Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2530
เถ้าแก่ (เนี้ย) VS. นักบริหาร (มืออาชีพ)             
 


   
search resources

อมเรศ ศิลาอ่อน
Investment




ถ้าเผื่อเราในฐานะเป็นนักบริหารหรือเป็นเจ้าของกิจการ หรือแม้แต่จะเป็นคนธรรมดาทั่วไป ถ้าเราเดินไปตามถนนสีลม ซึ่งหลายคนอาจถือว่าเป็น WALL STREET ของ กทม. เราก็จะเห็นอาคารหลากหลาย ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง เรียงรายเต็มไปหมด มีธนาคาร สำนักงานขนาดใหญ่นับสิบๆ แต่ก็คงเห็นด้วยว่ามีร้านค้าขนาดเล็กเรียงรายอยู่ในถนนสีลมนับเป็นร้อย ๆ ถ้าเผื่อเป็นคนช่างคิด ก็คงอาจจะนั่งคิดหรือเดินคิด หรือกลับมานอนคิดว่า "เอ๊ะ ใครนะที่เป็นคนบริหารธุรกิจทั้งใหญ่และเล็กเหล่านี้" คนที่บริหารธุรกิจใหญ่ ๆ ของธนาคาร ของห้างร้านขนาดใหญ่ ๆ เหล่านี้กับคนที่บริหารธุรกิจขนาดเล็ก ภัตตาคารหรือร้านขายของชำต่าง ๆ เหล่านั้นในระหว่างคน 2 จำพวกนี้ใครมีสถานภาพดีกว่ากัน ใครมีความสุขกายมีความสบายใจมากกว่า ใครอยู่สบายกว่าและใครมีสุขภาพจิตดีกว่า และในที่สุดคุณก็อาจจะถามตัวเองว่า "เราอยากจะเป็นพวกไหน" "เราอยากจะเป็นเจ้าของกิจการ หรือเราอยากจะเป็นลูกจ้าง" ในขณะที่ตัวผมหมดสิทธิ์แล้ว เลือกไม่ได้ พวกคุณยังอยู่ในฐานะที่เลือกได้ และผมคิดว่าสิ่งที่ผมกล่าวในวันนี้น่าจะช่วยในการตัดสินใจของคุณ ในระยะ 3-4 หรือ 5 ปีข้างหน้าได้ถูกต้องยิ่งขึ้น

คนที่บริหารธุรกิจหรือธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งมีทรัพย์สินหรือรายได้ประจำปี นับพันนับหมื่นล้าน มักจะเป็นคนที่เราเรียกว่า "นักบริหารมืออาชีพ" คนเหล่านี้บางคนอาจจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยก็ได้ แต่บทบาทสำคัญของเขาในการทำงานในธุรกิจขนาดใหญ่นั้นก็คือ การบริหารธุรกิจ ส่วนผู้ทำธุรกิจขนาดเล็กมักจะเป็นพวกที่ตัวเองแยกความเป็นเจ้าของและหน้าที่การบริหารออกจากกันได้ยาก จะเห็นได้ว่า ร้านขนาดเล็ก เช่น ในภัตตาคาร ในร้านชำ ร้านวัสดุก่อสร้างที่อยู่ตามกรุงเทพฯ โดยทั่วไปเวลาลูกจะขอสตางค์ไปซื้อขนม เวลาแม่ครัวจะไปจ่ายตลาด เวลาจะให้ลูกน้องไปซื้อ DRAFT สั่งสินค้ามาเข้าสต็อก เงินมักจะออกจากเก๊ะเดียวกัน พวกนี้คือ พวกที่เราเรียกว่า เถ้าแก่ หรือเถ้าแก่เนี้ย

นักบริหารมืออาชีพมักจะทำงานในบริษัทหรือองค์การขนาดใหญ่ เช่น SHELL, ESSO, LEVER การบินไทย และธนาคารใหญ่ ๆ 4-5 ธนาคาร ที่เรารู้จักกันดีในการจัดอันดับ บริษัทตามยอดขายของคณะพาณิชย์-บัญชี ร่วมกับ SOCIAL RESEARCH INSTITUTE ของจุฬาฯ เมื่อสิงหาคม 2528 จำนวน 200 อันดับของเมืองไทย ซึ่งมียอดขายประมาณ 450 ล้านบาท/ปี เราก็คงพอจะเดาได้ว่า มือปืนรับจ้างทางธุรกิจส่วนมากก็คงจะอยู่ในองค์การขนาดใหญ่ 200 รายนี้

สำหรับธุรกิจขนาดย่อม ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้คำนิยามไว้ว่า โดยทั่วไปแล้ว คือ ธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียน หรือสินทรัพย์ถาวรระหว่าง 2-5 ล้านบาท และมีคนงานไม่เกิน 50 คนที่อเมริกาทาง SMALL BUSINESS ADMINISTRATION กำหนดยอดขายของธุรกิจขนาดย่อมไว้ระหว่าง 25-125 ล้านบาท/ปี คือ ระหว่าง 1 ล้านเหรียญกับ 5 ล้านเหรียญ ถ้าเผื่อเป็นการค้าปลีกกับบริการก็จะถือยอด 1 ล้านเหรียญ ถ้าเป็นธุรกิจค้าส่ง หรือก่อสร้าง ก็ถือยอด 5 ล้านเหรียญหรือ 125 ล้านบาท

ในขณะเดียวกัน ที่ญี่ปุ่นธุรกิจค้าส่งออกของญี่ปุ่นมีเป็นจำนวนมาก คือ ประมาณ 60% มีคนงานต่ำกว่า 9 คน ร้านค้าปลีกในญี่ปุ่น 70% มีคนงานน้อยกว่า 4 คน ดูแล้วก็คงเป็นธุรกิจขนดาเล็ก เพราะฉะนั้นในเมืองไทยก็คงจะพอเหมาเอาง่าย ๆ ได้ว่า ธุรกิจขนาดย่อมที่เราพุดถึงก็คือ ธุรกิจที่มียอดขายปี ๆ หนึ่งไม่เกิน 20 ล้าน และมีคนทำงานไม่เกิน 50 คน เมื่อเราพูดถึงธุรกิจขนาดย่อม เราก็คงจะพูดถึงธุรกิจขนาดนี้

มีอีกอย่างหนึ่งที่อาจช่วยตัดสินได้ว่าเป็นธุรกิจขนาดย่อมหรือเปล่า ที่อเมริกาเขามีวิธีการที่แยบยลพอสมควรให้ตัดสินใจว่า เป็นธุรกิจขนาดย่อมหรือเปล่า ทาง COMMITTEE FOR ECONOMIC DEVELOPMENT เขาบอกว่า การที่จะเป็นธุรกิจย่อมต้องมีคุณลักษณะอย่างน้อย 2 ใน 4 ประการดังนี้ คือ

ประการแรก การบริหารงานต้องเป็นอิสระไม่มีบริษัทอื่นมาควบคุม เจ้าของต้องเป็นผู้บริหารเอง

ประการที่สอง บุคคลเดียวหรือกลุ่มเล็ก ๆ เพียงกลุ่มเดียวหาทุนแล้วก็เป็นเจ้าของกิจการเอง

ประการที่สาม การดำเนินงานก็ดี พนักงานและเจ้าของก็ดีมักจะอาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกัน ตลาดหรือลูกค้าอาจจะอยู่นอกชุมชนนั้น เช่น ธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูป ธุรกิจทำรองเท้าอาจสั่งทำในกรุงเทพฯ แล้วส่งไปขายในตลาดยุโรปหรืออเมริกาก็ได้ แต่เจ้าของและพนักงานและการดำเนินงานมักจะอยู่ในชุมชนเดียวกัน

ประการที่สี่ ธุรกิจเหล่านี้ต้องเป็นธุรกิจขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเภทเดียวกัน เช่น โรงรับจำนำกับธนาคาร (ถ้าธนาคารบางแห่งยังไม่ใหญ่กว่าโรงรับจำนำก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ) ถ้าเราเอาโรงรับจำนำไปเทียบกับธนาคาร โรงรับจำนำก็ถือว่าเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ธนาคารก็คือธุรกิจขนาดใหญ่ เอาร้านขายของชำไปเทียบกับห้างเซ็นทรัลก็รู้ได้ว่า ร้านขายของชำเป็นธุรกิจเล็ก เอาโรงงานน้ำพริกเผาของแม่ยายผมที่มีคนงาน 3 คน ไปเทียบกับ BEST FOOD หรือ FOREMOST เราก็รู้ได้ทันทีว่า ใครเล็กใครใหญ่ ในที่สุด เราก็พอจะรู้แล้วว่าอะไรเล็กอะไรใหญ่และพอจะแยกได้ว่า ธุรกิจ 500 ล้านนี้ เป็นธุรกิจใหญ่ต้องใช้นักบริหารมืออาชีพ ธุรกิจ 20 ล้าน เป็นธุรกิจขนาดเล็กเถ้าแก่หรือเถ้าแก่เนี้ยทำเอง ส่วนในระหว่าง 20 ล้าน กับ 500 ล้าน เป็นปัญหาเป็นธุรกิจที่อยู่ในแดนสนธยา เราคงจะไม่ทำการวิจัยว่า ธุรกิจขนาดกลางระหว่าง 20-500 ล้าน/ปี มีปัญหาอะไรบ้างแล้วก็เอาผลที่ได้นั้นมาสัมมนากัน ผมจะได้มีโอกาสมาฝอยให้ฟังอีก

ในการที่นักลงทุนจะทำอะไรก็ตาม นักลงทุนย่อมหวังผลตอบแทนที่เหมาะสม ดังนั้นถ้าคุณอยากเป็นเถ้าแก่หรืออยากเป็นนักบริหารมืออาชีพ คุณก็จะต้องคิดว่าจะต้องลงทุนลงแรงอะไรบ้าง และคุณจะมีผลตอบแทนหรือ PAY OFF อย่างไร ?

โดยธรรมชาติคนเรามักจะไม่ค่อยคิดถึงการลงทุนส่วนใหญ่มักจะคิดถึง PAY OFF มากกว่า เราถึงเห็นนักเล่นหุ้นเจ๊งกันบ่อย ๆ แต่ถ้าพูดถึงอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้า เราน่าจะมาดูซิว่า PAY OFF ของการเป็นเถ้าแก่หรือนักบริหารมืออาชีพนั้นมันเป็นยังไง

PAY OFF อันแรกหรือผลตอบแทนการลงทุนอันแรก ก็คงจะเป็นความมั่นคง พูดง่าย ๆ ก็คือ ความรวย ผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในวงการธุรกิจและบุคคลทั่วไปคงอยากรวย จะมีข้อยกเว้นก็คงจะเป็นคนที่สำเร็จอรหันต์แล้ว หรือคนอย่างมหาจำลอง เรื่องความรวยก็คือความมีเงิน นักปราชญ์ผิวดำคนหนึ่งในอเมริกาชื่อ เจมส์ บอลด์วิน เคยเขียนไว้ว่า "เงิน เหมือน SEX ถ้าคุณไม่มี คุณจะคิดถึงมันตลอดเวลา เมื่อคุณมีแล้วคุณจะคิดถึงอย่างอื่น ๆ เราจะสังเกตดูจากเศรษฐกิจประชาธิปไตยว่า คนรวยที่เป็นลูกจ้างเขาไม่ค่อยมี ไม่ว่าจะเป็นเมืองไทย อังกฤษ อเมริกา หรือญี่ปุ่น คนในสังคมเสรีประชาธิปไตย สังคมที่ใช้ตลาดเสรีเป็นเครื่องบังคับระบบเศรษฐกิจ จะไม่มีคนที่รับจ้างเขาแล้วกลายเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี และถ้ามีคนที่เป็นลูกจ้างแล้วรวยก็ไม่รวยเพราะการรับจ้าง อาจจะรวยเพราะพ่อรวย เมียรวย เล่นที่ เล่นหุ้น เล่นกล หลอกเอาเงินแม่ม่ายมา ฯลฯ แม่ชม้อยก็ไม่ได้รวยเพราะเป็นลูกจ้าง ปตท. ระบบทรัพย์สินของทุกประเทศที่ผมศึกษามาจะ FAVOUR คนที่มีทรัพย์สิน และทำโทษคนที่มีรายได้สูง แต่ไม่รู้จักสร้าง ASSET เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากรวยอย่าไปเป็นลูกจ้าง

PAY OFF อันที่สอง ไม่ว่าจะเป็นเถ้าแก่หรือเป็นนักบริหาร PAY OFF ที่เราอยากจะได้ คือ ความดัง คนส่วนใหญ่ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา อุปทาน คนส่วนใหญ่ยังติดยึดอยู่กับโลกธรรม 8 คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งคู่กับ ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์ เพราะฉะนั้น เราคงต้องยอมรับว่า แทบทุกคนอยากมีลาภและยศ ในเรื่องของความมีชื่อเสียงทุกคนก็อยากจะมี พูดภาษาชาวบ้านก็คือ "คนส่วนใหญ่ก็อยากดังทั้งนั้น" คนที่เป็นเถ้าแก่นี้มักจะไม่ค่อยดัง และคนที่เป็นเถ้าแก่ที่ดัง ๆ ก็มักจะมีปัญหา เช่น มีปัญหากับกรมสรรพากร หรือกับธนาคาร สังเกตดูคนที่เป็นเถ้าแก่แล้วรวยจริง ๆ แล้วมักไม่ดัง คนที่เป็นเถ้าแก่แล้วดังก็ควรระวังตัวให้ดี แต่นักบริหารมืออาชีพนี่มีสิทธิ์ดังเพราะอะไร ก็เพราะสรรพากรเขาฟัดภาษีไปเต็มคราบแล้ว แล้วพวกนักบริหารมืออาชีพเหล่านี้ เมื่อไม่มีน้ำยาที่จะไปหาเครื่องลายคราม แจกันหยก หรือรถโรลสรอยซ์มาอวดเพื่อนฝูง ก็ต้องอวดวิชา อวดไปอวดมาก็ดังขึ้นมาเอง แต่ความดังมันก็มีผลเสีย คนที่ดังมาก ๆ ก็มีคนเหม็นขี้หน้า ถ้ายังไม่พลาดก็แล้วไป ล้มเมื่อไรก็จะเห็นเลยว่ามีคนนับร้อยเข้ามาช่วยเหยียบซ้ำ ที่สำคัญคนที่มีชื่อเสียงมักจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ดูผมเป็นตัวอย่าง แทนที่จะได้ไปเล่นกอล์ฟหรือไปอาบอบนวด กลับต้องมาพูดให้พวกคุณฟัง นักปราชญ์จีนโบราณเขาพูดไว้ว่า "ตือพ้าปุ๊ย นั้งพ้าชุกเมี้ย" แปลเป็นไทยว่า "หมู (ถ้าฉลาด) กลัวความอ้วน คน (ถ้าฉลาด) กลัวความมีชื่อเสียง"

PAY OFF อย่างที่สาม ไม่ว่าจะเป็นเถ้าแก่หรือนักบริหารมืออาชีพ คือ ความมั่นคงทั้งเถ้าแก่และมืออาชีพต่างก็จะมีความมั่นคงในฐานะ ความเป็นอยู่และการมีงานทำทั้งคู่ แต่ในลักษณะที่ต่างกัน เถ้าแก่จะเป็นคนสุดท้ายที่ตกงาน เพราะแกจะต้องไล่คนอื่นออกก่อนที่จะถึงตัวแก แต่ถ้าธุรกิจล้มเหลวเพราะภาวะเศรษฐกิจ การตัดสินใจผิดพลาดในการทำงาน เถ้าแก่ก็คงจะ SUFFER มากกว่านักบริหารมืออาชีพ นักบริหารมืออาชีพทำให้ BUSINESS เจ๊งแล้วยังไปทำงานกับคนอื่นได้ เถ้าแก่เจ๊งก็จบ ในขณะเดียวกัน นักบริหารมืออาชีพก็อาจจะขาดความมั่นคงเมื่อเทียบกับเถ้าแก่ เพราะอาจจะถูกปลดออกงานได้โดยนายจ้างไม่ต้องให้เหตุผล และเวลานักบริหารมือาอขีพถูกปลดนี้ไม่มีสหภาพไหนที่จะช่วยเดินขบวนยกป้ายให้ป๋าสั่งนายจ้างประนีประนอมด้วย นักบริหารมืออาชีพอาจถูกบีบให้ออกได้ง่าย ๆ เพราะดันไปทำให้เมียนายห้างไม่ชอบหน้า หรือว่าอาจจะไปขวางทางปืนของเด็กเส้นเข้า แต่โดยทั่วไปแล้ว เราก็จะพออนุมานกันได้ว่า นักบริหารมืออาชีพนั้น คงจะมีความมั่นคงในการทำงาน และสามารถรักษาสถานภาพความเป็นอยู่ของตัวเองได้ดีกว่าเถ้าแก่ หมายความว่า ความเป็นอยู่จะราบรื่นกว่าเรื่องนี้ ผมพอจะยืนยันได้จากประสบการณ์และจากการสังเกต วิถีชีวิตของเพื่อนฝูงหลายคนที่เป็นทั้งนักบริหารมืออาชีพและที่เป็นเถ้าแก่ ชีวิตของเถ้าแก่นั้นมักจะมีความขึ้น ๆ ลง ๆ มากกว่า

PAY OFF อันที่ 4 คือ ความพอใจ การทำธุรกิจส่วนตัวนี้มักจะมีความเป็นอิสระต่อค่อนข้างมาก แน่ละเราจะทำตามใจชอบทั้งหมดก็คงไม่ได้คงจะต้องทำสิ่งต่าง ๆ ที่ลูกค้าเกิดความพอใจเป็นเรื่องแรก เถ้าแก่หรือเถ้าแก่เนี้ยก็คงจะต้องทำอะไรตามกฎหมายที่ควบคุมธุรกิจนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโฮเต็ล หรืออาบอบนวด หรือ BAR หรือการค้า หรือร้านอาหาร คงจะต้องทำตามกฎหมาย คนที่เป็นเถ้าแก่ก็ต้องกู้เงิน BANK และก็คงต้องจ่ายเงินต้น+ดอกเบี้ยคืนเขาตามเงื่อนไขที่เจ้าหนี้กำหนด แต่เขาก็มีทางได้เปรียบลูกจ้างอยู่อย่างหนึ่งคือ พวกเถ้าแก่ไม่ต้องบังคับตัวเองให้ทำตามนโยบายของห้าง เขาไม่ต้องถูกย้ายไปทำงานในถิ่นทุรกันดารนอกจากเขาสมัครใจ เพราะกำไรดีกว่า เขาไม่ถูกบังคับให้ทำงานกับคนที่เขาไม่ชอบหน้าเหมือนกับนักบริหารมืออาชีพ ถูกย้ายไปอยู่กับคนนั้นคนนี้ แม้ไม่ชอบก็ต้องอยู่ เถ้าแก่นี่ถ้าไม่ชอบแต่งตัว ก็ไม่ต้องแต่งสากล ผูกเนคไทเหมือนกับพนักงานธนาคาร แล้วไม่ต้องมากังวลเป็นห่วงเรื่องโต๊ะทำงานใหญ่แค่ไหน บุนวมหรือเปล่า ประเภทพรมหรือเฟอร์นิเจอร์จะเป็นอย่างไร หรือเมื่อไรจะได้มีที่ทำงานที่มีห้องน้ำห้องส้วมส่วนตัว ส่วนนักบริหารผมเชื่อว่า คง WORRY มากในเรื่องนี้ แต่เรื่องอย่างนี้ก็ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยใจคอของแต่ละคนด้วย เราอยากเป็นเถ้าแก่หรือนักบริหารมืออาชีพก็เหมือนว่า เราอยากอยู่ในบ้านเล็กในป่าใหญ่ หรือเราชอบความสบาย ยินดีที่จะนอนในมุ้งเล็ก ซึ่งอยู่ใต้มุ้งใหญ่ ถ้าภาษาผู้หญิงก็คือ "ยอมกินน้ำใต้ศอก" คนอื่นเขา แต่เราก็คงยอมรับได้ว่า คนที่เป็นเถ้าแก่น่าจะได้รับความพอใจในงานมากกว่า หรือมีโอากสที่จะได้รับความรำคาญใจน้อยกว่าจากเรื่องไร้สาระที่มาสะกิดใจในเรื่องของพรม เฟอร์นิเจอร์ และขนาดของห้องของคนอื่น เรื่องพวกนี้จะมีน้อยกว่านักบริหารมืออาชีพ ในขณะเดียวกัน ถ้าเรายังไม่ได้เป็นเถ้าแก่หรือยังไม่ได้เป็นนักบริหารระดับสูง ความพอใจในงานระบบครอบครัวอาจจะมีน้อยกว่าในหรือยังไม่ได้เป็นนักบริหารระดับสูง ความพอใจในงานระบบครอบครัวอาจจะมีน้อยกว่าในระบบองค์การขนาดใหญ่ เพราะบริษัทใหญ่ ๆ หลาย ๆ บริษัท มีระบบงานที่ดี ให้โอกาสที่คนหนุ่มสาวจะได้เรียนรู้ ได้รับประสบการณ์ และ TECHNIQUE การจัดการที่ดี โอกาสที่คนเหล่านี้จะได้เลื่อนตำแหน่งเพราะความสามารถของตนเองย่อมมีมาก โดยที่คนเหล่านี้ไม่ต้องมีเส้นสายไม่ต้องเป็นลูกท่านหลานเธอ ถ้าเผื่อเป็นระบบครอบครัว ความสามารถที่จะก้าวหน้าด้วยตัวเอง โดยไม่มีเส้นก็คงจะน้อยกว่า บริษัทหรือองค์การขนาดใหญ่ก็มีหลายอันที่มีนโยบายที่ดูแลคนด้วยความเห็นอกเห็นใจ ทำธุรกิจบนรากฐานของความเป็นธรรม คนทำงานทำด้วยความสบายใจ เขาฝึกคนของเขาให้มุ่งไปสู่ความเป็นเลิศ ทำให้มีคนมีฝีมือเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันสั้นธุรกิจขนาดใหญ่หรือองค์การขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเช่นนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย และเป็นที่ ๆ คนส่วนใหญ่จะทำงานได้ด้วยความสบายใจ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็คือ ผลตอบแทน หรือ PAY OFF ที่เราจะได้ ถ้าเผื่อเราเป็นเถ้าแก่หรือเป็นมืออาชีพ

ทีนี้เราควรจะมาดูว่าถ้าเราเป็นเถ้าแก่เราต้องลงทุนอะไรบ้าง หรือจะต้องมีอะไรมาเป็นทุน เราถึงจะได้ PAY OFF หรือประโยชน์ 4 ที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว

ทุนอันแรกที่เราต้องมีคือความขยัน ผมคิดว่าทุกคนต้องเข้าใจความสำคัญของปัจจัยหลักข้อนี้ ไม่ว่าเราจะทำงานให้ตัวเอง ให้ธุรกิจของครอบครัว หรือบริษัทขนาดกลางหรือใหญ่ เราจะก้าวหน้าไม่ได้ ถ้าเราเป็นคนหนักไม่เอา เบาไม่สู้ คุณวินัย เสริมศิริมงคล แห่งห้างพาต้าเคยพูดไว้ว่า "อย่าสงสารตัวเองในวัยหนุ่มสาว"

ปัจจัยอันที่สองที่เราจะต้องลงทุนก็คือ ความอดทน คนหนุ่ม ๆ สาว ๆ มักจะมีความใจร้อน อยากจะเดินเร็ว อยากจะไปเร็ว อยากทำอะไรให้มันเสร็จเร็ว ซึ่งผมอยากจะขอให้คำแนะนำว่า เราจะต้องต่อสู้ความรู้สึกนี้ มีของหลายอย่างในโลกนี้ที่ต้องใช้เวลา จิตรกรจะวาดภาพ MASTER PIECE อาจใช้เวลาเป็นปี ถ้าอยากจะทานหูฉลามชั้นหนึ่งหรือพระโดดกำแพงก็อาจจะองตุ๋นกันเป็นวัน ๆ เราจะทำของที่ยากจะสร้างผลงานที่เป็นเลิศนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เสร็จภายใน 5 นาที เร็วเท่ากับเอาของใส่ MICROWAVE ของหลายอย่างในโลกนี้ต้องทำด้วยความอดทน ของบางอย่างต้องใช้เวลากับต้องใช้ประสบการณ์ที่สะสมไว้เป็นเวลายาวนานถึงจะทำได้ อย่างที่เขาเรียกว่าทำอะไรบางอย่างจะต้องมี "ชั่วโมงบน" ผมเคยเห็นนักบริหารมือดี ๆ หลายคนที่ถูก BURN OUT อนาคตถูกเผาผลาญ เพราะไปถูกผลักดันให้ขึ้นไปรับหน้าที่ที่ยากโดยเร็วเกินไป เมื่อมีชั่วโมงบินไม่พอ ประสบการณ์ยังไม่พอ ไม่มีความอดทนที่จะใช้เวลาสร้างคุณงามความดี สร้างฝีมือให้ตัวเอง หรือสร้างฐานของความยอมรับให้แน่นหนาพอก็มีโอกาสที่จะทำงานใหญ่พลาด ทำความเสียหายให้องค์การ และทำให้ตัวเองต้องเสียอนาคตไปในที่สุด

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญ เป็นเรื่องที่เราต้องลงทุนลงแรงเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเถ้าแก่หรือนักบริหารมืออาชีพก็คือ ความเอาใจใส่ในกิจการของเรา เราคงจะต้องศึกษางานที่อยู่ในหน้าที่ของเราให้รู้ซึ้ง ไม่ว่าเราจะทำงานอยู่ในระดับไหน เราจะต้องหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงตัวเราเอง ปรับปรุงวิธีการทำงานและระบบงานของเรา นอกจากนั้น เราก็คงจะต้องคบค้าสมาคมกับคนในวงการ ให้มีหูตากว้างขวาง ต้องทำตัวให้เราเองให้ตื่นตัวอยู่เสมอ เพื่อที่เราจะได้เห็นช่องทางและโอกาสทางธุรกิจ ในฐานะเถ้าแก่ หรือในฐานะนักบริหาร ความเอาใจใส่ในงานจะทำให้เรามองเห็นช่องทางที่จะยกระดับประสิทะภาพของงานที่เราทำอยู่

ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่เราต้องมี คือ ความรอบคอบ คนที่ทำธุรกิจให้ตัวเอง ถ้าขาดปัจจัยนี้คงจะเจ๊งเร็ว นักบริหารอาชีพที่ขาดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล ขาดความสามารถในการพิจารณาสถานการณ์ก็คงไปไม่ได้ไกล สุภาษิตฝรั่งบทหนึ่งเขาบอกว่า "CAUTION IS A BETTER PART OF VALOUR" หมายความว่า ความระมัดระวังเป็นส่วนที่สำคัญกว่าความกล้าหาญ

อีกปัจจัยหนึ่งที่เราคงต้องมี คือ ความถนัด คนเราไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ถ้าเป็นสิ่งที่เหมาะกับนิสัยใจคอหรือกับความสามารถเฉพาะตัวของเรา หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ของที่เราชอบ เราก็มักจะทำได้ดี คนบางคนชอบทำอะไรที่มีความท้าทาย คนบางคนไม่ชอบความเสี่ยง คนบางคนชอบกินปลาเป็น ๆ คนบางคนชอบกินของตาย อย่างเด็ก ๆ ก็จะเห็นความแตกต่างได้ชัด เด็กบางคนชอบคำนวณ บางคนก็ชอบภาษา ผมมีลูกชาย 3 คน แต่ละคนก็มีความสันทัด ความชอบไม่เหมือนกันสักคน เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเราอยากจะเป็นเถ้าแก่ เราก็คงต้องถามตัวเองว่า เราชอบแบไหน ถ้าเราอยากจะเป็นนักบริหารมืออาชีพ เราก็คงจะต้องเช็ค STOCK ทักษะ หรือความถนัดเราว่า เรามีความสามารถเหมาะสมกับสิ่งที่เราจะทำหรือไม่ ถ้าไม่ชอบตัวเลขและอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเงินของธนาคารก็คงจะลำบาก และถ้าชอบอยู่เงียบ ๆ กับครอบครัวเรา มีชีวิตที่เรียบง่าย แล้วอยากจะไปเป็นพ่อค้าอาวุธสงครามก็คงจะไม่เจริญ คุณจะเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการเป็นเถ้าแก่หรือนักบริหารมืออาชีพก็คือ ความมั่งคั่ง หรือลาภ ความมั่นคง หรือยศ ความดัง หรือสรรเสริญ ความพอใจ หรือสุข ประโยชน์ 4 ในโลกธรรม 8 ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนไว้

ส่วนปัจจัยที่จะนำเราไปสู่จุดมุ่งหมายดังกล่าวได้ก็คือ ความสันทัดหรือฉันทะ ความขยัน หรือวิริยะ ความเอาใจใส่หรือจิตตะ และความรอบคอบหรือวิมังสา นอกจากนั้น ยังคงต้องมีความอดทนคือขันติด้วย 4 ข้อแรก คือ อิทธิบาท 4 อันเป็นพื้นฐานของความสำเร็จเป็นสิ่งซึ่งพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า คนเราจะทำอะไรให้สำเร็จได้จะต้อง 4 อย่างนี้ แม้ในการปฏิบัติธรรมให้ถึงขั้นนิพพาน ก็ต้องคำนึงถึงอิทธิบาท 4 ส่วนประการที่ 5 คือ ขันตินั้น ท่านสอนไว้ว่า จำเป็นต้องมี ไม่ว่าจะเป็นพระที่แสวงหาความหลุดพ้นหรือเป็นพระราชาที่จะปกครองราษฎรด้วยความเป็นธรรม เพราะขันติก็เป็นปัจจัยข้อหนึ่งในทศพิศราชธรรม หรือแม้แต่อยากเป็นนักการเมืองในการหาเสียงเลือกตั้งก็คงจะต้องมีขันติ อยู่ในสภาก็ต้องมีขันติ เมือ่ถูกเขาด่าหรือกล่าวหาทั้งที่เรื่องจะมีมูลหรือไม่มีมูลความจริงก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่ยากในการบรรลุมากกว่าการเป็นเถ้าแก่หรือนักบริหารมืออาชีพเสียอีก

ที่นี้ถ้าเราจะมาดู PROSPECT ในเมืองไทยโดยทั่วไปในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า โอกาสที่จะเป็นเถ้าแก่หรือเป็นนักบริหารมืออาชีพเปรียบเทียบกันแล้ว มีมากหรือน้อยแค่ไหน ในอเมริกามีธุรกิจที่จดทะเบียนราว 10 ล้านราย เป็นธุรกิจขนาดย่อมเสีย 95% ธุรกิจเหล่านี้สร้างผลผลิตประมาณ 43% และสร้างงานในภาคเอกชนมากกว่า 50% ในอเมริกามีร้านค้าปลีกค้าส่งประมาณ 1 ร้านต่อประชากร 200 คน ในญี่ปุ่นมีร้านค้าปลีกและส่ง (ประมาณ 1,750,000 ราย ซึ่งมีประมาณ 2 เท่าของอเมริกา) ประมาณ 1.5 ร้านต่อประชากร 100 คน ในเมืองไทยสถิติบอกไว้ว่ามีร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง รวมกันแล้วแสนกว่ารายเท่ากับ 1 ร้านต่อประชากร 500 คน แต่ว่าถ้าเรารวมรายการร้านค้าที่กรมสรรพากรลืมจด รวมกับแม่ค้าส้มตำ เสือร้องไห้ หาบเร่ตามตลาดโต้รุ่ง ร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่บนรถปิคอัพซึ่งวิ่งไปขายตามตรอกตามซอยต่าง ๆ แล้ว ผมคิดว่าอัตราส่วนของเราคงไม่หนี ระหว่างอเมริกาและญี่ปุ่น ผมอยากจะคาดคะเนว่า อัตราส่วนของเราคงจะเป็นราว ๆ ประมาณ 150 คนต่อ 1 ร้าน ถ้าเผื่อเรามีอัตราส่วนอย่างนี้ก็หมายความว่า เราคงจะมีธุรกิจขนาดเล็กอยู่ประมาณ 340,000 ราย ผลการวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้อย่างหนึ่งบอกว่า ธุรกิจขนาดย่อมที่เราเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ คือ 10% ของธุรกิจที่ตั้งขึ้นมาเมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว หมายความว่า 90% ของพวกนี้เจ๊งไปแล้ว และผลการวิจัยนี้ก็บอกว่า 1% ของธุรกิจที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ ต่อไปจะโตเป็นบริษัทใหญ่ ในอเมริกาก็มีสถิติเช่นนี้อยู่เหมือนกัน เขาบอกว่าธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ ส่วนใหญ่จะเจอภัยอย่างนี้ และธุรกิจขนาดย่อมที่อยู่เกิน 7 ปี มีเพียง 11%

แต่ถ้าเรามาดูสถิติในเมืองไทย ธุรกิจขนาดใหญ่ 200 ราย สมมติว่าแต่ละรายมีนักบริหารมืออาชีพสัก 100 คน ซึ่งเป็นเกณฑ์สูง เราจะเห็นได้ว่า ธุรกิจขนดาใหญ่ในเมืองไทยคงมีโอกาสสร้างงานนักบริหารอาชีพหลัก 10,000 คน เปรียบเทียบกับธุรกิจขนาดเล็ก 340,000 ร้าน ซึ่งคงจะต้องมีเถ้าแก่ร้านละ 1 คน เราก็เห็นได้ว่า อัตราส่วนความต้องการระหว่างเถ้าแก่และนักบริหารอย่างต่ำสุดก็คงประมาณ 34 : 1

พูดง่าย ๆ ก็คือ ระบบเศรษฐกิจไทยจะมี DEMAND สำหรับเถ้าแก่ 34 คนต่อนักบริหารอาชีพทุก ๆ 1 คน ถ้าเกิดเอาตัวอย่างร้านอาหารอย่าง S&P A&W PIZZA HUT ซึ่งมีอะไรคล้าย ๆ กันแทบทุกอย่างในธุรกิจของ 10 ปีที่ผ่านมา CHAIN เหล่านี้ขยายตัวจาก 1 ร้านเป็น 6 ร้าน เจ้าของและหุ้นส่วนของแต่ละรายก็คงจะได้ผลตอบแทนในการลงทุนเป็นที่น่าพอใจ และเท่าที่ผมทราบทั้ง 3 CHAIN นี้ก็ให้โอกาสจ้างงานแก่คนประมาณ 400-500 คนต่อราย ถ้าเราดูตัวอย่างมีอุเบกขาแล้ว ถ้าเกิดเราคิดว่าเรานี้มีความสามารถชอบงานที่ท้าทายและมีความใจกล้าพอ ก็น่าจะลองพยายามเป็นเถ้าแก่ดู พูดตามความจริงแล้ว มหาจำลองยังกล้าทิ้งตำแหน่งนายพลมาสู้ในเวทีทางการเมือง ซึ่งในความคิดเห็น ผมมันยากกว่าเวทีการพาณิชย์หลายเท่านั้น และในความคิดเห็นของผม มหาจำลองทำงานได้ผลดีกว่าผุ้ว่า กทม. ที่ผ่านมา เพราะท่านมี SPIRIT ของเถ้าแก่มากกว่านักบริหารของภาครัฐบาล

ก่อนจบผมขอให้คติสอนใจไม่ว่าจะเป็นเถ้าแก่ หรือนักบริหารมืออาชีพ สุภาษิตอันนี้ผมได้มาจากเถ้าแก่ซึ่งเป็นนักศึกษาสุภาษิตจีนคนหนึ่งเป็นลูกค้าของผมที่โคราช เขาบอกว่า ซินแสซึ่งเป็นเพื่อนเตี่ยของเขาสอนว่า "ตี้เส็กปี๋ปุ๊ก เจี่ยเหล่งลัก" "ความรู้สู้ความสามารถไม่ได้" "ตี้เส็กอื๋อเหล่งสัก ปี๋ปุ๊กเจี่ย นั้งลุ่นก๋ำเช้ง" "ความรู้บวกความสามารถยังสู้มนุษยสัมพันธ์ไม่ได้" และโปรดจำไว้ไม่ว่าคุณจะไปเป็นเถ้าแก่หรือจะเป็นเซียนด้านบริหาร คุณต้องทำงานกับคน ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง ลูกจ้าง ลูกพี่ ลูกเรา หรือลูกป๋า หรืออาจจะเป็นเมียเรา เมียเขา เมียเพื่อน เมียน้อย และเมียท่าน เราคงต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดี แล้วก็สำหรับเมียเรากับเมียท่านคงต้องสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสมเป็นพิเศษ ชีวิตเราจะสุขจะทุกข์อย่างไร จะได้รับความสำเร็จแค่ไหน ก็คงอยู่กับการสร้างความสัมพันธ์กับคนกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้เป็นส่วนใหญ่

ขอให้ทุกคนประสบกับความสมหวัง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us