Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน29 มิถุนายน 2552
ตลาดหุ้นไทยQ3/52ผันผวน โบรกฯแนะกระจายลงทุนลดความเสี่ยง             
 


   
search resources

Stock Exchange




เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันก็จะผ่านครึ่งปีแรก 2552 แล้ว ตลาดทุนไทยได้ผ่านและเผชิญความผันผวนจากปัจจัยต่างๆมากมาย ทั้งปัญหาราคาน้ำมันแพง -ถูก ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น กระแสไหลเข้าอย่างทะลักล้นของเม็ดเงินต่างชาติ ความเชื่อมั่นต่อการลงทุนเสื่อมถอยจากวิกฤตเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งช่องทางการลงทุนในไทยที่เห็นอย่างแน่ชัด คือการลงทุนในหลักทรัพย์ และการลงทุนผ่านกองทุนรวม จะเป็นอย่างไรกตจ่อไป นักลงทุนควรให้ความสนใจต่อแนวโน้ม และทิศทางการลงทุนในไตรมาส 3 เป็นอย่างยิ่ง

พนุกร จันทรประภาพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงปลายไตรมาส2 เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย จำนวนมาก มีสาเหตุหลักมาจากการโยกเงินออกจากการลงทุนในพันธบัตรหลังจากที่อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง ประกอบกับมุมมองตลาดหุ้นดีขึ้น นักลงทุนจึงโยกเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นแทน ขณะที่มุมมองในด้านเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)และธนาคารต่างๆได้ประเมินว่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ว่า สหรัฐอเมริกา และยุโรป ยังคงติดลบต่อเนื่อง ขณะที่จีดีพีของเอเชียยังคงเป็นบวกและยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดี เช่น ประเทศจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งยังเป็นบวกไม่ติดลบตามประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน แม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น

"เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในขณะนี้ มีทั้งแบบที่เข้ามาลงทุนในระยะสั้นและในระยะยาว รวมทั้งยังมีนักลงทุนรายย่อยที่ยังรอกลับเข้ามาลงทุนอยู่อีก โดยที่ผ่านมานักลงทุนกลุ่มนี้ไม่กล้าจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เพราะยังไม่มีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหรือไม่ แต่เมื่อมีทั้งปัจจัยในประเทศและปัจจัยภายนอกเกิดขึ้นทำให้นักลงทุนกล้าที่จะกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ พี/อีตลาดหุ้นในประเทศไทยมีราคาถูกเป็นอันดับที่ 2 ของเอเชีย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนต่างประเทศที่ต้องการลงทุนในระยะยาว"

ขณะที่ ความน่าสนใจของสินค้าโภคภัณฑ์ พบว่า ราคาสินค้าในกลุ่มนี้ได้เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจขณะนี้ยังไม่ฟื้นมากนัก ทำให้นักลงทุนที่เข้ามาจะมองถึงการลงทุนและการทำกำไรในระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า โดยหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจะส่งผลให้ราคาของคอมอดิตี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม รวมไปถึงการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ว่าราคาน้ำมันจะในอีก 3 ปีข้างหน้า ราคาจะอยู่ที่95 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้นักลงทุนมีความหวังเกิดขึ้น

สำหรับ ไตรมาส 3/2552 ผู้จัดการกองทุนคาดว่านักลงทุนจะมีความมั่นใจต่อสภาพเศรษฐกิจมากพอสมควร จากตัวเลขเศรษฐกิจต่างที่สะท้อนให้นักลงทุนได้รู้ว่า เศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่ โดยนักลงทุนจะต้องติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่ามีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรและเป็นไปตามระบบเศรษฐกิจหรือไม่ เพราะถ้าหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว บริษัทต่างๆเหล่านี้ก็จะมีกำไรและฟื้นตัวตาม แต่ในทางกลับกัน หากกำไรของบริษัทหดตัวก็จะส่งผลลบต่อระบบเศรษฐกิจด้วย

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกช่วงนี้จะยังไม่ฟื้นตัว เพราะยังไม่ถึงจุดต่ำสุด เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงถอดถอยอยู่ ซึ่งคาดว่าจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในไตรมาส4/52 และการกระตุ้นให้เศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้นั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะต้องมีการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ในอนาคตระยะยาวอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และดอกเบี้ยจะปรับสูงขึ้น ทั้งนี้หากตราบใดที่เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัะว จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทำให้ฟื้นตัวระยะสั้นเท่านั้น

"คาดว่าตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส3/52จะมีการปรับตัวลดลงแรงจากที่ไม่มีข่าวดีเข้ามากระตุ้น และจากผลตอบแทนพันธบัตรมีการปรับตัวสูงขึ้น จากที่จะมีการออกบอนด์จำนวนมาก และจากผลประกอบการของบริษัทจดเบียนปรับตัวเพิ่มไม่มาก อีกธนาคารพาณิชย์ไม่มีการปล่อยสินเชื่อมากนัก แต่ถือว่าในช่วงไตรมาส3 นี้เป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปลงทุนจากหุ้นซึ่งมีทิศทางปรับตัวลดลงโดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่ 550 จุด"

ดังนั้นหากนักลงทุนควรมีการลงทุนระยะยาวเพื่อรับเงินปันผล ในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรลงทุนเพื่อทำกำไรส่วนต่างราคา เพราะ ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูง และไม่สามารถคาดได้ว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะเข้าออกเมื่อไร โดยหากนักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นปันผลไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร ก็ยังได้รับเงินปันผล และเมื่อหากเศรษฐกิจโลก มีการฟื้นตัวก็จะทำให้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น

"เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น เป็นเงินลงทุนระยะสั้น หากราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่งก็จะมีการขายกำไรออกมา ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยถือว่ายังมีความเสี่ยงในเรื่องปัจจัยการเมืองเพิ่มขึ้น โดยหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลเมื่อไร ถือว่ามีความเสี่ยงมากที่จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าปัจจุบัน"

ด้านศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า เศรษฐกิจกิจโลกจะยังไม่ฟื้นตัวไปอีกนาน ตราบใดที่คนว่างงานของสหรัฐอเมริกามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าในสัปดาห์นี้ที่จะมีการประกาศตัวเลข จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาบ้านในสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวลดลง และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังไม่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้กรณีที่สหรัฐฯกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการออกพันธบัตรจำนวนมาก หากมีการจัดการไม่ดี จะทำให้ผลตอบแทนของบอนด์ปรับตัวสูงขึ้น ดอกเบี้ยขึ้น เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และกระทบต่อตลาดหุ้นให้ปรับตัวลดลง แต่หากตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนักลงทุนจะต้องมีการระวังแรงเทขายทำกำไรออกมา

"นักลงทุนควรที่จะมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น การไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ การลงทุนน้ำมันเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ ที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว การลงทุนในทองคำ ซึ่งดีกว่าการลงทุนเฉพาะหุ้น และถือเงินสด"

แนะเทคนิคลงทุนหุ้น

มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นช่วงนี้จะสังเกตได้ว่ามีความผันผวนแบบพลิกความคาดหมาย จากสัญญาณความผันผวนของดัชนีฯที่เริ่มเห็นการปรับตัวลดลงอย่างมากมาตั้งแต่ในปีที่แล้ว ซึ่งคล้ายกับวิกฤตเศีรษฐกิจในปี 2540 แต่เนื่องจากในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสที่เราสามารถเข้าไปฉกฉวยได้ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นโอกาสและรู้จักใช้โอกาสนั้นอย่างคุ้มค่ามากแค่ไหน ซึ่งการลงทุนในหุ้นต้องรอโอกาสและใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์ จึงจะสามารถทำให้การลงทุนนั้นเป็นการลงทุนที่มีความคุ้มค่าและไม่เกิดความเสียหาย

สำหรับเทคนิคการลงทุน สิ่งที่นักลงทุนต้องมีพร้อมก่อนที่จะตัดสินใจ คือ ลงทุนหุ้นที่ต้องการลงทุน โดยนักลงทุนจะต้องทำการศึกษาและทำความรู้จักเกี่ยวกับข้อมูลของหุ้นตัวที่สนใจว่าประกอบธุรกิจประเภทใด และการรู้จักจังหวะในการลงทุน หรือคติที่ว่า ซื้อถูกขายแพง ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ เพราะหากเกิดการตัดสินใจผิดก็อาจจะบ่งบอกได้ถึงสัญญาณของความเสียหาย นอกจากนี้ต้องรู้จักดูราคาหุ้นให้เป็นว่าราคาหุ้นตัวใดถูกหรือแพง ซึ่งอาศัยดูค่า P/E เนื่องจากถ้าจะดูกันที่เนื้อราคาอย่างเดียว จะไม่สามารถตัดสินใจได้ ฉะนั้นค่า P/E จึงถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้และใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด อีกทั้งการลงทุนต้องมีระยะเวลาที่นานเพียงพอ เนื่องจากเป็นการลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความแกว่งตัวสูง ฉนั้นจึงไม่เหมาะที่จะลงทุนในระยะสั้น

อย่างไรก็ตามเทคนิคที่สำคัญอีกประการในการลงทุน คือ ต้องรู้จักการบริหารความเสี่ยง โดยการกระจายการลงทุนที่หลายหลาย ไม่เฉพาะเจาะจงในหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง หรือการเลือกรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับศัยภาพของตนเองก็เป็นการบริหารความเสี่ยงได้เช่นกัน อย่างในส่วนของนักลงทุนที่มีเงินลงทุนต่ำ แนะนำให้เลือกลงทุนในตราสาร TDEX ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่การลงทุนจะกระจายในหุ้น 50 บริษัท ที่ล้วนแต่เป็นหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งจะสามารถกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนจากตลาดฯแต่ผลตอบแทนยังคงดีอยู่

สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวต่อว่า เทคนิคการลงทุนในตลาดหุ้น นอกจะเรียนรู้ข้อมูลการลงทุนที่ดีแล้วยังต้องเรียนรู้และดูสถานการณ์รอบด้านควบคู่ไปด้วย ซึ่งเชื่อว่าจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะมีข่าวดีตามเข้ามาภายหลัง ทั้งจากมารตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และจากการสะท้อนของบรรดาหุ้นที่มีการปรับประมาณการเป็นขาขึ้น ซึ่งหุ้นบางตัวก็มีการปรับขึ้นทุกอาทิตย์ ทั้งในส่วนของมูลค่าและราคาที่ปรับขึ้นตาม รวมถึงต้องระมัดระวังเรื่องการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจากการออกพันธบัตรรับบาลด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการปรับขึ้นของดัชนีฯ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่ขณะนี้กำลังเข้มข้น

สรุปแล้ว ปัจจัยที่มีผลสำคัญต่อการลงทุนในไทยช่วงไตรมาส 3นี้ หนีไม่พ้นการติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะสิ่งที่จะทำให้นักลงทุนไม่ได้รับผลกระทบจากการลงทุนมากนัก หากรับทราบข่าวคราวความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของตนเองในทุกแง่มุม ก็จจะสามารถช่วยพินิจพิจราณาการลงทุนของตนเองได้ดียิ่งขึ้น ส่วนปัจัยในประเทศ เห็นที่จะหนีไม่พ้นผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจน ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีทิศทางไปอย่างไร อีกทั้งสถานการณ์การเมือง ก็ไม่ควรปล่อยปละ หรือนิ่งนอนใจไปได้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us