Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์6 กรกฎาคม 2552
3กูรูมองหุ้นครึ่งปีหลังผันผวน อย่าเพิ่งแน่ใจเศรษฐกิจฟื้นจริง             
 


   
search resources

ก้องเกียรติ โอภาสวงการ
ศุภวุฒิ สายเชื้อ
Stock Exchange
ไพบูลย์ นลินทรางกูล




3 กูรูประเมินหุ้นครึ่งปีหลังยังผันผวน เหตุภาพรวมยังไม่มีความชัดเจนว่าจะฟื้นได้จริง โอกาสถูกเทขายทำกำไรยังมีอยู่ ประเมินเคลื่อนไหวในกรอบ 550-600 จุด

ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ ประเมินว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีความผันผวน โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ที่ดัชนีมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ความไม่ชัดเจนว่าจะสามารถฟื้นได้จริง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยในอนาคตที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการที่รัฐบาลหลายประเทศยังคงมีแผนจะกู้เงินและการออกพันธบัตรเพื่อประคองสถานะประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ เพราะฉะนั้นมีโอกาสที่หุ้นจะถูกเทขายเพื่อทำกำไรเป็นปัจจัยกดดันอยู่ และจากปัจจัยดังกล่าวเชื่อว่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยด้วย

สาเหตุที่ทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งสภาพคล่องในระบบยังคงมีอยู่มาก อย่างไรก็ตามมองว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในช่วงนี้เป็นการพักฐานหรือไหลเข้ามาเพียงระยะสั้นๆ และมีโอกาสที่ดัชนีจะขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดที่ 630 จุดอีกครั้ง ทั้งนี้คาดว่าปลายปีดัชนีจะแตะที่ระดับ 550 จุด เนื่องจากเชื่อว่าจะมีการเทขายทำกำไรเป็นระยะ เพราะเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน โดยจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจโลกน่าจะเป็นช่วงไตรมาส 4/2552

ทั้งนี้หากมองภาพรวมปัจจุบันถือว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกดูดีขึ้นจากตัวเลขบางตัวมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น แต่ถือว่ายังอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะยังมีความผันผวน ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่มีความชัดเจนว่าจะฟื้นตัวอย่างแท้จริงหรือไม่ จึงต้องจับตาฐานะสถาบันการเงินสหรัฐว่าจะมีความมั่นคงขึ้นมากน้อยแค่ไหน และจะเริ่มปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ภาคธุรกิจในระยะต่อไปได้หรือไม่ หากไม่สามารถดำเนินการได้ความคาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืนคงเป็นไปไม่ได้

หากเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะปรับตัวลดลงได้อีกรอบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่มีโครงสร้างอิงอยู่กับเศรษฐกิจต่างประเทศ เพราะไทยมีการส่งออกไปยังต่างประเทศสูงถึง 70% ของจีดีพี และท่องเที่ยว 10% อีกของจีดีพี หากเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นเศรษฐกิจไทยก็ฟื้นลำบาก และยังขึ้นกับว่ารัฐบาลจะสามารถผลักดันโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน

ส่วนสถานการณ์การเมืองขณะนี้มีความเสี่ยงมากขึ้นกว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนรัฐบาล เพราะจะเกิดความกังวลมากขึ้น และหากไม่มีรัฐบาลมาผลักดันโครงการต่างๆ ให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เป็นช่วงตกต่ำมาก จะทำให้ทุกอย่างชะงักทันที ส่วนแผนการออกพันธบัตร 5 หมื่นล้านบาทคงไม่มีปัญหา เพราะสภาพคล่องในระบบมีมาก ซึ่งมองว่าในระยะต่อไปอัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงจากการที่รัฐบาลทั่วโลกออกพันธบัตรจำนวนมากเพื่อนำเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจ

ด้าน ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นหรือลงประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ ราคาน้ำมัน ทิศทางค่าเงินดอลลาร์ และ ตลาดหุ้นเอเชีย อย่างไรก็ตาม ภายใต้ปัจจัยที่ยังไม่ชัดเจนในการฟื้นตัวจริงของเศรษฐกิจสหรัฐการลงทุนที่ดีควรที่จะกระจายการลงทุนประเภทอื่นนอกเหนือจากการถือเงินสดและหุ้น เช่น ทองคำ น้ำมัน หุ้นในต่างประเทศ อย่างตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิค เป็นต้น

"ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าสะท้อนการปรับตัวรับข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วที่ปรับขึ้นกว่า 40% และเท่าที่ดูปัจจัยพื้นฐานการปรับขึ้นที่ผ่านมาก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเพราะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยไม่ได้ฟื้น แต่กลับเป็นการปรับขึ้นจากราคาน้ำมันและค่าเงินที่อ่อนค่าลงมากกว่า"

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะติดลบ 3.3% โดยไตรมาส 2/2552และ 3/2552ยังมีตัวเลขติดลบแต่จะปรับตัวดีขึ้น และเริ่มพลิกกลับมาเป็นบวกในไตรมาส 4/2552ประมาณ 1-2% พร้อมทั้งประเมินว่าในปีหน้าเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะเติบโต 3.5% จากปัจจัยสำคัญคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ระยะยาวมาตรการดังกล่าวอาจไม่ได้ส่งผลอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามภาคการส่งออกที่ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากมีสัดส่วนสูงถึง 65% ของจีดีพี ซึ่งผู้ประกอบการวควรมีการปรับปรุงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจโดยการสร้างตลาดการส่งออก รวมถึงรัฐบาลควรมีมาตรการที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดส่งออกได้ ขณะที่กระแสความแบ่งแยกทางการเมือง ซึ่งถือเป็นปัญหาแม้ที่ผ่านมาจะมีการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ก็ยังไม่สามารถช่วยแก้ปัญหา

"สิ่งที่ต้องติดตามซึ่งหากเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวกลับมา เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่เติบโตตามทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจโลกจากในอดีตในปี 1987-1994 เศรษฐกิจของไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 9% สูงกว่าเศรษฐกิจโลกที่เติบโต 3% แต่เมื่อปี 2549 อัตราเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้มีทิศทางเติบโตน้อยกว่าเศรษฐกิจโลก โดยเศรษฐกิจไทยเติบโตที่ 4.2% ขณะที่เศรษฐกิจโลกเติบโต 4.5%"

ด้าน ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แมัที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 40% แต่ก็ยังอ่อนไหวต่อปัจจัยที่เข้ามากระทบ โดยเชื่อว่าดัชนีจะปรับตัวลดลงอีกครั้ง แต่ในช่วงสั้นให้พิจารณาจากงบไตรมาสมาส 2 ซึ่งจะเป็นตัวชี้ชะตาในช่วงสั้น

ทั้งนี้ในส่วนอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้เฉลี่ยจะอยู่ที่ 53% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ติดลบ 27% เนื่องจากปีก่อนได้รับผลกระทบจากธุรกิจน้ำมันขาดทุนจากสต็อกในปลายปี แต่ขณะนี้ได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และประเมินในปีหน้า EPS จะเติบโตประมาณ 12%

หากประเมิน EPS เฉลี่ยกลุ่มในปีนี้ฝ่ายวิจัยมองว่ากลุ่มที่ให้กำไรสูงสุด 10 อันดับแรก คือ กลุ่มพลังงาน 82% , กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 60% , กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 52% , กลุ่มสื่อสาร 41% , กลุ่มสถาบันการเงิน 31%,กลุ่ม ICT 18%, กลุ่มบันเทิง 17% ,กลุ่มอาหาร 10% ,กลุ่มโรงพยาบาล 5% และกลุ่มท่องเที่ยว 3%

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาว ให้มองหุ้นที่มีการเติบโตสูง ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับต้องมีการพิจารณาจังหวะการลงทุนให้เหมาะสม โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางมีความน่าสนใจมีพื้นฐานดี ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้นมองว่าน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 550-600 จุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us