Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์22 มิถุนายน 2552
คาดไตรมาส 2 หุ้นกลุ่มปิโตรผลงานดีแต่ครึ่งหลังของปียังมีปัจจัยลบรออยู่             
 


   
search resources

Oil and gas




ไตรมาส 2 ราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มอะโรเมติกส์ และกลุ่มโอลิฟินส์ ฟื้นตัวและสเปรดยังอยู่ในระดับที่ดี ทำหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีผลงานดี แต่โบรกยังห่วงครึ่งปีหลังมี 2 ปัจจัยลบกดดัน ทั้งความต้องการใช้จำกัดและกำลังการผลิตกำลังการผลิตใหม่เพิ่ม

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ราคาปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งผลิตภัณฑ์ต้นน้ำ อาทิเอทิลีน และโพรพิลีน รวมถึงผลิตภัณฑ์กลางน้ำอย่าง MEG และ EDC โดยปรับตัวดีขึ้น 2.5-3%จากเดือนก่อนหน้า

สำหรับผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอย่าง HDPE ทรงตัวอยู่ที่ราคาสูงได้ ขณะที่ราคาเบนซีนที่ปรับตัวดีขึ้นอีกถึง 7.8%จากเดือนก่อน ทำให้สเปรดโดยรวมฟื้นตัวดีขึ้น จากราคาแนฟทาที่อ่อนตัวลงเล็กน้อยตามราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในระยะยาวจะปรับตัวสูงขึ้นที่จะส่งผลต่อราคาปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้นตาม ทำให้แรงดีมานด์เข้ามาต่อเนื่อง

นอกจากนี้ผลของสเปรดที่ตกต่ำในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ทำให้ปริมาณซัพพลายในตลาดลดลง รวมถึงจากปัจจัยบวกจากการเข้าฤดูกาลหยุดซ่อมบำรุงของโรงงาน Ethane cracker ในภูมิภาคเอเชียในช่วงพฤษภาคม-มิถุนายน ทำให้ราคาปรับตัวดีขึ้น

สำหรับไตรมาส 2/2552 จะได้รับผลบวกจากปัจจัยดังกล่าว และนโยบายเศรษฐกิจของจีน รวมถึงซัพพลายตึงตัวจากปริมาณสต็อกที่ลดลงในช่วงไตรมาส 1/2552 ส่งผลทำให้อาจมีแรงเก็งกำไรหุ้น บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH) ที่ผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวดีขึ้น โดยฝ่ายวิจัย ให้คำแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 63.00 บาท

“ผลประกอบการไตรมาส 2/2552 น่าจะดีทั้งกลุ่มอะโรเมติกส์ และกลุ่มโอลิฟินส์ แต่ฝ่ายวิจัยจะให้น้ำหนักกลุ่มอะโรเมติกส์ มากกว่า เพราะปัจุบันราคา และสเปรดยังคงอยู่ในระดับที่ดี จึงแนะนำ ซื้อหุ้น บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 25.50 บาท และหุ้น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ที่ราคาเป้าหมาย 49.00 บาท”

ด้าน วิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เกียรตินาคิน กล่าวว่า ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจีน ส่งทำให้ราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ทั้งกลุ่มอะโรเมติกส์ และกลุ่มโอลิฟินส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/2552 ที่ผ่านมา

“ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ยังมีส่วนต่างเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันดิบในช่วงเดือนเมษายน ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ 44.54 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล รวมถึงการประกาศเลื่อนกำหนดเดินเครื่องของโครงการขนาดใหญ่ในจีน และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ทำให้มีสินค้าออกมาน้อย”

ทั้งนี้จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2552 ปรับดีขึ้นจากไตรมาสแรก โดยเฉพาะ TOP ,PTTAR และ PTTCH ซึ่งคาดว่า PTTCH จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 1,800-2,300 ล้านบาท จากที่มีผลขาดทุน 393 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี แต่จะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2551 ที่มีกำไร 5,280 ล้านบาท

ขณะที่ TOP คาดว่าจะมีกำไรในไตรมาส 2/2552 อยู่ที่ 3,700-4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2,283 ล้านบาทในไตรมาสแรก แต่ลดลง จาก 10,546 ล้านบาท ในไตรามาส 2/2551 และคาดว่า PTTAR จะมีกำไร อยู่ที่ 4,000-4,200 ล้านบาทในไตรมาส 2/2552

อย่างไรก็ตามคาดว่า ราคาผลิตภัณฑ์จะเริ่มอ่อนตัวลดลงในครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว และกำลังการผลิตใหม่ในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยจีน ที่คาดว่าจะมีกำลังการผลิต HDPE เพิ่มขึ้นมามากถึง 2.3 ล้านตัน ขณะที่ CMAI คาดหมายว่าจะมีความต้องการใช้ในปี 2552 อยู่ที่ 0.25 ล้านตันเท่านั้น โดยปัจจุบันราคา HDPE อยู่ที่ระดับ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และสเปด HDPE อยู่ที่ 550 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดลง 6%จากเดือนก่อน และลดลง 9%จากปีก่อน

“ฝ่ายวิจัยยังห่วงครึ่งหลังอยู่ เพราะแนวโน้มราคาปิโตรเคมี และราคหุ้น จะถูกกดดันจากปัจจัยลบเยอะ ซึ่งเราจะอยู่ระหว่างทบทวนผลประกอบการของกลุ่มปิโตรอยู่ โดยช่วงนี้ยังคงน้ำหนักในระดับต่ำกว่าตลาดไว้ก่อน”

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยกำลังอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี เพื่อให้สอดคล้องกับผลประกอบการปัจจุบัน เนื่องจากคาดว่าในครึ่งแรกของปี2552 บริษัทในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีมีการบันทึกกำไรพิเศษมากอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ PTTAR ที่มีกำไรจากการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Gain) ไตรมาสแรกสูงถึง 2,425 ล้านบาท

กลยุทธ์การลงทุน มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแล้ว ขณะที่เชื่อว่าแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยลบจาก ความต้องการใช้ที่เติบโตในกรอบจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในครึ่งปีหลัง ซึ่งทั้ง 2 เป็นปัจจัยลบสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ และราคาหุ้น ทำให้ฝ่ายวิจัยยังคงน้ำหนักต่ำกว่าตลาดสำหรับการลงทุนหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us