* ไม่ผลิกโผสำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญา 2
*ซิโน-ไทย ของตระกูลชาญวีรกูล คว้าสัญญา 2 ตามคาด เฉือนช.การช่าง 280 ล้านบาท
*จับตาสัญญา 3 อิตาเลียนไทย ปะทะกลุ่ม PAR ของเจ๊แดง จะคว้าเค้นชิ้นสุดท้ายไป?
เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดเดากันว่า บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) (STEC)ของตระกูลชาญวีรกูล ที่กำลังเรืองอำนาจในรัฐบาลชุดนี้ จะเป็นผู้ชนะในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางใหญ่-บางซื่อ) สัญญา 2 โครงสร้างยกระดับส่วนตะวันตก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ซิโน-ไทยฯยื่นเสนอราคามาทั้ง 3 สัญญา แต่มีศักยภาพทำงานเพียงสัญญาเดียว และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ยังถือหางด้วยการเปิดโอกาสให้กับ บริษัท ซิโน - ไทย เข้าประกวดราคางานก่อสร้างทั้ง 3 สัญญา เพราะหากเปิดซองราคาพร้อมกัน จะทำให้บริษัท ซิโน-ไทยเสียโอกาสได้ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมือง เพราะเป็นรู้ดีว่าบริษัท ซิโน-ไทยฯเป็นของตระกูลชาญวีรกูล มีแบล็คดีอย่าง ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ที่เป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และมีอนุทิน ชาญวีรกูล สมาชิกบ้านเลขที่ 111คู่ซี้เนวิน ชิดชอบ ผู้มีบารมีนอกสภาของพรรคภูมิใจไทย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบริษัท ซิโน-ไทยถึงชนะการประมูล และแม้ว่าทางบริษัท ซิโน-ไทยจะออกมาปฏิเสธว่าไม่มีการเมืองเข้ามาเอี่ยวแต่ก็ไม่สามารถลบภาพของการเมืองออกได้
สำหรับโครงการก่อสร้างทางยกระดับส่วนตะวันตก สัญญา 2 ของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงระยะทาง 11 กม. มีจำนวน 8 สถานี เริ่มจากสถานีสะพานพระนั่งเกล้าถึงสถานีคลองบางไผ่ และงานก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศใต้ของสะพานพระนั่งเกล้า มีผู้รับเหมาเข้ายืนข้อเสนอจำนวน 3 บริษัท คือ กลุ่ม CKTC ที่มีบริษัทช.การช่าง(CK) เป็นแกนนำและได้งานในสัญญา 1 หลังจากที่ต้องยืดเยื้อมาเป็นเดือนจากการเจราจาค่าก่อสร้างไม่ลงตัว ซึ่งล่าสุดตัวเลขค่าก่อสร้างอยู่ที่ 14,842 ล้านบาท ในขณะที่สัญญา 2 บริษัท ซิโน-ไทยฯชนะกลุ่ม CKTC ไปเพียง 280 ล้านบาท หรือ จำนวน 15,320 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่ม CKTC เสนอราคามาที่ 15,600 ล้านบาท และกลุ่ม ITON เสนอราคามาที่ 16,397 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผลที่ออกมาคงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะที่ผ่านมามีกระแสข่าวออกมาว่างานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าของสายม่วง มีการแบ่งสัญญาให้กับผู้รับเหมารายละสัญญาแล้ว
ขณะชูเกียรติ โพธยานุวัตร ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ผู้ได้ดีได้นั่งเก้าอี้ตัวใหญ่รฟม.ในยุคที่พรรคภูมิใจไทยเรืองอำนาจ โดยมีกลุ่มเพื่อนเนวินดันจนได้คุมรฟม.ที่เป็นเจ้าของโครงการรถไฟฟ้า 10 สาย ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนรถไฟฟ้ากว่า 960,000 ล้านบาท รีบออกมาการันตีความโปร่งใสของการเปิดซองสัญญาที่ 2 ว่า ไม่เกี่ยวกับการเมืองอย่างที่หลายฝ่ายจับตาว่า สุดท้ายแล้วบริษัท ซิโน-ไทยจะต้องได้งาน 1 สัญญา สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง
การันตีความโปร่งใส
ชูเกียรติ กล่าวว่า การประกวดราคาทุกขั้นตอนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้และพร้อมที่จะชี้แจ้งต่อสาธารณะหากมีการร้องเรียน ซึ่งหลังจากนี้รฟม.จะให้ที่ปรึกษาทำการตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขค่าก่อสร้างของผู้ประกวดราคาทั้ง 3 กลุ่ม ว่ามีความถูกต้องหรือไม่ และรายงานให้รฟม.ทราบในสัปดาห์นี้ก่อนจะเสนอไปให้องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น(ไจก้า) เห็นชอบ ขณะเดียวกัน คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาก็จะเจรจาต่อรองราคาค่าก่อสร้างกับบริษัท ซิโน-ไทยฯต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่าค่าก่อสร้างสัญญา 2 จะลดลงใกล้เคียงกับสัญญา 1 คือ ประมาณ 12 % เพราะลักษณะโครงสร้างงานทั้ง 2 สัญญานี้ใกล้เคียงกัน แต่สัญญา 2 จะมีข้อได้เปรียบเรื่องการจัดการระบบจราจร ขณะที่สัญญา 1 จะก่อสร้างในเขตที่มีการจราจรหนาแน่นกว่า ส่วนกรณีที่บริษัท ซิโน-ไทยฯได้งานสัญญา 2 ไปนั้น คงไม่กังวลว่า บริษัทซิโน-ไทยจะดำเนินงานไม่ได้ตามแผนเช่นเดียวกับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ เพราะโครงการนี้เกิดจากปัญหาหลายๆอย่าง เช่น ปัญหาน้ำท่วม การรื้อย้ายชุมชน ซึ่งไม่ได้เกิดปัญหาจากบริษัทเพียงอย่างเดียว อีกทั้งบริษัทยังได้งานก่อสร้างในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงด้วย
ด้านตัวแทนจากบริษัท ซิโน-ไทยฯ กล่าวว่า บริษัทต้องการรับงานนี้ เพื่อให้โรงงานหล่อโครงสร้างที่ได้ลงทุนในช่วงที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงก์ สามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง และคุ้มค่าต่อการลงทุน โดยมั่นใจว่าจะก่อสร้างโครงการได้แล้วเสร็จตามสัญญา
'การปรับลดตัวเลขค่าก่อสร้างให้เท่ากับกลุ่ม CKTC ที่ปรับลดลงมากเกือบ 2,000 ล้านบาทนั้น คงไม่สามารถปรับลดค่าก่อสร้างลงมาได้ เพราะมูลค่างานของสัญญา 2 ต่ำกว่าสัญญา 1 โดยราคาประเมินของสัญญา 2 อยู่ที่ราคา 12,600 ล้านบาท ขณะที่ราคาประเมินสัญญา 1 อยู่ที่ 13,500 ล้านบาท ส่วนจะปรับลดลงมาเท่าไหร่นั้นคงต้องรอพิจารณาหลักเกณฑ์การปรับลดค่าก่อสร้างของสัญญา 1 ว่าใช้วิธีการคิดอย่างไรและปรับลดราคาจากงานส่วนใด'ตัวแทนจากซิโน-ไทยระบุ
ด้านตัวแทนจากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)(ITD) กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทเสนอราคาค่อนข้างสูง เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการดำเนินโครงการ เพราะที่ผ่านมาบริษัทมีประสบการณ์ในการรับงานจากภาครัฐ และพบปัญหาว่าเนื้องานในโครงการนี้มีความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่จัดทำข้อเสนอด้านราคาพบว่าราคาน้ำมันและราคาวัสดุมีความผันผวนอย่างมาก ส่งผลให้การคำนวณราคาค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าบริษัทไม่ต้องการรับงานนี้ เพียงแต่ที่ผ่านมาเจ็บตัวจากงานภาครัฐ เมื่อรู้มากก็กลัวมาก จึงเสนอราคาค่อนข้างสูง เพราะกลัวความเสี่ยง
สำหรับสัญญา 3 ศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ มีเสนอราคา 5 บริษัท ได้แก่ 1.กลุ่มบริษัท CKTC ที่มีช.การช่างของตระกูล ศรีวิศวเวทย์ ผู้สนับสนุนหลักพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ซึ่งได้งานสัญญา 1 ในราคา 14,842 ล้านบาทไปแล้ว เมื่อวันที่13 ม.ค.ที่ผ่านมา 2. บริษัท ซิโน-ไทยฯที่เพิ่งได้งานสัญญา 2ไปสดๆร้อน ล่าสุดได้ถอนตัวจากการร่วมประกวดราคาสัญญา 3 แล้ว เนื่องจากว่ามีศักยภาพในการทำงานเพียงสัญญาเดียว 3. กลุ่ม TAKENAKA-RITTA Joint Venture ประกอบด้วย TAKENAKA ,บริษัท ฤทธา จำกัด 4.กลุ่มบริษัท PAR Joint Venture ประกอบด้วย บริษัท แอสคอน คอนสตัรสชั่น ที่มีผู้หนุนหลังอย่าง เจ๊แดง เยาวภา ชินวัตร น้องสาวอดีตนายกรัฐมนตรีและมีความใกล้ชิดกับพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา นอกจากนี้ ยังมีบมจ.รวมนครก่อสร้างและPower line Engineering Public Company Limited และ 5. บมจ.อิตาเลียนไทยฯ ทั้งนี้แหล่งข่าวจากรฟม.กล่าวว่า งานสัญญา 3 มีความเป็นไปได้สูงว่า 2 บริษัท คือ กลุ่ม PAR และ อิตาเลี่ยนฯ ของตระกูลกรรณสูต จะได้งาน ซึ่งจากนี้ไปคงต้องจับตาดูว่าสัญญา 3 กลุ่มทุนกลุ่มใดจะได้งานไป
ชูเกียรติกล่าวถึงงานการเปิดซองสัญญา 3 ว่า น่าจะสามารถเปิดสัญญา 3 ได้สัปดาห์นี้ และรฟม.จะคืนซองสัญญา 3 ให้กับซิโน-ไทย โดยไม่เปิดซอง เพราะซิโน-ไทยฯได้งานสัญญา 2 ไปแล้วอีกทั้งมีศักยภาพในการดำเนินงานเพียงสัญญาเดียว จากที่ยื่นข้อเสนอทั้ง 3 สัญญา ส่วนสัญญา 1 คาดว่าจะสามารถรายงานให้กระทรวงคมนาคมทราบเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้ประมาณปลายเดือนนี้และน่าจะลงนามก่อสร้างได้เดือนก.ค.2552
อย่างไรก็ตาม บริษัทรับเหมาทุกบริษัทที่เข้าประมูลงาน แม้ว่าจะเคยใกล้ชิดกับขั้วอำนาจเก่าและคอยอาศัยใบบุญให้ได้งานจากรัฐบาล แต่เมื่อการเมืองเปลี่ยน ขั้วอำอาจใหม่เกิดขึ้น กลุ่มนายทุนย่อมปรับตัวเองตามกระแสการเมือง เพื่อที่จะให้ตัวเองยืนยัดอยู่รอดได้จากการได้งานใหญ่ๆที่เกิดขึ้น
|