เศรษฐกิจเริ่มสดใส “ไซโก” มีหวัง เห็นเข็นเป้ารายได้โต 10% จากเดิมที่วางไว้ 600 ล้านบาทเท่าปีก่อน ชี้เทรนด์นาฬิกาพรีเมี่ยมตก เหตุลูกค้าหันมาซื้อแบรนด์ที่ถูกลงมาแทน
นายภูริช มหาดำรงค์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไซโก (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกของบริษัท (เม.ย.-พ.ค.) พบว่า ไซโกโตขึ้น 5% ส่วนอัลบา โต 30% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ซึ่งสาเหตุของการเติบโตครั้งนี้มาจาก ลูกค้าระดับกลางขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของไซโก ยังมีกำลังซื้อที่ดีอยู่
บวกกับอัลบาเองก็ได้มีการทำการตลาดครั้งใหญ่ในช่วงปีที่ผ่านมา ถือเป็นการฟื้นแบรนด์ ทำให้การตอบรับดีขึ้นเกินคาด
ทั้งนี้มองว่า ภาพรวมตลาดนาฬิกามูลค่า 6,000 ล้านบาท กลุ่มนาฬิการะดับพรีเมี่ยม ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 20% ของตลาด มีอัตราการเติบโตลดลงมากที่สุดถึง 25% รองลงมาคือนาฬิการะดับกลาง ตกลง 18% และนาฬิการะดับล่างกระทบน้อยสุด ตกลงเพียง 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่นับตั้งแต่ต้นปี 2552 ที่ผ่านมา โดยมองว่าการเติบโตที่ลดลงนี้ มาจากสภาพเศรษฐกิจเป็นหลัก ลูกค้ามีการคิดมากขึ้น การซื้อสินค้าจะต้องตอบโจทย์ได้ชัดเจน มีการพิจาณาในการซื้อมากขึ้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการตัดสินใจมาซื้อสินค้าในแบรนด์ที่ถูกลง แต่คุณภาพใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตามมองว่าตั้งแต่ช่วง เดือนต.ค.นี้เป็นต้นไป ทิศทางทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น จากการที่ภาครัฐออกมากระตุ้นเมกกะโปรเจ็กต์ต่างๆ รวมไปถึงภาพรวมการลงทุน จากตัวเลขในตลาดหุ้นเริ่มกระเตื้องขึ้น จะทำให้ผู้บริโภคมีอารมณ์ในการจับจ่ายมากขึ้น ขณะเดียวกันช่วงเวลานั้นถือเป็นไฮซีซัน จึงคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีและจะผลักดันให้ภาพรวมรายได้ในปีนี้จะเติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 10% จากเป้าเดิมที่วางไว้ 600 ล้านบาท เท่าปีก่อน
ขณะที่งบการตลาดของปีนี้อยู่ที่ประมาณ 60 ล้านบาท โดยรายได้หลักยังมาจากแบรนด์ไซโก จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางขึ้นไป ระดับราคาสินค้าตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท ซึ่งทั้งปีคาดว่าจะเติบโตขึ้น 10% โดยมีการออกรุ่นใหม่ไม่ต่ำกว่า 100 รุ่น และอีกแบรนด์ คือ อัลบา จับกลุ่มลูกค้าระดับล่าง ระดับราคาตั้งแต่ 2,000-6,000 บาท
สิ้นปีนี้คาดว่าจะโตได้ 10-15%
นายภูริช กล่าวต่อว่า ในปีนี้ประเทศไทยยังถูกเลือกให้มีการเปิดให้บริการ “ไซโก บูติก ชอป” ที่เอ็มโพเรี่ยมอีกด้วย ถือเป็นสาขาแรกที่เปิดในเซาส์อีส เอเชีย สินค้าที่วางจำหน่ายจะเป็นระดับพรีเมี่ยม รวมไปถึงรุ่นที่วางจำหน่ายเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น คาดว่าในช่วงเดือนพ.ย.นี้จะเปิดให้บริการได้ โดยการลงทุนครั้งนี้ใช้ไปกว่า 10 ล้านบาท
|