พลาสม่าทีวีเนเวอร์ดาย ซัมซุง จับมือเมเจอร์ เจาะคอหนังโรง ดูหนังแผ่นที่บ้าน จัดกิจกรรมดูหนังมาราธอน พร้อมโปรโมตพลาสม่าทีวี 63 นิ้ว ขณะที่แอลจีรุกตลาดพลาสม่าทีวีจอเล็ก เจาะเซกเมนต์ใหญ่ 32 นิ้ว ส่วนพานาโซนิค ส่ง 65 นิ้วขย่มซัมซุง หลังจากที่ก่อนหน้านี้โปรโมตพลาสม่าทีวีจอยักษ์ 103 นิ้ว ราคา 3-4 ล้านบาท เจาะตลาดองค์กร
ตลาดจอแบนบาง หรือ Flat Panel Display ที่ประกอบด้วย พลาสม่าทีวี และแอลซีดีทีวี เป็นตลาดที่มีอัตรการเติบโตที่สูง โดย 3-4 ปีที่แล้ว เป็นยุคเริ่มต้นของตลาดจอแบนบาง ซึ่งพลาสม่าเข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่าเนื่องจากมีราคาถูกกว่าแอลซีดีทีวี 2-3 เท่า แต่เมื่อหลายค่ายหันมาให้ความสำคัญกับแอลซีดีทีวี จึงมีกระแสโปรโมต สร้างการรับรู้จนผู้บริโภคหันมาให้ความเชื่อถือเทคโนโลยีแอลซีดีทีวี จนเกิด Economy of Scale ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง จนมีสัดส่วนในตลาดสูงกว่าพลาสม่าทีวี
โดยแอลซีดีทีวี 32 นิ้ว ถือเป็นตัวพลิกตลาดแฟลตพาเนลทีวีจากยุคของพลาสม่ามาสู่ยุคของแอลซีดีทีวี อีกทั้งแอลซีดีทีวียังสามารถลบข้อจำกัดทางเทคโนโลยีด้วยการผลิตหน้าจอขนาดใหญ่มาชนกับพลาสม่า ส่งผลให้เส้นแบ่งทางเทคโนโลยีที่เคยถูกจำกัดอยู่ที่หน้าจอขนาด 37 นิ้ว ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 50 นิ้ว ซึ่งปัจจุบันแอลซีดีทีวีที่มีขนาดเกิน 50 นิ้วจะมีราคาแพงกว่าพลาสม่าทีวี เมื่อเทียบกับช่องว่างของราคาที่หน้าจอขนาดเล็ก จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ค่ายผู้ผลิตพลาสม่าส่วนใหญ่ขยับขึ้นไปผลิตจอที่มีขนาดใหญ่กว่า 50 นิ้ว ทว่าตลาดทีวียิ่งจอใหญ่ยิ่งมีราคาแพง กลุ่มลูกค้าจึงค่อนข้างจำกัด
ทั้งนี้ จุดเด่นของพลาสม่าทีวีคือการให้แสงสว่างที่พอเหมาะ ไม่จ้าเกินไปเหมือนแอลซีดีทีวี ประกอบกับโมชั่นพิกเจอร์ หรือความคมชัดของภาพเคลื่อนไหว ส่งผลให้พลาสม่าทีวีถูกโปรโมตไปสู่กลุ่มคนที่รักการชมภาพยนตร์เพราะให้อรรถรสที่เทียบเคียงกันได้ ล่าสุด ซัมซุง ผนึก เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จัดกิจกรรมดูหนังมาราธอน Samsung Plasma Movie Guru Marathon 2009 @ Major Cineplex เพื่อสร้างการรับรู้ไปสู่กลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบการชมภาพยนตร์ โดยพยายามสร้างบรรยากาศในการชมพลาสม่าทีวีที่บ้านให้ได้รับอรรถรสเหมือนการชมภาพยนตร์ในโรง ซึ่งผู้แข่งขันนอกจากจะต้องดูหนังมาราธอนในโรงแล้ว ยังมีช่วงหนึ่งของการแข่งขันที่ให้ผู้สมัครได้สัมผัสกับประสบการณ์ในการรับชมภาพยนตร์ผ่านพลาสม่าทีวี 63 นิ้วของซัมซุง ณ Samsung Relax Zone ซึ่งคล้ายกับกิจกรรมดูหนังมาราธอนผ่านพลาสม่าทีวีของพานาโซนิคที่ทำมาก่อนหน้านี้
ซัมซุงลอนช์พลาสม่าทีวี 4 ซีรีส์ ตอบสนองตลาดตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปถึงระดับโปร โดยรุ่นใหญ่สุด 63 นิ้ว มีราคาอยู่ที่ 229,990 บาท ส่วนรุ่นที่ถูกที่สุดคือ 42 นิ้ว ราคา 29,990 บาท ซึ่งพอๆ กับพานาโซนิค ทว่าปัจจุบันแอลซีดีทีวี 42 นิ้ว บางครั้งก็มีการทำโปรโมชั่นแรง โดยเฉพาะแบรนด์จีนที่เคยดัมป์ราคาลงมาอยู่ที่ 19,990 บาท ส่งผลให้ทางอยู่รอดของพลาสม่ารุ่น 42 นิ้ว ที่มีฟังก์ชั่นเบสิกอยู่ได้ลำบาก หากไม่อัปเกรดเทคโนโลยีเพื่อหนีแอลซีดีทีวี
แอลจี ย้อนศร เปิดตลาดพลาสม่าทีวีจอเล็ก
พลาสม่าทีวีที่มีขนาดใหญ่กว่า 50 นิ้ว มีราคาค่อนข้างแพง จึงเป็นการยากที่จะเข้าถึงตลาดโฮมยูส ดังนั้นที่หน้าจอขนาดใหญ่จึงต้องมีการโฟกัสตลาดเป็นพิเศษ เช่นกลุ่มลูกค้าพรีเมียม กลุ่มลูกค้าองค์กรอย่างสถาบันการศึกษา หรือโรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าจะถูกไล่ล่าโดยแอลซีดีทีวีในอนาคต ดังนั้น แอลจีจึงหันมาพัฒนาหน้าจอพลาสม่าทีวีขนาด 32 นิ้ว เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ เนื่องจากปริมาณความต้องการในตลาดแฟลตพาเนลทีวีกว่า 65% เป็นหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ส่วน 42 นิ้ว มีความต้องการ 20% โดยแอลจีใช้กลยุทธ์ด้านราคาในการรุกตลาดพลาสม่าทีวี ซึ่งขนาด 32 นิ้ว จะต่ำกว่าแอลซีดีทีวี 10% ส่วนพลาสม่าทีวีจอใหญ่จะมีราคาถูกกว่าแอลซีดีทีวี 20%
นอกจากนี้แอลจียังพัฒนาพลาสม่าให้สามารถใช้เป็นมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ได้ พร้อมกับมีช่องต่อ USB Port เพื่อให้พลาสม่าทีวีสามารถใช้งานเชื่อมต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นได้เหมือนแอลซีดีทีวี ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มไซเบอร์ได้ เพียงแต่แอลจีมิได้ใช้โอกาสดังกล่าวในการขยายช่องทางจำหน่ายพลาสม่าทีวีสู่ร้านค้าไอที
แอลจีมีการพัฒนา Shop Display ตามจุดขายกว่า 500 แห่ง พร้อมกับเดินสายโรดโชว์ เพื่อเอ็ดดูเคตให้ผู้บริโภครับรู้ถึงจุดเด่นของพลาสม่าทีวี โดยมีการทำแคมเปญ EYE LOVE PLASMA ในปีที่ผ่านมา เพื่อโปรโมตพลาสม่าทีวีตั้งแต่รุ่นราคาถูกไปถึงรุ่นพรีเมียมอย่าง EDGE ที่ดีไซน์หน้าจอด้วยกระจกแผ่นเดียว ซ่อนขอบหน้าจอ ซ่อนลำโพง สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวได้ 150 เฮิรตซ์ ซึ่งดีกว่าแอลซีดีทีวีที่ส่วนใหญ่ปรับปรุงภาพเคลื่อนไหวได้เพียง 100 เฮิรตซ์
พานาฯ ส่งจอยักษ์สร้างกระแส
ในขณะที่พานาโซนิคซึ่งเป็นเจ้าเทคโนโลยีพลาสม่ารายหนึ่งที่ยอมหันมาทำตลาดแอลซีดีทีวีควบคู่ไปด้วย โดยยังคงใช้เส้นแบ่งทางเทคโนโลยีที่ขนาดหน้าจอ 37 นิ้ว แต่ยังคงเน้นพลาสม่าทีวีโดยเน้นที่หน้าจอขนาดใหญ่กว่า 42 นิ้ว โดยมีการทำกิจกรรมโรดโชว์พร้อมนำพลาสม่าทีวี 103 นิ้ว Full HD ราคา 3-4 ล้านบาท มาโปรโมตสร้างภาพลักษณ์
ก่อนหน้านี้พานาโซนิคมีการพัฒนาฟังก์ชั่นการใช้งานของพลาสม่าทีวีด้วยการชูการเชื่อมต่อผ่าน เอสดีการ์ด ซึ่งในกลุ่มภาพและเสียงของพานาโซนิคล้วนมีฟังก์ชั่นในการเชื่อมต่อดังกล่าว ทำให้สามารถใช้งานร่วมกันได้ โดยพลาสม่าทีวีของพานาโซนิคมีการพัฒนาคุณภาพของภาพและเสียงให้ดีขึ้นพร้อมกับชูฟังก์ชั่นเวียร่าลิงก์ หรือการใช้รีโมตพลาสม่าทีวีในการควบคุมการใช้งานพื้นฐานของอุปกรณ์ภาพและเสียงของพานาโซนิคเช่นเครื่องเล่นดีวีดี เครื่องเสียง ชุดโฮมเธียเตอร์ และยังลบจุดอ่อนของพลาสม่าทีวีในเรื่องของความร้อนของหน้าจอให้น้อยลง และการปรับความสว่างให้มากขึ้น พร้อมกับชูประสิทธิภาพของคอนทราสต์เรโชที่มากกว่าแอลซีดีทีวีทั่วไป
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาพานาโซนิคได้จัดกิจกรรม Panasonic Viera Marathon: The World Longest TV Watching การแข่งขันสร้างสถิติการดูทีวีที่ยาวนานที่สุดในโลก เพื่อสื่อสารถึงคอนเซ็ปต์ 'ทีวีคุณภาพ ดูสบายตา' โดยพานาโซนิคใช้งบในการทำตลาดหมวดภาพและเสียง 300 ล้านบาท โดยสื่อสารถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เช่น พลาสม่าทีวีมีคอนทราสต์เรโชสูงถึง 1,000,000:1 หน้าจอลดแสงสะท้อนน้อยลง มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 1 แสนชั่วโมง ส่วนแอลซีดีทีวี ชูเทคโนโลยี IPS Alfa Panel ที่เพิ่มคุณภาพของภาพ ดูสบายตา พร้อมด้วยเทคโนโลยี 100 เฮิรตซ์ ที่ลดอาการเบลอเมื่อภาพเคลื่อนไหวเร็วๆ
ล่าสุด หลังจากซัมซุงแถลงข่าวเปิดตัวพลาสม่าทีวีรุ่นใหม่ที่มีหน้าจอใหญ่ 63 นิ้ว บาง 1.16 นิ้ว พานาโซนิคก็มีการเปิดตัวพลาสม่าทีวีรุ่นใหม่ ที่มีหน้าจอใหญ่ 65 นิ้ว และรุ่นที่บางที่สุดเพียง 1 นิ้ว พร้อมชูเทคโนโลยี NeoPDP ที่ให้ Contrast Ratio สูงถึง 2,000,000: 1 หรือ Infinite Black สูงสุด และเพื่อสร้างความรับรู้แก่ผู้บริโภค พานาโซนิคจึงได้จัดให้มีกิจกรรม 'Enjoy Life, Enjoy VIERA' ขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับประสิทธิภาพของเทคโนโลยีล่าสุด
|