บลจ.วรรณ ได้ฤกษ์ไอพีโอ อีทีเอฟกองที่ 3 “TFTSE” เสนอขาย 20-27 ก.ค.นี้ ก่อนเคาะราคา 28 ก.ค. พร้อมเปิดช่องลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท ระบุไม่ทับซ้อน "TDEX" เหตุโครงสร้างต่างกัน เล็งซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ 5 ส.ค. ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทย มองสิ้นปีดัชนี 650 จุด แนะเป็นโอกาสลงทุน ราคาไม่ถูกไม่แพง ขณะที่เก้าอี้เอ็มดี ได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
นายสุริพล เข็มจินดา กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดให้จองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ThaiDEX FTSE SET Large Cap ETF : TFTSE (ที ฟุตซี่) ระหว่างวันที่ 20-27 กรกฎาคม 2552 นี้ โดยกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อไว้ที่ 10,000 บาท และเพิ่มขึ้นทุก 5,000 บาท คาดระดมทุนได้ถึง 400 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนที่สนใจสามารถจองซื้อผ่านทีมผู้จัดตั้งกองทุน TFTSE ได้แก่ บลจ.วรรณ บมจ.หลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) ,บมจ.หลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ,บมจ.หลักทรัพย์ธนชาต ,บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง ,บล.ซิตี้คอร์ป (ประเทศไทย) และบล.ทิสโก้ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการซื้อหน่วยจำนวนมากตั้งแต่ 1 ล้านหน่วยขึ้นไป โดยผู้จองซื้อจะทราบราคาไอพีโอที่แน่นอนในวันที่ 28 ก.ค. 2552 ซึ่งจะใช้ราคาปิดของดัชนี FTSE SET Large Cap ในวันนั้นหารด้วย 100 ได้เป็นราคาไอพีโอต่อหน่วยออกมาเพื่อที่จะให้ TFTSE สามารถสะท้อนราคาของดัชนี FTSE SET Large Cap ได้ดีที่สุด
“สมมติดัชนี FTSE SET Large Cap วันที่ 28 ก.ค. 2552 อยู่ที่ 725 จุด ก็จะได้ราคาไอพีโอที่ 7.25 บาทต่อหน่วย แล้วนำไปคำนวณว่าผู้จองซื้อจะได้หน่วยลงทุนคนละเท่าไร ซึ่งจะมีการตัดเศษให้ลงหลักร้อยเพื่อให้ง่ายเมื่อเข้าไปทำการซื้อขายในตลาดหุ้น โดยเศษที่เหลือบริษัทจะทำการคืนให้กับผู้จองซื้อได้ไม่เกิน 14 วันทำการ”นายสุริพลกล่าว
ทั้งนี้ คาดว่ากองทุนเปิด TFTSE จะสามารถเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ในวันที่ 5 ส.ค. 2552 โดยในเบื้องต้น ตั้งเป้าว่าจะสามารถระดมทุนได้ประมาณ 300-400 ล้านบาท และคาดว่าภายใน 1-2 ปี กองทุน TFTSE จะมีขนาดเติบโตขึ้นเป็นระดับ 1,000 ล้านบาท ได้
สำหรับกองทุน TFTSE ได้จ่ายค่าธรรมเนียมการใช้ข้อมูลดัชนี FTSE SET Large Cap ให้กับบริษัทฟุตซี่ 0.04% ต่อปี ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน ซึ่งถือเป็นมาตรฐานทั่วโลก แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการแทรคดัชนี FTSE SET Large Cap ของบริษัทแต่ประการใด เพราะมีการกำหนด Tracking Error ไว้ที่ระดับ 1.5% ผู้จัดการกองทุนของเราน่าจะบริหารได้เป็นอย่างดี
นายสุริพล กล่าวอีกว่า กองทุน TFTSE จะไม่ทับซ้อนกับกองทุน TDEX แต่ประการใด เพราะโครงสร้างของกองทุนทั้ง 2 กองค่อนข้างแตกต่างกันชัดเจน โดยกองทุน TDEX จะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานมากเป็นอันดับหนึ่ง ในขณะที่กองทุน TFTSE จะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มากเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งจากจุดนี้คงต้องขึ้นกับความชอบของนักลงทุนด้วย เนื่องจากนักลงทุนมีความชอบไม่เหมือนกัน
“หากช่วงไหนที่หุ้นพลังงานเป็นกลุ่มที่นำตลาดขึ้นมาการเข้าลงทุนในกองทุน TDEX น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ในช่วงที่หุ้นกลุ่มแบงก์เป็นกลุ่มนำตลาดการลงทุนในกองทุน TFTSE น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเช่นกัน ตรงนี้คงขึ้นกับความชอบของนักลงทุนเป็นสำคัญ และภายในสิ้นปี2552 นี้ บริษัทอาจจะมีกองทุนอีทีเอฟที่อ้างอิงกับดัชนีอื่นตามออกมาอีกประมาณ 1 กองทุนด้วย” นายสุริพลกล่าว
**มองหุ้นสั้นปีถึง650จุด**
นายพิชัย กิจเพิ่มทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บลจ.วรรณ กล่าวถึงมุมมองตลาดหุ้นว่า บริษัทยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปีนี้และปีหน้า โดยมองว่าดัชนีหุ้นสิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 650 จุด และการปรับฐานที่จะเกิดขึ้น ถือเป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้น โดยเฉพาะเรามองว่าตลาดหุ้นไทยลงมามากเกินไป ซึ่งโดยข้อเท็จจริงตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะลงไปถึงระดับ 380 จุด แต่การปรับฐานในรอบนี้ ถือเป็นเรื่องปกติหลังจากที่ตลาดปรับขึ้นมาเร็วและแรงเกินไปแต่มั่นใจว่าจะไม่หลุดระดับ 500 จุดลงไปแน่นอน
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยที่ระดับราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) 10-11 เท่า คิดเป็นผลตอบแทนต่อปีที่ 10% ถือเป็นระดับดัชนีที่ไม่ถูกและไม่แพงไม่มีเหตุผลอะไรที่ตลาดหุ้นจะปรับลงไปแรงจากระดับปัจจุบัน จึงถือเป็นระดับที่เหมาะสมที่นักลงทุนจะเข้าลงทุนโดยยังมองว่าตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะดีกว่าปีนี้
**ได้ข้อสรุปเก้าอี้เอ็มดีเร็วๆนี้**
นางสุชาดา โสถิภาพกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บลจ.วรรณ ถึงการสรรหาผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบลจ. วรรณ คนใหม่แทน นายสมจินต์ ศรไพศาล ที่ได้แจ้งลาออกไปนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมในการเข้ามาดำรงตำแหน่ง ทั้งจากการทาบทามบุคคลในวงการ และการเปิดรับสมัครผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรจึงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ทั้งนี้บริษัทได้มีการเตรียมการเรื่องดังกล่าวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 เดือน และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ววันนี้
|