Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์22 มิถุนายน 2552
พันธบัตรจ่อคิวขาย'สิ้นยุคดอกเบี้ยต่ำ'น้ำมันมีสิทธิ์ดันเงินเฟ้อ-รัฐแบกต้นทุนแพง             
 


   
search resources

Bond




ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพุ่งดักหน้า หลังฤกษ์เสนอขายใกล้คลอด นักการเงินชี้ผู้มีเงินออมได้ผลบวก ส่วนคนมีภาระผ่อนอาจต้องทำใจ ดอกเบี้ยไม่ลงอีก วัดดวงน้ำมันดันเงินเฟ้ออาจเร่งดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่ม

หลังจากพระราชกำหนดกู้เงินเริ่มเดินหน้า พร้อมทั้งมีการแย้มว่าจะมีการออกพันธบัตรสำหรับผู้สูงอายุ ดอกเบี้ยขั้นต้น 2.5% รวมถึงการเตรียมออกพันธบัตรรุ่นแรก 3 หมื่นล้านบาท ทำให้อัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรเริ่มขยับขึ้น ประกอบกับการที่ธนาคารพาณิชย์เริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1% ยิ่งทำให้ผลตอบแทนในพันธบัตรอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะดอกเบี้ยระยะ 3 ปีและ 5 ปี ในช่วงครึ่งเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 0.5-0.7%

แน่นอนว่าจากนี้ไปอัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ในทิศทางที่สูงขึ้น เพื่อตอบรับกับพันธบัตรรัฐบาลที่เตรียมตัวจะคลอดในอีกไม่ช้า ส่วนจะปรับขึ้นมากน้อยเพียงใดคงต้องรอวันที่พันธบัตรรัฐบาลรุ่นแรกวางจำหน่าย

ผู้จัดการกองทุนรวมรายหนึ่งกล่าวว่า หากจะกล่าวว่าดอกเบี้ยเงินฝากถึงจุดต่ำสุดแล้วก็คงไม่ผิด เพราะเมื่อพระราชกำหนดกู้เงินผ่านได้แล้วนั่นหมายความว่ารัฐบาลก็ต้องเร่งออกพันธบัตรเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย และพันธบัตรส่วนใหญ่จะมีอายุ 3 ปีหรือ 5 ปี เห็นได้จากผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 ปีขยับมาอยู่ที่ 2.79% เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนพฤษภาคมขึ้นมาถึง 0.72% ผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปีเพิ่มขึ้น 0.5% มาอยู่ที่ 3.36%

ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลจากการคาดการณ์ของตลาด ส่วนจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงกว่านี้ตลาดจะเป็นตัวกำหนด

จากนั้นทางสำนักบริหารหนี้สาธารณะได้ออกมากล่าวถึงการเตรียมออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง เพื่อเสนอขายผู้สูงอายุที่ผลตอบแทนในปีแรกอาจอยู่ที่ 2.75-3% หลังจากนั้นจะเป็นดอกเบี้ยขั้นบันได ปีสุดท้ายอาจเป็น 4.5% เฉลี่ยแล้วไม่น้อยกว่า 3.75-4%

เขากล่าวต่อไปว่า ในด้านของผู้มีเงินออม อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นถือเป็นเรื่องดี เนื่องจากผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวน่าจะสูงกว่าเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ส่วนธนาคารพาณิชย์จะปรับดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นมาสู้หรือไม่ คงต้องขึ้นกับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารด้วย หากแบงก์ปล่อยสินเชื่อมากขึ้นก็ต้องระดมเงินฝาก

อย่างไรก็ตามเงินฝากระยะยาวของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่อาจจะมี 36 เดือน 48 เดือนหรือ 60 เดือนแต่ส่วนใหญ่ผู้ฝากเงินมักไม่ค่อยนิยมฝากเงินระยะยาวประเภทนี้กับธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นแบงก์อาจไม่เข้ามาเล่นในตลาดนี้

เมื่อแบงก์พาณิชย์เริ่มปรับดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการเร่งให้ผลตอบแทนระยะยาวเพิ่มขึ้น ด้านหนึ่งผู้ฝากเงินย่อมได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นการเพิ่มภาระให้กับรัฐบาลไม่น้อย เพราะผลตอบแทนที่สูงขึ้นหมายถึงรัฐต้องออกพันธบัตรในต้นทุนที่แพงขึ้นเช่นกัน

'รัฐคงไม่มีปัญหาหากพันธบัตรที่จะออกมาน่าจะมีผลตอบแทนราว 3% แต่หากรัฐออกได้ที่ต้นทุนต่ำกว่านี้น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เว้นแต่รัฐอาจต้องการใช้ดอกเบี้ยสูงเป็นทางออกให้กับประชาชนอีกทางหนึ่ง'

สิ่งที่จะตามมาหลังจากที่ผลตอบแทนพันธบัตรในตลาดซื้อขายตราสารหนี้ได้ขึ้นมาตอบรับพันธบัตรรุ่นใหม่ของรัฐบาลนั่นคือดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาวเริ่มอยู่ในทิศทางขาขึ้น เห็นได้จากพันธบัตรอายุ 1 ปีขึ้นไปเริ่มให้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย

ขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจของโลกเข้าสู่ภาวะฟื้นตัว ความต้องการเงินเพื่อฟื้นเศรษฐกิจย่อมมีมากขึ้น รวมถึงเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มเข้าไปลงทุนตามแหล่งลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง เช่น ในตลาดหุ้นที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงในประเทศไทยที่นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนอีกครั้ง ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายและดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทะลุ 600 จุดได้อย่างง่ายดาย

เช่นเดียวกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มมีนักเก็งกำไรเข้าไปมาลงทุนมากขึ้น จนราคาน้ำมันในตลาดโลกขยับขึ้นสูงกว่า 70 เหรียญต่อบาเรล

แม้ว่าช่วงก่อนหน้านี้อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยจะมีตัวเลขติดลบ แต่หากราคาน้ำมันปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่เงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกนั้นมีความเป็นไปได้สูง

ตรงนี้ถือเป็นสัญญาณว่าดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้นก็หมดสิทธิที่จะปรับลดลงเช่นกัน เพราะนอกจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่อยากเห็นดอกเบี้ยเงินฝากลดต่ำกว่าที่เป็นอยู่แล้ว ยังอยากเห็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับลดลงไปอีก ซึ่งเป็นไปได้ยากหากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น

อย่างน้อยดอกเบี้ยเงินกู้อาจจะนิ่งไม่ปรับลดลงไปอีก และหากธนาคารพาณิชย์เริ่มปรับดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้นขึ้น อีกไม่นานดอกเบี้ยเงินกู้ก็ต้องปรับตัวตาม แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นข่าวร้ายสำหรับภาคธุรกิจหรือประชาชนที่มีภาระกับธนาคาร แต่ยังน้อยกว่าการที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ยอมปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจและประชาชนตามปกติ

ทิศทางที่ดอกเบี้ยถึงจุดต่ำสุด และผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวเริ่มปรับตัวขึ้น ยังกระทบไปถึงกิจการที่เตรียมตัวออกหุ้นกู้ด้วยเช่นกัน หากพันธบัตรรัฐบาลกำหนดดอกเบี้ยไว้สูง หุ้นกู้เอกชนย่อมต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล เพื่อจูงใจให้คนหันมาซื้อหุ้นกู้ เนื่องจากหุ้นกู้มีความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรรัฐบาล

การตีกลับของอัตราดอกเบี้ยถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้มีเงินออม แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ที่มีภาระต้องผ่อนชำระและธุรกิจเอกชนที่ต้องการระดมเงินด้วยการออกหุ้นกู้ รวมถึงรัฐบาลที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจอาจทำได้ยากขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us