Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2530
เจาะตลาดหุ้น พุ่งแรง…แต่จริง ๆ แล้ว เพิ่งลุกหลังล้ม !?!             
โดย สมชัย วงศาภาคย์
 


   
www resources

โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Stock Exchange




ตลาดหุ้นผ่านสถานการณ์เจ็บปวดและระยะล้มลุกคลุกคลานมาแล้วในอดีต ปรากฎการณ์ครึกโครมของตลาดหุ้นในวันนี้ นักสังเกตการณ์หลายฝ่ายมองว่า ทุกอย่างกำลังเข้าร่องเข้ารอย บทเรียนร้าย ๆ ในอดีตถูกสรุปออกมาเป็นมาตรการและจารีตใหม่ พวกเขาคิดว่าให้เวลาอีกสักนิดตลาดทุนแห่งนี้จะก้าวไปถึง "ประสิทธิภาพ" ที่ทุกคนมุ่งหวัง

เยาว์วัยอันน่าตื่นเต้น

ล้มแล้วลุก และจะไม่ล้มอีก…

"ตลาดหลักทรัพย์เพิ่งจะเริ่มต้น ถ้าเปรียบกับคนก็เหมือนกับเพิ่งจะอยู่ในวัยเด็กที่จะต้องช่วยกันประคบประหงมให้เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี" โยธิน อารี กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงเทพธนาทร ผู้ที่ทุกคนในวงการเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักทรัพย์ ยอมรับในความคร่ำหวอดและความเป็นผู้เชี่ยวชาญมือหนึ่งของเขา เคยกล่าวไว้

ความเยาว์วัยเพียง 12 ปี นับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เริ่มเปิดดำเนินการเป็นแหล่งการซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อเดือนเมษายน 2518 โดยอาศัยอำนาจ ตามกฎหมายตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ที่กำหนดขึ้นมาจากการระดมความคิดจากผู้มีความรู้หลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสตราจารย์ซิดนีย์ เอ็มร็อบบินส์ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำในการศึกษาวางกรอบแนวความคิด และวิธีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ ตามแนวนโยบายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 และ 3 ที่กำหนดให้มีการพัฒนาตลาดทุน เป็นกลไกสำคัญในการระดมทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติและธุรกิจเอกชน

ความที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังอยู่ในระยะเยาว์วัย ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นคณะผู้บริหารตลาดฯ บริษัทนายหน้า และแม้แต่ผู้ลงทุนเอง ต่างก็อยู่ในวุฒิภาวะที่ยังไม่คุ้นเคยต่อการดำเนินการให้สถาบันตลาดหลักทรัพย์เป็นกลไกที่เอื้ออำนวยต่อการบรรลุเป้าหมายของแนวนโยบายระดมทุน เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ และธุรกิจเอกชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความยุติธรรมต่อผู้ลงทุนและปราศจากความหวั่นไหวในบรรยากาศของความมีเสถียรภาพในการระดมทุน

พฤติกรรมการลงทุนหลักทรัพย์ในตลาด ส่วนใหญ่ยังขาดเหตุผลที่ดี (IR - RATIONAL INVESTMENT) การใช้ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจและผลการประกอบการของแต่ละบริษัทที่มีหลักทรัพย์ขายในตลาด เช่น เครื่องมือวิเคราะห์การตัดสินใจการลงทุน ไม่เคยอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของ CRASH ทำให้นักลงทุนเสื่อมศรัทธาต่อตลาดหุ้น หลายคนมองว่าเป็นสนามการพนันที่มีความเสี่ยงสูง เป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 3 ที่ให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นในฐานะเป็นกลไกในการระดมทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงพังทลายลง รัฐบาลได้เข้ามาแทรกแซงเพื่อฟื้นฟูวิกฤติศรัทธาตลาดหุ้น โดยจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูพัฒนาตลาดทุนขึ้นด้วยเงินจำนวน 2,000 ล้านบาททันที โดยระดมเงินทุนมาจากธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารพาณิชย์ โดยให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นผู้บริหารกองทุนนี้ เงินกองทุนนี้นำไปลงทุนซื้อหุ้นบางตัวที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเพื่อหวังสร้างราคาให้ดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนใหม่ ขณะเดียวกันทางสมาคมธนาคารพาณิชย์ไทยก็ได้จัดตั้ง POOL I จำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อสร้างสภาพคล่องทุนดำเนินการให้กับบริษัท โบรคเกอร์ที่เจ็บตัวจากภาวะ STOCK CRASH แต่อย่างไรก็ตาม เงินจำนวน 3,000 ล้านบาทจากกองทุนทั้ง 2 ก็ไม่สามารถเรียกวิกฤติศรัทธาจากนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดได้ จนธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเข้าเสริมเงินอีก 1,000 ล้านบาทให้สมาคมธนาคารไทยเป็นผู้บริหารอีก POOL หนึ่งเรียกว่า POOL II โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกับ POOL I พร้อมกันนี้รัฐบาลก็ได้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้เงินจำนวน 3,000 ล้านบาท โดยมอบหมายให้ธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ดูแลและบริหารเงินจำนวนนี้ด้วยการเข้าไปรับซื้อหลักทรัพย์จดทะเบียนและรับอนุญาตเฉพาะของลูกค้าของบริษัท โบรคเกอร์ที่มีปัญหาและสิ่งนี้ก็คือ ที่มาของ "กองทุนกรุงไทย"

โดยสรุปแล้ว นับตั้งแต่การเกิด - STOCK CRASH ขึ้นมาในตลาดหุ้นในปลายปี 2522 รัฐบาลและเอกชน (สถาบันการเงิน) ต้องใช้เงินจำนวน 7,000 ล้านบาท เพื่อกู้วิกฤติศรัทธาตลาดหุ้นคืนมา แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะปรากฏว่าบริการการซื้อขายหลักทรัพย์ได้ตกลงเหลือเพียงประมาณ 6,500 ล้านบาในปี 2523 จากประมาณ 57,000 ล้านบาทในปี 2521 และ 22,000 ล้านบาทในปี 2522 หรือลดลง 777% และ 238% จากปี 2521 และ 2522 ตามลำดับ เหตุผลสำคัญมี 2 ประการ คือ

- ประการแรก นักลงทุนหน้าใหม่ไม่มีความเชื่อต่อตลาดหุ้นการคาดหวังผลตอบแทนจากการเก็บกำไร ซึ่งเป็นกระแสหลักในการลงทุน มีความเสี่ยงสูงเกินไป
-
- ประการที่สอง การลงทุนในสถาบันการเงิน ในรูปการออมทรัพย์ระยะยาวมีความแน่นอน มั่นคงกว่า ผลตอบแทนในรูปของอัตราดอกเบี้ยก็สูงถึง 12%/ปี

ภาวะความเสื่อมศรัทธาที่มีต่อตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนรายย่อยหน้าใหม่และเก่ายืดยาวนานมากเป็นเวลาถึง 6 ปี (ปี 2523 - 2528) อุปทานหลักทรัพย์มีผลการประกอบการไม่ดีพอ เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจการเงินทั้งภายใน และต่างประเทศหลายประการไม่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อการรุกทางธุรกิจ ส่วนอุปสงค์ ได้แก่ นักลงทุน และสถาบันการลงทุนจากต่างประเทศ ก็ยังเห็นว่า การลงทุนในสินทรัพย์ชนิดอื่นมีผลตอบแทนดีกว่าหลักทรัพย์ในตลาดหุ้น มีเพียงส่วนน้อยที่เข้ามาลงทุนซื้อหุ้นลงทุนระยะยาว จากรายงานของตลาดหลักทรัพย์ระบุว่า "ช่วงระหว่างปี 2525-28 สถาบันการลงทุนและนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยปีละ 3% ของปริมาณการลงทุนทั้งสิ้นในตลาดเท่านั้น" แต่อย่างไรก็ดี การเข้ามาลงทุนของสถาบันการลงทุนและนักลงทุนจากต่างประเทศในช่วงนี้ก็ปูตลาดให้กับนักลงทุนหน้าใหม่ไทยให้เข้ามาลงทุนในตลาดในช่วงปี 2529 ต่อมาได้ดีทีเดียวเพราะปรากฏว่า ในช่วงปลายปี 2528 และต่อเนื่องถึงปี 2529 ปัจจัยขั้นมูลฐานของหุ้นในตลาด เริ่มปรากฏผลตอบแทนต่อการลงทุน (YIELD) ไปในทางที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับผลตอบแทนลงทุนในตลาดสถาบันการเงิน "จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ปรากฏว่า มีผลตอบแทนสูงถึง 65%" ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นตลาดหลักทรัพย์ช่วงปี 2529 โดยวัดจากอัตราผลตอบแทนในรูปเงินปันผลและส่วนเหลื่อมกำไรมูลค่าหุ้นที่ซื้อขายในตลาด

ความศรัทธาในการลงทุนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ฟื้นตัวกลับคืนเข้ามาอีกครั้งหนึ่งเป็นหนที่สองในปี 2529 จนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งตามหลักการทฤษฎี ELLOITT WAVE ที่กลุ่มนักลงทุนทางเทคนิคยึดถือมีความเชื่อว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นกำลังอยู่ INTERMEDIATE WAVE (4) ของ PRIMARY WAVE (3) ซึ่งเป็นช่วงที่ทิศทางของราคาหลักทรัพย์ในระยะยาวกำลังมีระดับราคาไต่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ หลังจากตกต่ำลงใน PRIMARY WAVE ที่ 2 ซึ่งเชื่อว่าเกิดขึ้นระหว่างมี 2523-2528

แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าราคาหลักทรัพย์โดยรวมทั้งตลาดจะมีทิศทางโน้มตัวสูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อุปทานหลักทรัพย์ทุกตัวจะมี LIQUIDITY สูงตาม เพราะปรากฏว่ามีประมาณ 36% ขงอจำนวนอุปทานหลักทรัพย์ทั้งหมดเท่านั้นที่มี LI-QUIDITY สูง (38/107 หลักทรัพย์) โดยกระจายตามหมวดธุรกิจดังนี้

1. หมวดอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และประกันภัย จำนวน 15 หลักทรัพย์ ส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่มธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย

2. หมวดหัตถอุตสาหกรรม ซึ่งประกอบด้วยอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง สิ่งทอ อาหาร และบรรจุหีบห่อ จำนวน 14 หลักทรัพย์ โดยส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่มสหยูเนี่ยน และปูนซิเมนต์ไทย

3. หมวดพาณิชย์ จำนวน 5 หลักทรัพย์ โดยส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่มสหพัฒนพิบูลจำกัด

4. หน่วยลงทุน (UNIT TRUST) จำนวน 4 หลักทรัพย์ ทั้งหมดอยู่ในการบริหารของบริษัทกองทุนรวม บริษัทในเครือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

เหตุที่อุปทานหลักทรัพย์มี LIQUIDITY สูงกระจายอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์เหล่านี้เป็นเพราะว่า

ประการแรก หลักทรัพย์มี CAPITALIZATION สูงกว่าหลักทรัพย์อื่น ๆ ที่มี LIQUIDITY ต่ำ

ประการที่สอง ความสามารถในการจัดการธุรกิจของผู้บริหารและธุรกิจของหลักทรัพย์นั้น อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อการทำกำไรสูงด้วยโครงสร้างการผลิตและการตลาดของกิจการที่มีคู่แข่งขันน้อยราย นักลงทุนจึงให้ความเชื่อถือและสนใจลงทุนในหลักทรัพย์นั้น

การฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสยืนยาวแค่ไหนและจะมีโอกาสเกิดภาวะวิกฤติ STOCK CRASH เช่น ปี 2522 อีกหรือไม่ ? ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านไม่เชื่อว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกเพราะปัจจัยโครงสร้างต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่ภาวะ STOCK CRASH ได้ถูก BLOCK ไว้หมด กล่าวคือ :-

บริษัทโบรคเกอร์

มีความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อย MARGIN แก่ลูกค้าโดยตรวจสอบฐานะที่แท้จริงและปริมาณการลงทุนของลูกค้าด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันภาวะการลงทุนเกิดตัวของลูกค้า ดร.ชัยยุทธ ปิลันธน์โอวาท กล่าวว่า โบรคเกอร์กำหนดวงเงินให้ลูกค้าลงทุนไว้เลย ขณะที่ช่วงปี 2521-2522 แทบจะไม่มีการ BLOCK วงเงินไว้เลย

บริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาต

กลุ่มผู้บริหารและกลุ่มผู้ถือหุ้นมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการทำราคาในตลาด เพราะผู้ลงทุนที่เป็นสถาบันการลงทุนจากต่างประเทศและนักลงทุนรายย่อยในประเทศมีความรู้ในการลงทุน โอกาสที่จะทำราคาที่ผิดปกติโดยคาดหวังจะสร้างอารมณ์ (SENTIMENTAL) ให้นักลงทุนหวั่นไหว "แห่ตามกันซื้อหรือแห่ตามกันขาย" เหมือนเมื่อปี 2522 ยากมากยิ่งขึ้น ธนดี โสภณศิริ กรรมการผู้จัดการบริษัทพัฒนสินลิซซิ่ง บริษัทในเครือข่ายเจริญโภคภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ ผู้คร่ำหวอดกับตลาดหุ้นมาตั้งแต่แรกก่อตั้ง ให้ความเห็นว่า โอกาสที่บริษัท LISTED COMPANIES จะตั้งบริษัทพรรคพวกหรือผู้บริหารเจ้าของกิจการเอง จะเข้าไปเก็งกำไรหุ้นตัวเอง เพื่อหวังทำกำไรจากวิธีการปั่นหุ้นตัวเองให้ผิดปกติเพื่อดึงให้คนลงทุนหลงเข้ามาติดกับดักไม่ใช่ง่ายแล้ว เพราะสถาบันการลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาซื้อหุ้นมีจำนวนมาก และมีพลังในการวินิจฉัยการลงทุนได้ดี "การถูกหลอกอย่างง่าย ๆ เหมือนสมัยปี 2522 เป็นไปไม่ได้แล้ว" อีกประการหนึ่งตลาดหลักทรัพย์เฝ้าดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด สามารถใช้อำนาจตาม ก.ม.มาตรา 42 ลงโทษผู้กระทำผิดหลังการพิสูจน์ว่ามีความผิดฐานสร้างราคาเทียมเพื่อหลอกลวงนักลงทุนจริง

ตลาดหลักทรัพย์

มีอำนาจตาม ก.ม.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปี 2527 มาตรา 42 ที่จะเข้าตรวจสอบค้นหาข้อเท็จจริงในการสงสัยพฤติกรรมการสร้างราคาที่มิชอบ และถ้าหากว่าพิสูจน์แล้วเป็นจริงก็สามารถดำเนินการฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรม ขณะที่เหตุการณ์เมื่อปี 2521-22 ตลาดหลักทรัพย์กระทำดังนี้ไม่ได้เพราะไม่มี ก.ม.รองรับ

นักลงทุน

วิกฤติการณ์ STOCK CRASH ปี 2522 เป็นบทเรียนสำคัญให้นักลงทุนเริ่มปูพื้นฐานความรู้ในการลงทุนก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องประสบปัญหาเหมือนในอดีต ขณะเดียวกันก็รู้จักใช้เงินลงทุนที่ตนเองสะสมเก็บออมไว้เป็นเงินทุนเพื่อการลงทุนในตลาด โดยอาศัยเงินจากการกู้ยืม (MARGIN) บริษัทสมาชิกหรือสถาบันการเงินอื่น ๆ น้อยลง

การปรับตัวสู่คุณภาพมากยิ่งขึ้นของนักลงทุนทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงน้อยลงและต้นทุนการลงทุนในรูปดอกเบี้ยจากการกู้ยืมก็น้อยลง ภายใต้พฤติกรรมการลงทุนเช่นนี้ ช่วยเปิดโอกาสให้นักลงทุนมีความระมัดระวังและเชื่อมั่นในการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น

ปัจจัยทางเศรษฐกิจ

ภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันมีราคาแน่นอน ไม่ยินยอมไปในทิศทางที่ก่อให้เกิดการส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไปในด้านลบ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในสถาบันการเงินอยู่ในอัตราต่ำ นักลงทุนเริ่มโยกย้ายเงินลงทุนในสถาบันการเงินมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าขณะที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่

ปัจจัยทางเศรษฐกิจเหล่านี้ทำให้มีผลดีต่อการประกอบการธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาตด้วยต้นทุนการดำเนินงานต่ำ ขณะเดียวกันกับที่ตลาดโลกก็ขยายตัวในการสั่งซื้อสินค้าจากบริาทผู้ผลิตไทยมากยิ่งขึ้น ผลการประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาตในตลาดหลักทรัพย์จึงอยู่ในเกณฑ์ดี ดึงดูดความสนใจแก่นักลงทุนให้เข้ามาลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดมากยิ่งขึ้น

ตลาดหลักทรัพย์ได้ก้าวมาสู่จุดคุณภาพใหม่หลังจากผ่านวิกฤตการณ์ปี 2522 โอกาสที่ตลาดจะเผชิญภาวะวิกฤตการณ์อีกเป็นไปได้น้อย เข็มมุ่งในการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ในภาวะปัจจุบันอยู่ที่การสร้างคุณภาพและปริมาณ ให้กับอุปทานและอุปสงค์ในตลาดเป็นกลไกในการพัฒนาตลาดให้มีประสิทธิภาพสูงมีความยุติธรรมต่อการลงทุน

ความสัมพันธ์ตลาด 2 ตลาด

ตลาดรองเป็นหัวใจตลาดขั้นปฐม

ในการพัฒนาการระดมทุนจากตลาดทุน

ตลาดหลักทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของตลาดทุนที่มีความความสำคัญในฐานะเป็นกลไกการระดมทุนจากมหาชนเพื่อการพัฒนาธุรกิจเอกชนและเศรษฐกิจของชาติ ความก้าวหน้าของตลาดหลักทรัพย์ในฐานะเป็นตลาดรอง (SECONDARY MARKET) นอกจากจะขึ้นอยู่กับการพัฒนากลไกการควบคุมเพื่อความยุติธรรมแก่นักลงทุนในตลาดแล้ว ยังขึ้นอยู่กับสำนักในการลงทุนของผู้ลงทุนด้วย

ภายใต้ภาวะปัจจุบัน ตลาดรองได้เริ่มพัฒนามากขึ้น บริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาตที่มีหลักทรัพย์ในตลาด เริ่มมีความรู้และเห็นความสำคัญในการระดมทุนด้วยมาตรการการออกหุ้นทุนเพื่อจำหน่ายแก่มหาชนมากยิ่งขึ้น โดยเล็งเห็นว่าเป็นการระดมทุนที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งมีความเสี่ยงด้านความไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ย อีกประการหนึ่งเป็นช่องทางในการระดมทุนที่ได้กำไรจากส่วนเหลื่อมมูลค่าหุ้นราคาพาร์อีกด้วย

นับตั้งแต่ตลาดรองเริ่ม "บูม" ขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 29 บริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาตเริ่มเพิ่มทุนดำเนินการด้วยการออกทุนและหุ้นกู้ผ่านตลาดขั้นปฐม (PRIMARY MARKET) กันมาก โดยให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เป็นผู้ดำเนินการ (UNDERWRITER) จำหน่ายแก่มหาชน จำนวน 324.70 ล้านบาท และในปี 2530 เฉพาะ 6 เดือนแรกของปีมีจำนวนมูลค่าการเพิ่มทุนผ่านตลาดขั้นปฐมจำนวน 2458.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปี 2529 ทั้งปีถึง 2133.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 657% การเติบโตของตลาดขั้นปฐมเป็นผลมาจากความคึกคักของตลาดรองเป็นนัยสำคัญ สุทธิชัย จิตรวาณิช ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้มีประสบการณ์การทำงานมากับตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่เริ่มแรกก่อตั้ง ให้ความเห็นว่า การเก็งกำไรเป็นหัวใจให้ตลาดรองมีการเติบโต เพราะทำให้ทิศทางราคามีความผันผวนสูงสามารถจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดได้มาก แต่การเก็งกำไรต้องอยู่ภายในกรอบของกฎหมาย ดังนั้น การที่ตลาดขั้นปฐมเติบโตขึ้นก็เป็นผลมาจากแรงกระตุ้นการเก็งกำไรในตลาดรองนั่นเอง ซึ่งความจริงตลาดหุ้นทั่วโลกก็หลีกหนีไม่พ้นไปจากเกมการลงทุนเช่นนี้

องค์ประกอบของตลาดขั้นปฐมอยู่ที่บทบาทการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาต และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ประกอบธุรกิจ UNDERWRITING ในความพยายามที่จะเป็นสถาบันและกลไกในการผลิตหลักทรัพย์และจำหน่ายหลักทรัพย์สู่ตลาด ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาตในตลาดจำนวน 99 บริษัท ผลิตหลักทรัพย์สู่ตลาด 107 หลักทรัพย์ มี CAPITALIZATION ณ สิ้นกรกฎาคม 2530 จำนวน 30,466.32 ล้านบาท ขณะที่ด้านการจำหน่ายสู่ตลาด มีบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ชั้นนำอยู่ประมาณ 6 บริษัทที่มีบทบาทการจัดการและจัดจำหน่าย ได้แก่ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเชีย บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติ และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงเทพธนาทร ในรอบปี 2529 ทั้ง 6 บริษัทสามารถครอบครองส่วนแบ่งตลาดการจัดการและจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ในตลาดขั้นปฐมสูงถึง 80% และคาดหมายว่าในปี 2530 อำนาจการครอบครองตลาดของทั้ง 6 บริษัทนี้ก็ไม่แตกต่างจากปี 2529 เท่าไรนัก

ด้านตลาดรอง (SECONDARY MARKET) ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาตลาดขั้นปฐม ในฐานะเป็นแหล่งการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผ่านจากตลาดขั้นปฐม กลไกการพัฒนาตลาดรองอยู่ที่การสร้างราคาหลักทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรที่ชอบด้วยกฎหมายที่สามารถจูงใจให้มีการลงทุนกันอย่างต่อเนื่อง องค์ประกอบที่สำคัญในการพัฒนาตลาดรองนอกเหนือจากตลาดหลักทรัพย์ (SET) ที่มีหน้าที่การควบคุมการลงทุนซื้อขายให้มีความยุติธรรม และเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อการสร้างบรรยากาศการลงทุนอย่างต่อเนื่องแล้วก็อยู่ที่นักลงทุน สถาบันการลงทุน และบริษัทสมาชิก (โบรคเกอร์) ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างอุปสงค์ (DEMAND) ลงทุนในตลาดรอง

ทุกวันนี้ การนับจำนวนนักลงทุนรายบุคคลในตลาดรองโดยวัดจากการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาตมีอยู่ประมาณ 200,000 รายหรือคิดเป็น 0.4% ของจำนวนประชากรทั้งหมด บริษัทโบรคเกอร์มีจำนวน 30 บริษัททั้งนักลงทุนและบริษัทโบรคเกอร์ มีการพัฒนาทักษะและระบบการบริการข้อมูลแก่การลงทุนในตลาด ไปในทิศทางที่มีคุณภาพสูงขึ้นกว่าช่วงปี 2521-22

การพัฒนาไปในการที่ดีขึ้นของกลไกต่าง ๆ ในตลาดรองที่มีผลต่อการเพิ่มปริมาณเงินทุนและหลักทรัพย์ในตลาดขั้นปฐม สร้างความเชื่อถือในสายตาสถาบันการลงทุนต่างประเทศที่มีเป้าหมายการลงทุนในตลาดรองเพื่อผลตอบแทนระยะยาว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรายงานว่า เฉพาะ 6 เดือนแรกของปี 2530 มีการลงทุนจากสถาบันการลงทุนต่างประเทศในตลาดรองสูงถึง 6,642 ล้านบาท จากปริมาณการลงทุนทั้งหมด 37,318 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.8% และเงินลงทุนนี้ยังอยู่ในประเทศ

"เงินลงทุนจากสถาบันการลงทุนต่างประเทศยังอยู่ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแสดงว่าเขามาลงทุนระยะยาว ไม่ใช่เก็งกำไรระยะสั้น ๆ " ผู้บริหารระดับสูงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยืนยันกับ "ผู้จัดการ" ถึงความมั่นใจในเสถียรภาพของตลาดรองในสายตานักลงทุนและสถาบันการลงทุนต่างประเทศ

นักเล่นหุ้น-นักลงทุน

ความแตกต่างที่ดำรงอยู่ในตลาดฯ

ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะมีบทบาทเป็นทั้งนักเล่นหุ้นและนักลงทุนในเวลาเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ เส้นแบ่งของความแตกต่างในกลุ่มคน 2 จำพวกนี้อยู่ที่เงื่อนไข 2 ประการคือ ประการแรก การคาดหวังในผลตอบแทน และประการที่สอง หลักเกณฑ์ที่เป็นความเชื่อในการตัดสินใจลงทุน… นักเล่นหุ้นมีเป้าหมายการลงทุน เพื่อหวังผลตอบแทนจากกำไรในการขายหุ้นเป็นจุดสำคัญ การเข้า - ออกในการลงทุนจึงค่อนข้างรวดเร็วเมื่อจังหวะเวลามาถึง พวกนี้เขาไม่ถือหุ้นไว้นาน ๆ หรอก เวลาราคาได้ขึ้นไปถึงจุดที่เขาคาดหวังไว้เมื่อไหร่เขาขายหมดเลย พวกนี้จะไม่เก็บไว้" นักเลงหุ้นคนหนึ่งเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงพฤติกรรมการเล่นหุ้นของคนกลุ่มนี้

แต่ในตลาดหุ้น กลุ่มนักเล่นหุ้นที่ใช้กฎเกณฑ์ทางเทคนิค (TECHNICAL ANALYSIS APPROACH) เป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจซื้อ-ขาย ยังมีอยู่จำนวนน้อย "ไม่เกิน 100 คน" ผู้นำกลุ่ม TECHNICAL INVESTORS CLUB คนหนึ่งเล่าให้ฟัง

ความเชื่อของเขาอยู่ที่ทิศทางของราคาที่ผันแปรไปตามอารมณ์ของนักลงทุนที่เล่นหุ้นในตลาด โดยจะนำทิศทางของราคามาพล้อตกลงมาแบบแผนภูมิกราฟพวกนี้ ไม่เชื่อถือตรรกะการผันแปรทิศทางราคาที่เกิดจากมูลฐาน (FUNDAMENTAL FACTOR) และข่าวลือต่าง ๆ พวกเขามีความเชื่อว่า โดยเทคนิคของเครื่องมือและการนำตัวเองออกห่างจากความรู้สึกส่วนตัวในการตัดสินใจเป็นวิธีการที่ป้องกันตัวเองดีที่สุดในการลทุนเพื่อเก็งกำไร ปัจจุบันพวกเขากำลังดำเนินการเผยแพร่หลักทรัพย์เทคนิคให้แก่ผู้ลงทุนที่สนใจ โดยมีความหวังว่าอย่างน้อยที่สุดผู้ลงทุนในตลาดหุ้นควรจะยึดกฎเกณฑ์ใดกฎเกณฑ์หนึ่งเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ ซึ่งจากบทบาทอันนี้สะท้อนให้เห็นว่าได้เกิดมีความพยายามที่จะช่วยกันพัฒนาทักษะผู้ลงทุนให้มีความรู้ในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งในความหมายนี้เมื่อมองจากอดีตก็เห็นการพัฒนาปรากฏขึ้นมาก ด้วยในสมัยก่อนช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก (ระหว่างปี 2520-22) กลุ่มนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่มุ่งหวังเก็งกำไรโดยปราศจากความรู้ ไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลการตัดสินใจซื้อขายของตัวเองได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดหุ้นจะตกอยู่ภายใต้พลังทางจิตวิทยาเป็นส่วนใหญ่ แต่การตัดสินใจก็ไม่ได้จำกัดอยู่กับความเชื่อในกฎเกณฑ์ทางเทคนิคแต่เพียงส่วนเดียว เพราะปรากฏว่ายังมีกลุ่มนักเล่นหุ้นอีกจำนวนไม่น้อยที่สามารถปกป้องตัวเองจากความสูญเสียในการลงทุนด้วยความเชื่อในกฎเกณฑ์ขั้นมูลฐาน เขาไม่เชื่อว่า การยึดเครื่องมือทางเทคนิคจะสะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนเล่นในตลาดได้ดีที่สุด คนเล่นหุ้นทุกวันนี้รู้จักเลือกหุ้นที่ต้องการลงทุนด้วย เล็งเห็นว่า เป็นหุ้นที่มีผลการประกอบการดี มีความได้เปรียบในการประกอบธุรกิจ โกศล ไกรฤกษ์ เขาเป็นคนหนึ่งที่เล่นหุ้นโดยประกาศตัวเองว่าเป็นนักลงทุนมิใช่นักเล่นหุ้น เขาใช้หลักเกณฑ์ทางมูลฐานเป็นกฎเกณฑ์การตัดสินใจลงทุนด้วยความเชื่อในข้อมูลที่ครั้งหนึ่ง ในอดีตตนเองเคยมีประสบการณ์ ได้รู้เห็นถึงศักยภาพในการทำธุรกิจของหุ้นบางตัวในตลาด "ผมถือหุ้นไว้นาน แม้ราคาจะไต่ขึ้นไปสูงกว่าตอนที่ผมเข้ามาซื้อไว้อย่างหลายเท่าตัว แต่ผมก็ยังไม่ขาย ทั้ง ๆ ที่ถ้าผมขายเมื่อไหร่ก็ทำกำไรให้ผมหลายเท่าตัว" เขาพูดกับ "ผู้จัดการ" เพื่อยืนยันถึงจุดยืนของเขาในการเข้ามาทำธุรกิจลงทุนในตลาดหุ้น กล่าวกันว่า ผู้ลงทุนจำนวนไม่น้อยในตลาดอาศัยพฤติกรรมการลงทุนของเขาเป็นหลักนำในการลงทุน ซึ่งเขามักจะ "บ่น" ให้ผู้ใกล้ชดได้ทราบเสมอว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่พึงปรารถนาเลย เขาปรารถนาให้นักลงทุนใช้ดุลพินิจด้วยตัวเองอย่างมีเหตุผลสามารถอธิบายได้ถึงการตัดสินใจลงทุนของตัวเองมากกว่า

นักวิเคราะห์ปัจจัยขั้นมูลฐาน VS นักวิเคราะห์ทางเทคนิค

นักลงทุนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ไทย ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 200,000 รายหรือคิดเป็นสัดส่วน 0.04% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ตัวเลขนี้ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียได้เคยมาทำการสำรวจวิจัยไว้เมื่อปี 2526 และรายงานว่า มีผู้ลงทุนรายบุคคลในตลาดหลักทรัพย์น้อยกว่า 2.0% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ความสนใจของประชากรไทยที่มีต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีอยู่น้อยมากเพราะเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศ แต่อย่างไรก็ดี แม้อุปสงค์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะมีไม่มากนัก แต่คุณภาพหรือทักษะของนักลงทุนบางส่วนก็มีมากขึ้น การเติบโตด้านทักษะในการลงทุนจะเห็นได้จากเริ่มมีการใช้เครื่องมือทางเทคนิค (TECHNICAL ANALYSIS) และเครื่องมือวิเคราะห์ปัจจัยหุ้นขั้นมูลฐาน (FUNDAMENTAL ANALYSIS) มาเป็นกฎเกณฑ์ในการตัดสินใจลงทุนกันแล้ว จนทำให้ปัจจุบันสภาวะทางทักษะในการลงทุนของนักลงทุนในตลาด แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ

1. กลุ่มแรก นักลงทุนที่นิยมลงทุนแบบ "แห่ตามกัน" ด้วยความไม่รู้ ซึ่งกลุ่มนี้ยังมีอยู่จำนวนมากในตลาด

- กลุ่มที่สอง นักลงทุนที่ลงทุนด้วยความเชื่อในเครื่องมือวิเคราะห์ปัจจัยขั้นมูลฐาน ซึ่งมีจำนวนมากขึ้น ๆ

- กลุ่มที่สาม นักลงทุนที่ลงทุนด้วยความเชื่อในกฎเกณฑ์ทางเทคนิค

ในที่นี้จะกล่าวจำเพาะลงในกลุ่ม 2 และกลุ่ม 3 เท่านั้น เพราะเป็นกลุ่มที่แสดงออกถึงการพัฒนาทักษะการลงทุนในตลาดที่เด่นชัด และเริ่มจะมีบทบาทเป็นกระแสหลักมากยิ่งขึ้น

นักวิเคราะห์วิจัยขั้นมูลฐาน

กลุ่มนี้มีจำนวนนักลงทุนมากกว่ากลุ่มนักวิเคราะห์เทคนิค นักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาลงทุนในตลาดส่วนใหญ่จะมีความเชื่อในกฎเกณฑ์ข้อมูลฐานของหุ้น ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการตัดสินใจลงทุน เขามีความเชื่อว่าแม้ตลาดหุ้นจะตกภายใต้บรรยากาศของอารมณ์และจิตวิทยาของนักลงทุนเป็นส่วนใหญ่ที่ส่งผลให้ทิศทางของราคาหุ้นผันแปรไป แต่การใช้กฎเกณฑ์ขั้นมูลฐานของหุ้ฯเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์การลงทุนจะช่วยปกป้องความสูญเสียจากการลงทุนได้ อย่างน้อยที่สุดการวิเคราะห์ปัจจัยขั้นมูลฐานของหุ้นก็ทำให้ทราบถึงอัตราผลตอบแทนของการลงทุนหุ้นได้แม่นยำ

"เราดู YIELD ของหุ้นแต่ละตัวเป็นหลักเกณฑ์สำคัญ การผันผวนของราคาจะเป็นอย่างไร เราไม่แคร์ เพราะอย่างน้อยที่สุดเงินปันผลของหุ้นที่เราลงทุนไปก็สูงกว่าอัตราเงินดอกเบี้ยเงินฝากในสถาบันการเงินอยู่แล้ว" นักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดได้ปีเศษๆ ด้วยความรู้ขั้นปริญญาตรีจากคณะพณิชยศาสตร์การบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" เพื่อชี้ให้เห็นว่า เขาเข้ามาลงทุนในตลาดอย่างมีความรู้ที่สถาบันการศึกษาได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้

การวิเคราะห์ปัจจัยขั้นมูลฐานของหุ้นมีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจและสภาวะความเป็นไปของการประกอบธุรกิจของหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นเป็นสำคัญ ถ้ามองในระยะยาวแล้ว เส้นทางการลงทุนตามกฎอุปทานและอุปสงค์ของหุ้น จะสะท้อนราคาออกมาอย่างมีเหตุผล โกศล ไกรฤกษ์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และกรรมการบริษัทโตชิบา (ประเทศไทย) กล่าวว่า เขาเชื่อในหลักการการลงทุนด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยขั้นพื้นฐานของหุ้น (FUNDAMENTAL ANALYSIS APPROACH)จะช่วยปกป้องความสุ่มเสี่ยงจากการลงทุนได้ดียกตัวอย่างเช่น หุ้นA มีธุรกิจเกือบผูกขาดในการผลิตสินค้าและจัดจำหน่าย ผลกำไรในการประกอบการย่อมดีกว่าหุ้นB ที่มีโครงสร้างทางธุรกิจกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ดังนั้นในระยะยาวแล้ว หุ้น A จะมีราคาในตลาด สูงกว่า B เพราะอุปสงค์ต่อหุ้น A มีมากด้วยทุกคนเชื่อมั่นในผลตอบแทนและธุรกิจ A หลักการวิเคราะห์ปัจจัยขั้นมูลฐานหุ้นจะบอกแก่เราว่า YIELD ของหุ้น A สูงกว่า B การลงทุนในหุ้น A จึงปลอดภัยกว่า B และมีผลตอบแทนในรูปเงินปันผลศุงกว่าแถมยังมีโอกาสขายเอากำไรจากมูลค่าหุ้น (CAPITAL GAIN) ได้สูงกว่าหุ้น B อีกด้วย

พฤติกรรมการลงทุนของกลุ่มวิเคราะห์ปัจจัยขั้นมูลฐาน จะใช้หลักการคำนวณเพื่อดู YIELD ของหุ้นเป็นกลไกในการเลือกหุ้นที่จะลงทุน ในพอร์ตลงทุนของนักลงทุนกลุ่มนี้จะมีทั้งหุ้นเพื่อเกร็งกำไรในระยะยาว และหุ้นปันผลซึ่งพวกเขาถือว่า เป็นสินทรัพย์(ASSET) ที่มีค่าและมีสภาพคล่องสูง ดังนั้นพลังในการลงทุน จึงค่อนข้างจะเน้นหุ้นลงทุน ที่มีธุรกิจที่ได้เปรียบและมี YIELD สูง การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปยังหุ้นเก็งกำไรที่จะกระจายอยู่ในตลาดจะมีน้อย จุดนี้คือความแตกต่างจากพฤติกรรมการลงทุนของกลุ่มนักวิเคราะห์ทางเทคนิค

คณิต เศรษฐนันท์ นักบริหารการเงินหนุ่มตำแหน่งผู้จัดการโครงการพิเศษแห่งบริษัทไอบีเอ็มประเทศไทย ผู้ริเริ่มนำวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาใช้เป็นคนแรกในตลาดหุ้นไทย เขาประกาศตัวว่าเป็นนัก TECHNICALIST ที่แท้จริง ด้วยความเชื่อว่าวิธีการทางเทคนิคจะสามารถช่วยปกป้องความเสี่ยงในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนได้ดีกว่าวิธีการวิเคราะห์ปัจจัยขั้นมูลฐานหุ้น เขามีความเห็นต่อกลุ่มวิเคราะห์นักปัจจัยขั้นมูลฐาน(FUNDAMENTALIST) ว่า ในข้อเท็จจริงตลาดหุ้นไทยมีนัก FUNDAMENTALIST ที่แท้จริงน้อย เนื่องจากอุปสรรคการเข้าถึงและการรับรู้ถึงข้อมูลขั้นมูลฐานของหุ้นที่แท้จริง และรวดเร็วมีอยู่มากมาย เขามองว่ามีนักลงทุนบางจำพวกเท่านั้น ที่สามารถล่วงรู้ถึงข้อมูลขั้นมูลฐานของหุ้นในด้านลึก โดยที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้ พวกนี้แหละที่เขาให้นี้ยอมว่า น่าจะเป็นพวก FUNDAMENTALIST ที่แท้จริง ซึ่งนับว่านักลงทุนในความหมายนี้ก็คือ กลุ่มนักลงทุนที่เป็นเจ้าของกิจการนายธนาคาร และญาติพี่น้องเพราะกลุ่มนักลงทุนทั้ง 3 จำพวกนี้อยู่ในฐานะที่จะรับรู้ถึงข้อมูลด้านลึกของหุ้นในตลาดได้ดีกว่าผู้อื่น

อย่างไรก็ตามมองไปในอนาคต…เส้นทางการเติบโตของกลุ่มนักวิเคราะห์ปัจจัยขั้นมูลฐานหุ้นจะมีมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนหน้าใหม่ๆ เข้าทำนองเริ่มมีสำนึก "เหลียวหน้าแลหลัง" มากยิ่งขึ้นโยธิน อารี โบรคเกอร์ราายสำคัญผู้คว่ำหวอดกับตลาดหุ้นมานานแห่งบริษัทกรุงเทพธนาทรได้กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มนี้เติบโตอยู่ที่ปัจจัย 2 ประการ คือ ประการแรก ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีขนาดเล็ก และการกระจายของพลังการลงทุนในตลาดยังจำกัดอยู่ในวงแคบ ประกอบกับนักลงทุนมีความรู้ในการวิเคราะห์มากขึ้น ประการที่สอง ตลาดหลักทรัพย์และบริษัทโบรคเกอร์จัดฝึกอบรมแก่นักลงทุนมากขึ้น ทำให้วิทยากรการวิเคราะห์ปัจจัยขั้นมูลฐานเป็นที่รับรู้แก่นักลงทุนเพิ่มมากขึ้น เพราะตลาดเองก็หวังให้การลงทุนเป็นการลงทุนระยะยาวมากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น ๆ

กลุ่มนักวิเคราะห์เทคนิค

กลุ่มนี้มีคีย์แมนอยู่ 5 คน เป็นนักเล่นหุ้นมืออาชีพ ที่คลุกคลีกับตลาดหุ้นมาตั้งแต่ยุคแรก พวกเขามีภูมิหลังในอาชีพทางด้านเทคนิค เช่น วิศวกร นักบัญชี-บริหารการเงิน และนายแบงก์ ด้วยเหตุหนึ่งที่มีความผูกพันกับงานด้านเทคนิคมาตลอด จึงมีความเชื่อมั่นในหลักการและวิธีการทางเทคนิคในการตัดสินใจเล่นหุ้นอยู่มาก พวกเขามีความเชื่อมั่นว่ากฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์และสถิติที่นำข้อมูลทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาด (BOOKSCLUB INDEX) ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาเป็นข้อมูลในการคำนวณสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์หรือพลังทางจิตวทิยาของนักลงทุนในตลาดได้ และการสามารถล่วงรู้ถึงพลังทางจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดได้นี้เอง ที่จะเป็นเงื่อนไขให้การลงทุนหุ้นในตลาดของกลุ่มนี้สามารถปกป้องตัวเองจากความสูญเสียในธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนี้ได้ดีกว่านักลงทุนกลุ่มอื่น

กฎเกณฑ์ทางเทคนิคที่กลุ่มนี้นำมาใช้แม้นว่าปัจจุบันจะจำกัดวงอยู่แคบเพียงไม่เกิน 100 คน ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มนักลงทุนที่เรียกว่า TECHNICAL INVESTORS CLUB ก็ตาม แต่ก็มีที่มาที่มิได้เกิดจากการสร้างสรรค์ด้วยตนเองหากนำความรู้ หรือทักษะเหล่านี้มาจากสถาบันการลงทุนที่มีชื่อเสียงในตลาดหุ้น WALL STREET ของสหรัฐฯ ซึ่งนายธนาคารอาวุโสชั้นนำของเมืองไทยของท่าน เช่น สุวิทย์ หวั่งหลี จากธนาคารนครธน ก็เคยกล่าวให้ฟังว่า ในตลาดหุ้นทั่วโลกที่ใหญ่ ๆ ก็ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น POINT & FIGURE CHART และ MOVING AVERAGE CHART เป็นเครื่องมือสำคัญในการลงทุนทั้งนั้น

พลังในการลงทุนของกลุ่มนี้ไม่สูงนักไม่เกิน 10% ของมูลค่าการซื้อขายแต่ละวัน เมื่อเทียบกับสถาบันการลงทุน จึงไม่มีนัยสำคัญแต่อย่างใดต่อการกระทำให้ทิศทางของราคาหุ้นเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามเจตจำนง หลักการสำคัญที่เป็นพฤติกรรมการลงทุนของกลุ่มมี 2 ประการ คือ ประการแรก กลุ่มนี้ไม่ปรารถนาเป็นตัวริเริ่มสร้างราคาในตลาด หากมีบทบาทเป็นเพียงผู้ตามที่ยืนดูสังเกตการณ์ราคาในตลาด เพื่อคอยดูจังหวะเวลาที่เหมาะสมต่อการลงทุน และประการที่สอง กลุ่มนี้จะถือหุ้นไว้ระยะสั้น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการทำกำไร โดยการเข้าตลาดแต่ละครั้งจะกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตลาด จะไม่ยึดหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเป็นหลัก

สัมพันธ์ วิมลเฉลา คีย์แมนคนสำคัญคนหนึ่งของกลุ่ม ซึ่งคลุกคลีกับตลาดหุ้นไทยมายาวนาน และมีประวัติในประสบการณ์อันโชกโชนในงานด้านวิศวกรของบริษัทก่อสร้าง BECHTEL CORP. ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐฯ กล่าวในฐานะนักเล่นหุ้นคนหนึ่งว่า การเก็งกำไรคือเป้าหมายสูงสุดในการเล่นหุ้นของกลุ่ม ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องถือหุ้นไว้นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ตลาดมีราคาตกต่ำ และอุปสงค์การลงทุนซบเซา เขาจะไม่ถือหุ้นไว้เลยแม้สักหุ้นเดียว ซึ่งความจริงก็คือ เขาได้ขายหุ้นทั้งหมดที่เคยถือไว้ก่อนหน้าราคามีแนวโน้มตกต่ำและตลาดซบเซาไปก่อนเรียบร้อยแล้ว หลักการการลงทุนเช่นนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ย้ำถึงกฎเกณฑ์การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่รอคอยจังหวะและเวลาเข้าทำกำไรเมื่อภาวะตลาดเริ่มฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญอยู่ที่ความเชื่อในกฎเกณฑ์สัญญาณคำสั่งซื้อและขายที่ปรากฎใน CHART ที่ทำขึ้นโดยไม่หวั่นไหวต่อกระแสข่าวอื่นใดที่จะมีผลทำให้การตัดสินใจผันแปรไปเป็นอย่างอื่นนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ก็มีโบรคเกอร์บางรายที่มีความเห็นว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่น่าจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงพอต่อการตัดสินใจการลงทุนที่ถูกต้อง ด้วยเหตุที่ตลาดหุ้นไทยยังมีข้อจำกัดอยู่อย่างน้อย 2 ประการ คือ

- ประการแรก ขนาดของตลาด คือ จำนวนหุ้นที่เสนอขายในตลาดและปริมาณอุปสงค์ในตลาด ยังมีขนาดเล็กเกินไป

- ประการที่สอง พลังการลงทุนในตลาดยังไม่กระจัดกระจายไปยังนักลงทุนรายย่อยมาก สถาบันการลงทุนยังมีอิทธิพลสูงในการแทรกแซงราคาให้ผันแปรไปตามเจตจำนงได้

- ด้วยเหตุนี้ การใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อวิเคราะห์การลงทุน จึงไม่อาจ REFLECT อารมณ์หรือจิตวิทยาของผู้ลงทุนในตลาดได้ดี" โยธิน อารี กรรมการรองผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงเทพธนาทร โบรคเกอร์รายสำคัญในตลาดให้ความเห็น…

เขามองบทบาทกลุ่มนักวิเคราะห์ทางเทคนิคในแง่ที่เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่มีทักษะรู้จักใช้เหตุใช้ผลในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาก็ยอมรับว่า เครื่องมือทางเทคนิคเป็นสิ่งที่นิยมใช้กันมากในตลาดหุ้นใหญ่ ๆ ทั่วโลก ซึ่งที่นั่นเขาเห็นว่า มีความแตกต่างจากตลาดหุ้นไทยอย่างมากมาย ยกตัวอย่างในตลาด WALL STREET และ LONDON คุณภาพของนักลงทุนมีปริมาณและสัดส่วนสูงกว่านักลงทุนไทยมาก พลังการลงทุนจากนักลงทุนรายย่อยมีค่าสูงขณะที่สถาบันการลงทุนใหญ่ ๆ ก็มีการกระจัดกระจายในตลาด อิทธิพลการแทรกแซงราคาในตลาดให้ผันแปรไปตามเจตจำนง ไม่สามารถกระทำได้ง่ายด้วยขนาดตลาดใหญ่เกินไปที่จะสร้างความเสี่ยงด้วยวิธีการสร้างราคาเทียมเพื่อฉกฉวยเอากำไร ยกตัวอย่างในตลาดนิวยอร์ค (WALL STREET)

จากข้อมูลที่ ASIAN WALL STREET JOURNAL ฉบับวันที่ 11 สิงหาคม 2530 ได้ระบุว่า "มีการซื้อขายหุ้นในตลาด 172.4 ล้านหุ้น สำหรับวันที่ 10 สิงหาคม 2530" เทียบกับปริมาณการซ้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์กรุงเทพวันเดียวกัน ซึ่งมีจำนวนหุ้นเพียง 2.8 ล้านหุ้นเท่านั้นจะเห็นว่า ขนาดตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 10% ของขนาดตลาดหุ้นนิวยอร์ค

ประเด็นการโต้แย้งด้วยเหตุผลข้อจำกัดเงื่อนไข 2 ประการข้างต้น ยังไม่อาจสรุปได้ว่า มีข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง กลุ่มนักวิเคราะห์ทางเทคนิคได้โต้แย้งความเห็นกลับไปว่าการที่ตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็กและยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการแทรกแซงราคาของสถาบันการลงทุนน้อยราย กลับยิ่งเหมาะสมต่อการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อวัดอารมณ์การลงทุนของนักลงทุนในตลาดได้ดี เพราะการผันแปรของทิศทางราคาหุ้นแต่ละครั้งสามารถอธิบายเหตุผลการผันแปรนั้นได้ง่ายว่าเกิดจากอะไร

กรุงเทพธนาทร

"ผู้หลงใหลมนต์ขลังของธุรกิจหลักทรัพย์…

จนเป็นธุรกิจหลักของบริษัทไป"

เมื่อเอ่ยถึง "โยธิน อารี" คีย์แมนอันดับสอบของบริษัทกรุงเทพธนาทร มโนภาพแรกที่วิ่งเข้ามาในสมองรับรู้ถึงเขาในฐานะบุคคลที่คร่ำหวอดกับตลาดหุ้นไทยจนหลายคนที่เกี่ยวข้อง ยอมรับเขาในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ตลาดหุ้นและธุรกิจหลักทรัพย์ไทยมากที่สุดของเมืองไทย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าจะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจหลักทรัพย์ในไทยแล้ว ถ้าไม่มีโอกาสได้พูดคุยแสวงหาข้อมูลจากเขาแล้วก็ไม่อาจเป็นผลงานที่สมบูรณ์ได้…

บทบาททุกวันนี้ เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดและมีความหมายอย่างสำคัญยิ่งต่อ เชิดชู โสภณพนิช คีย์แมนอันดับหนึ่งของบริษัท ในการตัดสินใจทางธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัท ด้วยในฐานะที่เขามีประสิทธิภาพสูงในการวิคราะห์และมองสภาพการณ์ธุรกิจหลักทรัพย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

โยธิน อารี กล่าวให้ "ผู้จัดการ" ทราบว่า บริษัทกรุงเทพธนาทรในแรกเริ่มที่เขาได้สัมผัสมาในฐานะเป็นสต๊าฟรุ่นบุกเบิก เป็นส่วนธุรกิจหลักทรัพย์ของ ธ.กรุงเทพ ซึ่งได้แยกตัวออกมาจัดตั้งเป็นบริษัทเอกเทศในเวลาต่อมา เมื่อปี 2512 โดยร่วมลงทุนกับบริษัท CITIBANK OVERSEA INVESTMENT CORP. ซึ่งเขาได้เล่าให้ฟังว่า พาร์ตเนอร์รายนี้มีส่วนต่างสำคัญยิ่งในการช่วยวางรากฐานระบบงานและฝึกอบรมสต๊าฟของบริษัทในความรู้ด้านธุรกิจหลักทรัพย์

ด้วยเหตุที่บริษัทมีจุดกำเนิดจากแรงจูงใจในการทำธุรกิจหลักทรัพย์ ดังนั้น บทบาทการทำธุรกิจในปัจจุบันจึงมุ่งเน้นในธุรกิจนี้

"นโยบายของบริษัทมุ่งเน้นการทำธุรกิจหลักทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจหลักทรัพย์ในตลาด PRIMARY MARKET" โยธิน อารี คีย์แมนของบริษัทกล่าวกับ "ผู้จัดการ"…

เมื่อพิจารณาจากพอร์ตรายรับของบริษัทในปี 2529 ธุรกิจหลักทรัพย์ทำรายได้ให้บริษัทจำนวน 69 ล้านบาท จากยอดรายได้รวม 224 ล้านบาท หรือคิดเป็น 31% และจากข้อมูลเบื้องต้นที่บริษัทรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2530 ปรากฏว่ารายรับจากธุรกิจหลักทรัพย์ได้เพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านบาทจากยอดรายได้รวม 109 ล้านบาทหรือมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 37%

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อดูรายการรายรับในธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทช่วงปี 2529 แล้วกลับพบว่า โดยผลการทำธุรกิจไม่ได้มุ่งตามเจตนารมณ์ทางนโยบาย เพราะปรากฏว่า บริษัทกลับมุ่งทำธุรกิจหลักทรัพย์ไปในตลาดรอง (SECONDARY MARKET) ในปริมาณที่มากกว่าตลาดแรก (PRIMARY MARKET) รายรับจากรายการกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ และค่านายหน้ามีจำนวน 64 ล้านบาท เทียบกับค่าธรรมเนียมจำนวน 5 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งแสดงว่าฐานรายรับของบริษัทในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่การทำธุรกิจในตลาดรองเป็นนัยสำคัญ

นอกจากนี้ เมื่อได้พิจารณาไปที่หมวดสินทรัพย์ของบริษัทมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจในการดำเนินงานของบริษัทก็คือว่า ในรายการเงินลงทุนในหลักทรัพย์ บริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาต บริษัทลงทุนด้วยเงินจำนวน 38.6 ล้านบาท แต่บริษัทสามารถทำกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ได้สูงถึง 53.7 ล้านบาท

เป็นผลกำไรที่สูงกว่ายอดเงินลงทุนเสียอีก…!!

ข้อมูลผลการดำเนินงานนี้ สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทเป็นผู้ที่มีความสามารถในการทำธุรกิจหลักทรัพย์ในตลาดอย่างแท้จริง ซึ่งก็ไม่น่าจะแปลกใจมากนักเมื่อครั้งหนึ่งในอดีต สต๊าฟชั้นคีย์แมนของบริษัทเคยได้รับการฝึกอบรมและบริหารธุรกิจหลักทรัพย์มาอย่างดีจากบริษัท CITIBANK OVERSEA INVESTMENT CORP. ที่โด่งดัง

สำหรับในตลาดแรก (PRIMARY MARKET) ช่วงปี 2529 บทบาทการทำธุรกิจหลักทรัพย์ในตลาดนี้ ซึ่งได้แก่ การให้คำแนะนำ การค้ำประกันการจำหน่าย และการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ส่วนใหญ่เป็นเพียงผู้ร่วมการจัดจำหน่าย (CO-UNDERWRITER) มีเพียงหลักทรัพย์เดียวเท่านั้น คือ หุ้นกู้ของบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลคอสเมติคส์ (ICC) ที่บริษัทสามารถชนะการประมูลเป็นผู้บริหารจัดการ (UNDERWRITING MANAGER)

แต่ในปี 2530 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนฯ เพิ่มทุนดำเนินการและจำหน่ายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปมากขึ้นด้วยเล็งเห็นว่า ภาวะตลาดหลักทรัพย์กำลัง "บูม" ง่ายต่อการจำหน่ายหุ้นหมดตามเป้าหมายในเวลาอันรวดเร็ว ความสอดคล้องของตลาดเช่นนี้เป็นช่องทางให้บริษัทกรุงเทพธนาทร ทำธุรกิจประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์แก่บริษัทที่ต้องการเพิ่มทุนได้มากขึ้นกว่าช่วงปีที่ผ่าน ผลก็คือ บริษัทฯ สามารถเป็น UNDERWRITING LEAD MANAGER ได้หลายโครงการ ซึ่งแสดงว่า ฝีมือการทำธุรกิจหลักทรัพย์ในตลาดแรกของบริษัทกรุงเทพธนาทรได้รับการยอมรับจากตลาดไม่น้อย เทคนิคของการให้ได้มาซึ่งงานในโครงการ ไม่ใช่เรื่องของการอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวของบริษัทกับบริษัทที่ต้องการเพิ่มทุนเป็นปัจจัยสำคัญ หากอยู่ที่การคำนวณราคาหลักทรัพย์ที่สามารถจำหน่ายออกไปได้หมดภายในเวลาอันรวดเร็วต่างหาก โยธิน อารี คีย์แมนของบริษัทกรุงเทพธนาทรเปิดเผยเคล็ดลับการประมูลงาน UNDERWRITING ให้ "ผู้จัดการ" ฟัง…

ภัทรธนกิจ "ผู้นิยมทำธุรกิจแบบ

SOPHISTICATED มากกว่าความหวือหวา"

เป็นเวลากว่า 11 ปีในสนามธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัทภัทรธนกิจมีมูลค่าทรัพย์สินเกือบ 6,000 ล้านบาท จัดอยู่ในระดับ TOP FIVE การเติบโตของหลักทรัพย์ตกเฉลี่ยปีละมากว่า 10% มันไม่ง่ายนักที่จะบริหารทรัพย์สินขนาดนี้ให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว วิดรจน์ นวลแข คีย์แมนแถวหน้าสุดของบริษัท ซึ่งมีบุคลิกภาพเป็นคนเรียบง่าย ฉลาดหลักแหลม ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาในการสรรหาธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะนำมาพัฒนาธุรกิจที่เขาดูแลรับผิดชอบ ในวงการธุรกิจหลักทรัพย์ยอมรับบทบาทของเขาในความจริงใจที่จะพัฒนาระบบธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทยให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ สำหรับในหมู่สต๊าฟของเขาแล้ว มองว่าเขาเป็นนักพัฒนาบุคคลและวางระบบงานตัวฉกาจ "บริษัทภัทรธนกิจ มีการปรับปรุงองค์กรภายในบริษัทเฉลี่ยทุก 2 ปีต่อครั้งอยู่เสมอ" ทั้งนี้เหตุผลก็เพื่อต้องการให้รองรับกับเข็มมุ่งการทำธุรกิจของบริษัทที่ปรับตัวตามทิศทางความต้องการของตลาด ปัจจุบันองค์กรภายในบริษัทมีทั้งหมด 7 ฝ่าย ในจำนวน 5 ฝ่ายอยู่ในสายงานที่มีหน้าที่หารายได้เข้าบริษัททั้งสิ้น โดยอีก 2 ฝ่ายได้แก่ ธุรกิจ และบัญชี มีหน้าที่สนับสนุนเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่า เขาได้จัดวางองค์กรภายในบริษัทเน้นหนักการทุ่มกำลังทรัพยากรบุคคลไปที่แนวหน้าของสมรภูมิธุรกิจเป็นส่วนใหญ่นั่นเอง

ในแง่ของการทำธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัทภัทรธนกิจ ดูออกจะระมัดระวังอยู่สูงมากในการทำธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ (SECURITIES DEALER) ทั้ง ๆ ที่ภาวะธุรกิจ ซึ่งขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ (SECONDARY MARKET) กำลัง "บูม" สุดขีด ปริมาณการลงทุนในธุรกิจหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัท มีมูลค่าต่ำกว่าบริษัทชั้นนำรายอื่นที่อยู่ในอันดับ TOP FIVE ด้วยกันในพอร์ตรายรับทางธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัท เมื่อปี 2529 รายรับจากธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ มีสัดส่วนน้อยกว่ารายรับจากค่าธรรมเนียมเสียอีก

การ LOW PROFILE ในบทบาททางธุรกิจด้านนี้ของบริษัท สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในการบริหารธุรกิจของบริษัท ที่ไม่ปรารถนาจะทำธุรกิจแบบหวือหวา หากมุ่งหวังความแน่นอนและมีเสถียรภาพในผลตอบแทนมากกว่า ซึ่งในแง่นี้ โยธิน อารี คีย์แมนอันดับสองของบริษัท กรุงเทพธนาทร เพื่อนรักของเขา ก็เคยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงความเป็นคนค่อนข้างระมัดระวังอย่างสูงของวิโรจน์ นวลแข ในการทำธุรกิจหลักทรัพย์

อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับธุรกิจด้านการเป็นนายหน้า บริษัทภัทรธนกิจไม่หยุดยั้งตัวเองในการพัฒนาระบบบริการแก่นักลงทุนที่เป็นลูกค้าของบริษัทที่มีอยู่จำนวนประมาณ 300 ราย จุดที่บริษัทฉีกแนวการให้บริการให้แตกต่างจากคู่แข่งขัน เน้นที่ความถูกต้องและรวดเร็วของข้อมูลด้วยเครื่องมือทางคอมพิวเตอร์ที่บริษัทลงทุนพัฒนาโปรแกรมซอฟท์แวร์ VAX SYSTEM ด้วยตนเองให้สามารถใช้ได้กับเครื่อง DIGITAL ที่จัดซื้อมาด้วยเงินจำนวน 2 ล้านบาท ระบบโปรแกรมนี้จะสามารถช่วยลด TENSION ในการทำงานของสต๊าฟฝ่ายหลักทรัพย์ของบริษัทและสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งแบบออนไลน์ได้ภายในเวลา 5 วินาที บริษัทคาดหวังว่าระบบโปรแกรมนี้จะช่วยให้ลูกค้าของบริษัทสามารถรับทราบข้อมูลภาวะการค้าหลักทรัพย์ในแต่ละวันได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว

การที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมีแนวโน้มอัตราการเติบโตสูงขึ้นกว่าในรอบปีที่ผ่านมา กอปรกับธุรกิจหลายสาขาที่อยู่ใน SECTOR ส่งออก เริ่มฟื้นตัวขึ้นในการส่งออก ด้วยเหตุจากความพยายามพัฒนาตลาดส่งออกให้กว้างขวาง และหนักหน่วงยิ่งขึ้น สภาวะเช่นนี้ผลการประกอบการของบริษัทหลายแห่งที่จดทะเบียนไว้กับตลาดหลักทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ที่ดี หลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนหลายหลักทรัพย์จากจำนวน 99 หลักทรัพย์ในตลาด ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่กันอย่างล้นหลาม ดัชนีราคาหลักทรัพย์ในตลาด (SET INDEX) มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในแต่ละวันตกอยู่ในอัตราเฉลี่ยเกือบ 400 ล้านบาท ความเอื้ออำนวยต่อความนิยมในการลงทุนในตลาดทุน เป็นช่องทางให้หลายธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มทุนดำเนินงานเพื่อขยายกำลังผลิตรองรับกับแนวโน้มความต้องการตลาดสินค้าที่เพิ่มขึ้น ด้วยเล็งเห็นว่า โครงการเพิ่มทุนดำเนินงานสามารถกระทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก บริษัทภัทรธนกิจจับช่องทางตลาดในส่วนนี้มาให้อยู่ในไลน์ธุรกิจของบริษัททันที ฝ่ายวานิชธนาทร (INVESTMENT BANKING DEPARTMENT) ได้รับการจัดตั้งขั้นช่วงต้นปี 2529 นี้เอง เพื่อทำหน้าที่จับตลาดนี้อย่างจริงจัง

"วานิชธนาทร ความหมายไม่ได้เฉพาะจำกัดอยู่กับการทำธุรกิจจัดการลงทุนในหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงการเข้าไปบริหารจัดการโครงสร้างทางการเงินของหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ด้วย" วิโรจน์ นวลแข คีย์แมนของบริษัทเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงเข็มมุ่งที่แท้จริงของบริษัทในยุคปัจจุบัน

การใช้แนวคิดและวิธีการ INVESTMENT BANKING ใน SCOPE ของธุรกิจหลักทรัพย์เป็นเรื่องของการให้คำแนะนำโครงการเพิ่มทุนการอาวัลหลักทรัพย์ (หุ้นทุนและหุ้นกู้) จำหน่าย และการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ โดยได้รับค่าตอบแทนจากค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3-4 ของมูลค่าทุนที่เพิ่มในตลาด

ช่องทางธุรกิจนี้ ทำรายได้ให้กับบริษัทเป็นกอบเป็นกำมาก ในพอร์ตรายรับธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทจากรายการค่าธรรมเนียมให้บริการมีสัดส่วนสูงสุด และเมื่อเทียบกับบริษัทชั้นนำอื่น ๆ แล้วก็สามารถทำรายได้จากรายการนี้มากที่สุดด้วย โดยมีส่วนแบ่งตลาดจากบริการจัดการลงทุนหลักทรัพย์ประมาณ 76% ซึ่งส่วนใหญ่บริษัทมีบทบาทเป็น UNDERWRITING MANAGER มากกว่า CO-UNDERWRITER

วิโรจน์ นวลแข คีย์แมนของบริษัทเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า การทำธุรกิจนี้ของบริษัท บริษัทอยู่ในฐานะเป็นผู้นำตลาด เกือบทุกโครงการ บริษัทภัทรธนกิจมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ และมีไม่น้อยที่เป็นผู้นำการจัดการ ซึ่งก็อยากจะไม่เป็นการกล่าวอ้างเกินความจริงมากไปนัก เมื่อบริษัทอื่นที่อยู่ในเกรดชั้นนำเดียวกับบริษัทภัทรธนกิจก็ยอมรับบทบาทในการเป็นผู้นำตลาดนี้อยู่ไม่น้อย

โดยสรุป เมื่อพิจารณาจากแหล่งรายรับของบริษัทแล้ว สะท้อนอย่างชัดเจนว่า บริษัทภัทรธนกิจกำลังมุ่งทำธุรกิจด้าน INVESTMENT BANKING อย่างหนัก ซึ่งแน่นอนภาพพจน์ธุรกิจนี้ไม่หวือหวา ไม่สุ่มเสี่ยงแต่ SOPHISTICATED และปรัชญาของบริษัทภัทรธนกิจในธุรกิจหลักทรัพย์ก็คือ สิ่งนี้นั่นเอง

ธนชาติ

"ตัวเล็ก แต่ใจใหญ่ ผู้ชอบความหวือหวา…"

ในฐานะเป็น ARM FORCE ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีจุดกำเนิดจากการเข้า TAKE OVER บริษัทแค็ปปิตอลทรัสต์ เมื่อตุลาคม ปี 2523 ที่ประสบความล้มเหลวในการดำเนินงานบริษัทเงินหลักทรัพย์ธนชาติ…ก็คือ กองหน้าตัวสำคัญของธนาคารไทยพาณิชย์ในการทำธุรกิจหลักทรัพย์ด้วยขนาดของสินทรัพย์ที่ไม่ใหญ่โตนักเพียง 3,000 ล้านบาท โดยมีบันเทิง ตันติวิท คีย์แมนคนสำคัญของบริษัทเป็นกรรมการผู้จัดการ…

ด้วยพื้นฐานความรู้ระดับ MBA สาขาการเงินจากสถาบันเอ็ม.ไอ.ที. ของสหรัฐบวกกับประสบการณ์นับ 10 ปีที่ทำงานอยู่กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ที่เปรียบเสมือนสถาบันที่ผลิตนักบริหารการเงินและธุรกิจหลักทรัพย์ระดับมืออาชีพสู่วงการธุรกิจการเงินในประเทศไทย ทำให้เขา "บันเทิง ตันติวิท" เป็นนักบริหารธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ชั้นเซียนคนหนึ่งของวงการ ที่กลุ่มผู้ถือหุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติไม่อาจมองข้ามได้ที่จะต้องจับเขาขึ้นมาเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารขั้นสูงสุดในบริษัท

แต่อย่างไรก็ตามด้วยบุคลิคภาพของเขาที่ค่อนข้างจะพูดน้อยไม่ชอบวิสาสะกับสื่อมวลชนเท่าใดนัก ทำให้การมองภาพบทบาทธนชาติโดยผ่านจากตัวเขาไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่กระนั้นก็ตามด้วยข้อเท็จจริงจากกระแสข่าวในวงการธุรกิจหลักทรัพย์ที่เปิดเผยออกมาก็ยากที่จะปฏิเสธได้ว่า เป็น ACTIVE TRADER ที่โลดโผนในตลาดหลักทรัพย์ (SECONDARY MARKET) ซึ่งเชื่อกันว่า เขาเป็นผู้วางนโยบายและความคุมการบริหารอย่างใกล้ชิด โดยมีสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายธุรกิจหลักทรัพย์เป็นขุนพลคู่ใจ

"ในช่วงตลาด "บูม" ธนชาติจะ ACTIVE มากในการเข้าทำธุรกิจนี้ ซึ่งประสบผลสำเร็จมากพอสมควร" ผู้รู้คนหนึ่งในวงการเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง ซึ่งก็ไม่ผิดนักเมื่อพิจารณาจากผลการประกอบการของบริษัทช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือ ในพอร์ตรายรับจากธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทสามารถทำกำไรจากการลงทุนจาก 15 ล้านบาทในปี 2528 เป็น 59 ล้านบาท ในปี 2529 หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว และเมื่อพิจารณาจากรายรับในรายการค่านายหน้าก็ปรากฏว่า บริษัททำรายได้จากส่วนนี้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทชั้นนำรายอื่นที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่กว่าด้วยความใจถึง และรุกอย่างหนักในการทำธุรกิจหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดต่างเฝ้ามองบทบาทการลงทุนของบริษัทธนชาติอย่างไม่กะพริบตาและเป็นดัชนีที่สะท้อนออกมาให้ทราบว่า ภาวะราคาตลาดหุ้นในสถานการณ์ใด

"บริษัทเขามีชื่อเสียงด้านธุรกิจหลักทรัพย์ สถาบันการลงทุนต่างประเทศไว้ใจใช้บริการจากเขาอยู่บ่อย" สุวิทย์ หวั่งหลี นายธนาคารอาวุโสจากธนาคารนครธนที่ทุกคนในแวดวงธุรกิจธนาคารยอมรับเขาในฐานะบุรุษผู้สมถะและจริงใจต่อวงการธุรกิจการเงินอย่างแท้จริง ให้ความเห็นถึงบทบาทของ บงล.ธนชาติ ในสายตาของเขา

เมื่อดูจากพอร์ตรายรับทางธุรกิจหลักทรัพย์ของ บงล. จะเห็นจุดสังเกตหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า บงล.ธนชาติ ทำธุรกิจแบบปรับตัวตามสถานการณ์ตลอดเวลา ช่วงปี 2528 ซึ่งเป็นช่วงตลาดหลักทรัพย์ยังอยู่ในภาวะซบเซา บริษัทกลัวตัวมาทำธุรกิจด้านการเป็นผู้ให้บริการที่ปรึกษาและจัดการลงทุน ซึ่งในขณะนั้น สถาบันการลงทุนและนักลงทุนจากต่างประเทศเริ่มเข้ามาปูพื้นการลงทุนในตลาดมากขึ้น บงล.ธนชาติ ในฐานะเป็น ARM FORCE ในธุรกิจหลักทรัพย์ของธนาคารไทยพาณิชย์ก็อาศัย NETWORK ของธนาคารเข้าจับลูกค้าต่างประเทศไว้ก่อนบริษัทอื่น ซึ่งผลปรากฏว่ารายรับค่าธรรมเนียมจากการปรับตัวทำรายได้ให้กับบริษัทธนชาติสูงถึง 19.1 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าทุกบริษัทชั้นนำในขณะนั้น

การปรับตัวทำธุรกิจให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และรุกให้หนัก เป็นกลยุทธ์ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ใช้มาตลอด ซึ่งดูก็ประสบผลสำเร็จ บทบาทในแง่นี้ดูจะแยกไม่ออกจากบทบาทของ บันเทิง ตันติวิท ผู้กุมอำนาจสูงสุดของบริษัทในการบริหาร ซึ่งเพื่อนสนิทของเขาผู้หนึ่งได้กล่าวถึงบุคลิกภาพของบันเทิง ตันติวิท ไว้ว่า "ถ้าเขาจับทำอะไรแล้วมักจะเป็นที่หนึ่งเสมอ"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us