คนที่สามารถหยามหยันกับความตายได้โดยไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวคนเช่นนี้ใยเล่าไม่มีความสุข
พิพัฒ พะเนียงเวทย์ คนที่ไม่สนิทสนมกันจริง ๆ อาจไม่เชื่อว่าอายุเขาจะ
49 ปีแล้วกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทไทยเพรสซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด เจ้าของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
"มาม่า" และขนมปังฟาร์มเฮาส์ ผู้ถือลิขสิทธิ์เสียงหัวเราะและอารมณ์ขบขันเป็นโอสถขนานเอก
ย่อมเป็นหนึ่งในจำนวนผู้คนน้อยนิดเหล่านั้น
เมื่อพิพัฒอายุ 47 ปี โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแท้จริง นอกจากความรู้สึกที่บอกกับตัวเองว่า
อาจเป็นเพราะการค้าตกต่ำถึงขั้นมีปากเสียงกับผู้ถือหุ้น และความมุ่งมั่นต่อการเรียน
MBA. จนเกินขอบเขตคงเป็นต้นเหตุให้เกิดความตึงเครียดก่อนที่จะนำไปสู่อาการร้ายแรงของโรคโซไทซีส
(โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง)
อาการที่ปรากฏเริ่มจากผิวหนังตามเนื้อตัวเปื่อยยุ่ยเป็นขุย ผมร่วงเป็นหย่อม
ๆ แล้วกำเริบเสิบสานไปตามไขข้อต่าง ๆ ส่อ แววของการเป็นอัมพาต น้ำหนักตัวลดอย่างฮวบฮาบ
หลายคนที่เห็นสภาพอย่างนี้ลงมติเป็นเสียงเดียวกันว่า "โลกอันโสภาของพิพัฒคงหยุดอยู่เพียงแค่นั้น
เขาคงไม่รอดแน่ ๆ "
เขาต้องวงเวียนเข้าออกทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลทุก ๆ เช้า 2 ปีติดต่อกันด้วยความเชื่อมมั่นและกำลังใจที่ไม่เคยถดถอย
อันเป็นคุณสมบัติที่ดีประการหนึ่งซึ่งได้รับมาจากการเป็นนักกีฬาว่ายน้ำระดับทีมชาติที่ยังถูกถ่ายทอดมาถึงการทำงานอีกด้วย
ทำให้หลุดพ้นจากความตายมาได้อย่างรื่นรมย์
กลับมาบุกปั่นจนบริษัทพลิกฟื้นจากความร่อแร่ที่เคยขายสินค้าได้เพียง 200
กว่าล้านในปี 2528 ทำยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 500 ล้านในปีที่ผ่านมา และคงเฉียดหลักพันล้านในปีนี้
ถึงกับทำให้ผู้ถือหุ้นที่ไม่เคยลงรอยกันในแนวทางแก้ปัญหาเร่งเร้าให้เขาเพิ่มทุนของบริษัทฯอย่างสาแก่ใจ
พิพัฒเป็นคนครื้นเครงที่ไม่ค่อยก้มหัวให้ใครง่าย ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเขาอาจสามารถเชือดใจคนให้เจ็บแสบได้ปานกัน
ตอนที่บริษัทยอบแยบเขายึดมั่นกับวิธีแก้ไขส่วนตัวว่า เขาเป็นผู้บริหารอาชีพไม่ใช่เป็นคนที่ต้องคอยรับคำสั่งเพื่อเอาใจนาย
"ผลประโยชน์บริษัทสำคัญ เรื่องของคุณ (ผู้ถือหุ้น) ก็เรื่องของคุณ"
เขาเปรยห้วน ๆ ก่อนส่งเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจตามมา
ในการเพิ่มทุนบริษัทฯเมื่อเร็ว ๆ นี้แทนที่หุ้นส่วนใหญ่จะถูกขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม
เขากลับกระจายหุ้นให้กับพนักงานมากกว่า เรื่องนี้แม้แต่วิโรจน์ ภู่ตระกูล
ประธานฯลีเวอร์ฯซึ่งเป็นอาจารย์สอนเอ็มบีเอที่ธรรมศาสตร์ยังเย้าแหย่ว่า "ลื้อรู้ไหมผู้ถือหุ้นบางคนเขาเกลียดลื้อจะตายอยู่แล้ว"
ฐานะของความเป็นผู้บริหารที่มีไม่ากคนนักในเครือสหพัฒนพิบูลซึ่งมีผลงานเป็นที่โดดเด่นยอมรับของคนทั่วไป
และยังอาจมีแนวคิดมไสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นใหญ่บางคนของบริษัทอยู่นั้นทำใหืเขาเข้าใจถึงสภาพการยืนหมิ่นเหม่ออยู่ริมปากเหวได้เป็นอย่างดี
เขาบอกสั้น ๆ ว่า ฝีมือเท่านั้นที่จะค้ำให้เขาสามารถอยู่เพื่อผลักดันแผนพัฒนาบริษัทฯไปในทิศทางที่กำหนดไว้แล้วก่อนจะรีไทร์ตัวเองเมื่ออายุ
55 ปีศรี
แต่จุดเด่นในสายตาคนอื่นมองว่า พิพัฒเป็นนักบริหารที่เป็นนักบริหารจริง
ๆ ความที่มีจิตใจเป็นนักสู้ของการเป็นนักกีฬาทำให้เขาไม่ค่อยเกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนมากนัก
อย่างเช่นคราวที่ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์เข้าไปซื้อกิจการโรงงานทำเส้นหมี่ยังซีเกียง
(ฮองเฮา) หลังจากที่ถูกปฏิเสธจากโรงงานในเครือที่ไม่ยอมรับผลิตสินค้าให้
จากการคาดคะเนผิดว่าความต้องการของเส้นหมี่ในตลาดมีไม่น้อยกว่า 80,000
หีบ/เดือน เกิดการพลิกล็อคถล่มทลาย ไทยเพรซิเดนท์ต้องแบกรับภาระขาดทุนโรงงานใหม่หลายสิบล้าน
จนเป็นเหตุให้เขาเกิดปากเสียงกับผู้ถือหุ้นที่ขอให้หยุดเดินเครื่องโรงงานแห่งนี้
"หยุดไม่ได้" พิพัฒแข็งกร้าวมากกับการแก้ปัญหาอย่างนี้ เขาไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้นดำเนินการแก้ไขด้วยการรับจ้างผลิตเส้นหมี่ให้กับค่ายอื่น
ๆ ที่เป็นคู่แข่งกันอยู่ วิธีการนี้ทำให้โรงงานมีรายได้พอที่จะจุนเจือกิจการให้อยู่ต่อไปได้
และทำท่าจะไปได้สวยในปัจจุบันซึ่งเขาสนับสนุนลูกน้องคนหนึ่งให้รับผิดชอบ
"ผมว่าการที่ผมเป็นักกีฬาทำให้มีนิสัยและความคิดในการทำงานหรือแก้ไขปัยหาอย่างเสี่ยงได้เสี่ยงเสีย
เล่นกีฬาเราตัดสินการแพ้-ชนะด้วยความเชื่อมั่นภายในเสี้ยววินาที การทำการค้าก็เช่นกันบาทีไม่อาจรีรอได้การทีผมรับจ้างผลิตสินค้าให้คู่แข่งเขาเชื่อใจว่าต้องไม่เบี้ยวเพราะยอมรับในความเป็นนักกีฬาที่ถือสัจจะ"
เขาสรุปปรัชญาหนึ่งของการทำงานให้ฟัง
พิพัฒมีอดีตเป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติที่ผ่านมาการประลองความสามารถในสระมานับครั้งไม่ถ้วน
เคยได้รับเหรียญรางวัลความสำเร็จมามากมาย และยังเคยทำลายสถิติว่ายน้ำของประเทศจีนมาแล้ว
และเกียรติอันสูงสุดที่ได้รับคือ เขายังเป็นนายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทยอีกตำแหน่งหนึ่ง
แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เขาออกจะน้อยใจอยู่มากกว่า ขณะที่ค่ายอื่น ๆ เริ่มติดอาวุธด้านกีฬาประสานเข้ากับการวางหมากทางการค้าอย่างลุ่มลึก
เครือสหพัฒนพิบูลที่มีเขาอยู่และมีความพร้อมโดยส่วนตัวในทุก ๆ ด้านมากกว่าทุก
ๆ ค่าย แต่น่าเสียดายที่ยังไม่อาจเห็นคุณค่าและประโยชน์ในส่วนนี้ของเขา
กีฬาทำให้เขาสนิทสนมกับผู้ใหญ่หลาย ๆ คนไม่ว่าจะเป็น พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์
อดีตนายทหารที่เคยมีบทบาทสูงและยังเป็นคหบดีที่ร่ำรวยมากอีกคนหนึ่ง หรือแม้แต่พล.อ.ชวลิต
ยงใจยุทธ ที่เขามีภาพถ่ายคู่กันวางโชว์ไว้ในห้องทำงาน
"เวลาผมคุมทีมไปแข่งต่างประเทศได้พบคณะกรรมการโอลิมปิคสากบของประเทศต่าง
ๆ ที่ส่วนมากจะเป็นพ่อค้ามักถามว่าจะให้ช่วยเหลืออย่างไรบ้าง คิดว่าขอให้ไทยเพรสซิเดนท์ฟูดส์โตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย
ผมจะผลักดันให้เข้าไปมีส่วนด้านนี้แน่นอน" เขาย้ำความมั่นใจ
นายห้างเทียมเคยไม่ยอมให้เขาไปแข่งว่ายน้ำในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 3 ปี 2507
เพราะกำลังเลื่อนตำแหน่งทำงานให้
พิพัฒคล่องแคล่วปราดเปรียดมากกับการว่ายแบบผีเสื้อในสมัยหนุ่มที่ร่างกายของเขาพลิ้วไปตามคลื่นจนทำลายสถิติในการแข่งขันมาแล้วหลายครั้ง
ทว่าน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่ต้องชิมรสชาติของสินค้าที่ผลิตทำให้ต้องหันกลับมาว่ายกบ
ทุกเช้าก่อนมาทำงานต้องลงสระว่ายน้ำประมาณ 20 นาที สลับกับการขี่จักรยานอยู่กับที่อีก
15 นาที
เขาค่อนข้างให้ความสำคัญต่อการว่ายน้ำแล้วพลัดมาเป็นนักบริหาร-นักการตลาดที่ลือชื่อ
ค่อนข้างตลกไม่น้อยเดิมทีสมัยที่ไปเรียบต่างประเทศ เขาต้องการสมัครเข้าเรียนเป็นนายแพทย์แต่เมื่อลงไปวายน้ำในสระครูฝึกเห็นหน่วยก้านดีเลยจับยัดให้ไปเรียนด้านพลศึกษาแทน
แต่เขาเห็นว่า POTENTIAL ด้านกีฬาในช่วงนั้นคงหากินลำบากเลยต้องเรียนเสริมด้านการตลาดไปในตัว
เขาเคยยกสุภาษิตจีนเปรียบเทียบกับเส้นทางชีวิตของเขาว่า นับว่าเขาเป็นคนที่เกิดมามีบุญติดตัวมาก
ๆ นับว่าเขาเป็นคนที่เกิดมามีบุญติดตัวมาก ๆ ตัดสินใจแต่ละครั้งไม่เคยผิดพลาด
เหมือนภาษิต "ตาโปไหม่ยิบตาฮั้ง จาโบ้ใหม่แก่ต่าฮั้ง" หรือแปลว่า
ผู้หญิงอย่าแต่งงานผิด ผู้ชายอย่าเข้าห้างผิด
อีก 6 ปีที่เหลือกับไทยเพรสซิเดนท์ฟูดส์และเครือสหพัฒนพิบูลคงได้รู้ว่าเขาเข้าห้างผิดหรือเปล่า
พิพัฒเคยมีบทเรียนเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินที่หวุดหวิดทำให้เมียไม่พอใจมาแล้ว
และก็เป็นอุทาหรณ์เตือนเขามาตลอดทั้งในการทำงานและส่วนตัว เขาคุยเรื่องนี้ด้วยท่าทีเริงร่าและตั้งชื่อวา
"นิทานนกกระจอกกินจักรเย็บผ้า" มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาว่าเป็นความเลว
เขาไปร่วมเล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อ เสียเงินไป 800 บาท พอดีเมียต้องการให้นำเงินไปซื้อจักร
จักรก็ไม่ได้เงินก็หมด นกจิกกินไปเกลี้ยง
ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงหันหลังให้กับการพนันโดยสิ้นเชิง
พิพัฒในความเป็นส่วนตัวที่น่าสนใจของเขาอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาเป็นคนทันสมัยที่ยังนิยมแฟชั่นเก่า
ๆ นักบริหารรุ่นใหม่ส่วนมากมีทายาทไม่เกิน 2-3 คน แต่กับพิพัฒเขาสร้าง "อุบัติเหตุ"
โดยจงใจด้วยการมีบุตร-ธิดามากถึง 7 คน "มันเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ นะ"
เขากล่าวติดตลก
เขาไม่มีรสนิยมของเก่าราคาแพงอย่างผู้บริหารบางคน แต่พิสมัยได้ปลื้มมากกับการใช้ของใหม่ที่ราคาแพง
ๆ ชอบใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อหาซื้อของที่ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์กับเสื้อผ้า
จนถูกนาห้างเทียมกระตุกเจ็บ ๆ แสบ ๆ บ่อยครั้งว่า "ลื้อจะซื้อมันไปทำไมนักหนา"
ภายในห้องทำงานของเขาที่ต้องมีเสียงเพลงไทยสากลเบา ๆ คอยขับกล่อม โดยเฉพาะเพลง
"ฉากสุดท้าย" ของพัณนิดา เศวตาศัย นอกจากจะพรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์การทำงานทุกชนิดรวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เขาใช้เก็บข้อมูลแล้วนั้น
ครั้งหนึ่งเคยมีตุ๊กตาสีแดงเข้มตัวหนึ่งวางอยู่ข้าง ๆ
ตุ๊กตาตัวนี้เขาได้มาจากญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว เป็นตุ๊กตาอธิษฐานตามความเชื่อถือของคนญี่ปุ่น
ตอนที่ได้มายังไม่มีลูกตา คนที่ให้มาบอกให้ระบายลูกตาลงไปแล้วอธิษฐานว่าปีนี้ต้องการทำอะไรให้ประสบความสำเร็จเมื่อสมดั่งที่อธิษฐานแล้วก็ระบายลูกตาอีกข้างหนึ่ง
วันนี้ตุ๊กตาตัวนั้นมีดวงตาครบทั้งสองข้างแล้ว นั่นย่อมหมายถึงความสำเร็จที่สืบเนื่องกันมาตลอดในช่วงเวลา
2 ปีที่ผ่านมา ห่วงก็แต่ว่าอีก 6 ปีที่เหลือก่อนที่จะถึงฉากสุดท้ายของเขากับไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ยังมองเห็นความสำเร็จฉายฉานอีกมาก
แล้วเมื่อนั้นพิพัฒจะไประบายลูกตาตรงจุดไหนของตุ๊กตากันหนอ