสมอมา

นายกฯรับลงนาม FTA ไร้ทิศทาง

ล่าสุดในงานสัมมนา'นโยบายและทิศทางการค้าเสรีของไทย' จัดโดยคณะกรรมาธิการ(กมธ.)เศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม วุฒิสภา ซึ่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอย่างตรงไป-ตรงมาถึงข้อบกพร่องการในลงนามในอดีต และทิศทางการค้าเสรีของไทยในอนาคตโดยสรุปว่า

'การค้าจะเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมต้องมาจากความเป็นธรรมควบคู่ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ที่ผ่านมาไทยได้ทำเอฟทีเอและอยู่ระหว่างการเจรจาเอฟทีเอกับหลายประเทศ แต่การเจรจาทำเอฟทีเอในอดีตของไทยยังขาดยุทธศาสตร์ในภาพรวม ไม่มีการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง แต่ทำกันตามความสะดวก และต้องประเมินถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วนเพื่อเตรียมมาตรการล่วงหน้าด้วย'

ขณะที่ความเห็นจากภาคเอกชนอย่าง 'ดร. นิลสุวรรณ ลีลารัศมี' รองเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงการลงนาม FTA ที่ผ่านมาว่า FTA ฉบับแรกของไทยต้องย้อนไปกว่า 17 ปีผ่านมาคือไทยลงนามฉบับแรกในปี 2535 คือการลงนามเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ซึ่งได้สร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้าของไทยอย่างมากในรอบ 17 ปีที่ผ่านมาคือเพิ่มมากขึ้นกว่า 4 เท่าจากที่ส่งออกเพียง 400 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2535 ซึ่งการเป็นผลต่อดีต่อการค้าของไทยอย่างแน่นอน และในปีหน้า (2553) จะเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (AEC) จะมีการเริ่มทยอยลดภาษีเหลือ 0% ในกลุ่มอาเซียนด้วยกันในสินค้าหลายรายการซึ่งภาคเอกชนไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือให้ดี

แฉ FTA 'ญี่ปุ่น-จีน' ได้เปรียบไทยอื้อ .!

นอกจากนี้แล้วต้องยอมรับว่าการลงนาม FTA ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการได้รับผลกระทบพอสมควรเพราะไม่ได้เตรียมตัวรับมือไว้ก่อนทำให้ผู้ประกอบการบางรายต้องเลิกกิจการหรือกว่าจะปรับตัวได้ใช้เวลานานพอสมควรทำให้ผู้ประกอบการไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปเมื่อข้อตกลงการค้าเสรีมีกับคู่เจรจามีผลบังคับใช้

'ต้องเข้าใจว่าการลงนาม FTA มีได้-มีเสียแน่นอนและตัวอย่างที่ดูได้ชัดเจนที่สุดคือดุลการค้าระหว่างกันซึ่งไทยได้ลงนาม FTA ไปทั้งหมด 8 ฉบับตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบันโดยดุลการค้าได้สะท้อนออกมาคือไทยได้เปรียบ 6 ฉบับแต่เสียเปรียบ 2 ฉบับแต่ฉบับที่เสียเปรียบ FTA ไทย-ญี่ปุ่น,อาเซียน-จีน ซี่งเป็นมหาอำนาจทางการค้าทำให้ดุลการค้าที่เสียเปรียบมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอย่างกว้างขวาง'

โดยกรอบข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มีการเปิดการค้าและการเจรจาควบคู่กันไปโดยในส่วนแรกได้ตกลงให้เปิดการค้าสินค้าในพิกัด 01-08 ได้แก่สัตว์และพืชที่ได้จากธรรมชาติ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2547 เป็นไปต้นมาโดยจีนและอาเซียนเดิม 6 ประเทศลดภาษีลดลงเหลือ 0 % ในปี 2549 และอีก 4 ประเทศใหม่ในปี 2553 ส่วนกรอบการการค้าบริการและการลงทุนอยู่ระหว่างการเจรจา

สินค้าเกษตรจีนทะลักเข้าไทย

ในการเปิดการค้าเสรีดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรของไทยเพราะก่อนหน้านี้ไทยได้ลงนามข้อตกลงเร่งรัดภาษีระหว่างกันในรายการสินค้าการเกษตรทั้งสิ้น 116 รายการตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 ( Early Harvest : EH) ทำให้สินค้าเกษตรของไทยทะลักเข้ามาในประเทศไทยอย่างมากอาทิ กระเทียม หัวหอม แอปเปิ้ล สาลี่ แครอท ที่มีราคาถูกกว่าเพราะต้นทุนที่ต่ำกว่าทำให้สินค้าเกษตรกรไทยไม่สามารถแข่งขันได้

ขณะเดียวกันการส่งออกสินค้าการเกษตรไทยกลับมีภาระที่ยุ่งยากมากกว่าเพราะสินค้าเกษตรไทยที่เข้าไปยังตลาดจีนต้องเผชิญปัญหาที่ซับซ้อนแต่ตั้งกฎระเบียบที่ไม่มีความชัดเจน การจัดเก็บภาษีแต่ละมณฑลก็แตกต่างกัน การกระจายสินค้าที่ล่าช้าทำให้สินค้าการเกษตรกว่าจะถึงที่หมายก็เกิดการเน่าเสีย ประกอบกับผู้ประกอบการไทยยังเจอการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีอาทิ ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำของผู้นำเข้าตั้งไว้สูงถึง 1.5 ล้านบาท (500,000หยวน) ขณะที่ทางการไทยกำหนดไว้เพียง 500,00บาทเท่านั้น , ด้านสุขอนามัย ต้องมีใบอนุญาต QIP และรับรองมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร

นอกจากนี้แล้วการนำเข้าสินค้าเกษตรจากจีนยังมีการลักลอบนำเข้าจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมาและไม่มีปรากฏในการบันทึกสถิติของราชการทำให้ตัวเลขดุลการค้าที่สินค้าเกษตรไทยยังได้เปรียบยังไม่ถูกต้องและแม่นยำทำให้ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ อีกทั้งเมื่อเทียบกับความสามารถในการแข่งขันแล้วเกษตรกรไทยยังมีขีดความสามารถที่น้อยกว่าด้วย ประกอบกับอำนาจในการต่อรองกลุ่มเกษตรกรยังมีบทบาทน้อยในการกำหนดบทบาทของภาครัฐบนเวทีเจรจาการค้าเสรีต่างๆ

ส่วนข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) นั้นมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อ 1 พ.ย. 2550 ที่ผ่านมา และล่าสุดความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมาทำให้การค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นได้รับการจับตาอย่างมาก โดย JTEPA ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายลด/ยกเลิกภาษีนำเข้ามากกว่า 90% ทั้งสินค้าและมูลค่าการนำเข้า ทั้งออกมาตรการปกป้องทั้ง 2 ฝ่ายในกรณีลด/ยกเลิกภาษีที่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศด้วย โดยสินค้าที่ญี่ปุ่นลดภาษีเหลือ 0% สินค้าจากกุ้ง ผลไม้ต่างๆ อาทิ ทุเรียน มะละกอ มะม่วง มังคุด ผลไม้แช่เยือกแข็ง ผักและผลไม้แปรรูป ส่วนสินค้าที่ไทยลดให้แก่ญี่ปุ่นเหลือ 0% ทันทีได้แก่ ผลไม้ประเภทแอปเปิ้ล ลูกเบอร์รี่ต่างๆ

ญี่ปุ่นข้องใจแหล่งกำเนิดสินค้าไทย

อย่างไรก็ดีการส่งออกสินค้าไปยังญี่ปุ่นยังมีปัญหาใน 3กลุ่มสินค้า 1. ทูน่ากระป๋อง เพราะยังไม่สามารถใช้สิทธิทางภาษีได้ เนื่องจากไม่ได้มีถิ่นกำเนิดสินค้าตามเกณฑ์ที่กำหนดซึ่งยังต้องมีการเจรจาเพื่อหาช่องทางในอนาคต 2. สินค้าเหล็กไทยที่ไทยกำหนดสินค้าโควตานำเข้าปลอดภาษี เพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ยังนำเข้าไม่ได้ เนื่องจากต้องการรอการแก้ไขประกาศกระทรวงการคลังรอระหว่างครม.พิจารณา 3. สินค้าที่ไทยมีศักยภาพบางตัวแต่ญี่ปุ่นไม่ได้เปิดตลาดให้ เช่น อุตสาหกรรมน้ำตาล

'นันทวัลย์ ศกุนตนาค' อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศอธิบายว่า ขณะนี้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการควรศึกษาในรายละเอียดของความตกลง AJCEP และความตกลง JTEPA ว่ามีพันธกรณี ข้อบังคับ และสิทธิประโยชน์แตกต่างกันอย่างไร รวมถึงกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ขั้นตอนหรือกระบวนการในการขอรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว เนื่องจากผู้ประกอบการไทยมีทางเลือกในการส่งออกไปญี่ปุ่นภายใต้ความตกลงการค้าเสรีถึงสองฉบับ ซึ่งความตกลงแต่ละฉบับจะมีความแตกต่างและเหมาะสมกับผู้ประกอบการไม่เหมือนกัน

'พาณิชย์.-เกษตรฯ'ตั้งกองทุนอุ้มผู้ประกอบการฯ

ส่วนมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย 'อัญชนา วิทยาธรรมธัช' อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบายเพิ่มเติมว่า ต้องแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.ส่วนที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมและบริการ 2. ส่วนของกระทรวงเกษตรต้องเข้ามาช่วยเหลือคือขั้นการผลิตของเกษตรกร โดยการช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2550 ม.190 วรรค 4 ที่กำหนดให้ครม.ต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก FTA อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม

ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งกองทุนตั้งแต่ปี 2550 โดยครม.อนุมัติงบประมาณสนับสนุนปี ละ 100 ล้านบาทในระหว่างปี 2550-2551 แต่ในปี 2552 ได้รับอนุมัติเพียง 40 ล้านบาทโดยมียอดเงินสนับสนุนทั้งสิ้น 240 ล้านบาทและที่ผ่านมามียอดโครงการขอความช่วยเหลือเพียง 17 โครงการเท่านั้น

ขณะที่สำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับอนุมัติงบประมาณในระหว่างปี 2549-2550 จำนวน 300 ล้านบาทแต่มีการเบิก-จ่ายจริงเพียงแค่ 4,030,601 ล้านบาทเท่านั้น

ซึ่งผู้ประกอบการที่จะได้รับการเยียวและแก้ไขจากกระทบ FTA สามารถยื่นขอรับการเยียวยาในกระทรวงที่ตัวเองเกี่ยวข้องด้วยแต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือผู้ประกอบการยังรู้จักกองทุนช่วยเหลือน้อยมาก และยังอยากต่อการเข้าถึงเพราะยังไม่รู้ขั้นตอนในการขอรับการช่วยเหลือดังกล่าว

ยืนยันไทยยังถูกกีดกันการค้า

ด้านมุมมองของสภาหอการค้าไทยที่มีสมาชิกกว่า 26,000 คนและกว่า 130 สมาคมการค้า 'ปิยะนุช มาลากุล ณ อยุธยา' ผู้แทนสภาหอการค้าไทยมองว่า การลงนาม FTA ที่ผ่านมาผู้ประกอบการไทยยังไม่สามารถใช้สิทธิพิเศษในการส่งออกสินค้าได้อย่างเต็มที่เพราะยังมีการกีดกันการค้าของไทยอยู่เสมอๆ ขณะเดียวกันยังมีสินค้าจากภายนอกมาตีตลาดในประเทศจำนวนมากทำให้ผู้ประกอบการไทยลำบากมาก ซึ่งประเทศไทยต้องวางโครงสร้างภาษีใหม่ในการนำเข้าสินค้าการเกษตร และอุตสาหกรรมที่เราต้องการปกป้องไว้ เหมือนประเทศอื่นๆที่ต้องการปกป้องตลาดภายในของตัวเอง

อีกทั้งกองทุนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือต้องครอบคลุมทุกอาชีพทีได้รับผลกระทบ และให้ง่ายต่อการเข้าถึงและควรสร้างองค์กรขึ้นมาติดตามผลกระทบที่เกิดจาการทำข้อตกลงการค้าเสรีขึ้นมารับผิดชอบโดยเฉพาะด้วย

NGO ชี้ภาครัฐกลัวตกขบวน.!

ขณะที่ภาคประชาชนโดย'บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์' ผู้แทนจากกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch Group )กล่าวว่า สิ่งภาครัฐยังมองข้ามเสมอๆในการลงนาม FTA คือการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น อย่างรอบด้าน โดยคำนึงเพียงแต่ตัวเลขในการส่งออกคือดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่เคยนำต้นทุนทางด้านสังคม สุขภาพ สิ่งแวดล้อม ไปคำนวณรวมอยู่ด้วย ทำให้การแลกผลประโยชน์ซึ่งกันและกันที่มีได้-มีเสียทำให้ไทยเสียมากว่าได้ทุกฉบับเพราะละเลยต้นทุนเหล่านี้

'ผู้บริหารระดับสูงกลัวกันว่าไทยจะตกขบวนในการลงนาม FTA กับประเทศต่างๆ แต่ไม่เคยคำนึงต้นทุนที่คนไทยต้องสูญเสียว่ามีอะไรบ้าง' ผู้แทน FTA Watch ระบุและว่า ส่วนที่ภาครัฐเคยบอกว่าการแข้ไขและปรับปรุงการลงนามที่ได้กระทำไปแล้วนั้นสามารถทำได้ แต่ในความเป็นจริงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะคู่เจรจา ได้เปรียบในสัญญาอยู่แล้วน้อยมากที่เขาจะยอมแก้ไขดังกล่าวในภายหลัง

การลงนาม FTA 8 ฉบับที่ได้ลงนามไปแล้วคงจะเข้าไปแก้ไขอะไรมากไม่ได้ แต่ในอนาคตหากจะมีการลงนามใดๆอีกควรพิจารณาให้รอบคอบ และคำนึงถึงผู้ได้รับผลกระทบก่อนเป็นลำดับแรก เพราะไม่เช่นนั้นก็เท่ากับว่าการค้าเสรีคือการเปิดพื้นที่ในประเทศให้ต่างชาติเข้ามาขยี้คนไทยถึงบ้านเกิดเมืองนอนแบบถูกต้องตามกฎหมาย..!   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us