หากนับคนเก่งในแวดวงธุรกิจไทย ชุมพล ณ ลำเลียงสมควรจะอยู่ 1 ใน 10 ปัจจุบันชีวิตและงานของเขาอาจจะยังไม่กลมกลืนกับวัฒนธรรมองค์กรธุรกิจใหญ่บางองค์กร
แต่สำหรับอนาคตแล้วย่อมเป็นการกลมกลืนอย่างยิ่ง
เวลาที่ชุมพล ณ ลำเลียง เอาจริงเอาจังมากที่สุด กล่าวกันว่า คือเวลาในสนามกอล์ฟ
หรือขณะหวดสควอชอย่างรุนแรง เพราะเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องใช้ทั้งกำลังสมองและกำลังกายอย่างมาก
หลายคนบอกว่าเวลาที่เหลือของเขาเหมือนช่วงของงานอดิเรก แม้กระทั่งในฐานะผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจใหญ่มาก
ๆ ของประเทศ
แต่ชุมพลคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือไม่ "ผู้จัดการ" ไม่ทราบ
สิ่งที่ได้รับรู้มาชีวิตของเขา ค่อนข้างลึกลับ โดยเฉพาะความเป็นมาหรือภูมิหลังทางครอบครัว
ทราบกันเพียงว่าพ่อของเขาชื่อไทยว่า "กระจ่าง" อาศัยอยู่ซอยสวนพลูซอยเดียวกับบ้าน
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชและมีหลักฐานค่อนข้างแน่ชัดว่าพ่อ - แม่ของชุมพล ณ
ลำเลียงเชื้อสายจีน นามสกุล "ณ ลำเลียง" ก็เป็นปรึกษาของคนทั่วไปบางคนคาดว่า
น่าจะหมายถึงพื้นฐานดั้งเดิมของครอบครัว เกี่ยวกับกิจการเรือลำเลียงซึ่งโยงไปถึงกิจการค้าข้าวด้วย
ชุมพล ณ ลำเลียงปฏิเสธให้สัมภาษณ์ "ผู้จัดการ" ด้วยเหตุผลว่าขอยึดถือสิ่งที่ปฏิบัติมาอย่างคงเส้นคงวาหลายปีแล้ว
ต่อไปว่ากันแม้แต่ฟาร์อีสเทิร์นอิโคโนมิครีวิวก็เคยถูกปฏิเสธแบบเดียวกับ
"ผู้จัดการ" มาแล้ว
ชุมพล ณ ลำเลียงเกิดปี 2488 เพื่อนของเขาหลายคนยืนยันว่าเขาเดินทางจากเมืองไทยไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก
รู้กันอย่างชัดเจนก็คือผ่านการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมเครื่องกล ที่
University of Washington ในปี 2508 จากนั้นเข้าศึกษาต่อเอ็มบีเอ. ที่ฮาร์วาร์ด
บิวสิเนสสคูล สถาบันสอนวิชาบริหารธุรกิจดีที่สุดในสหรัฐฯ ชุมพล ณ ลำเลียงเป็นคนไทยคนแรก
ๆ ที่เรียนเอ็มบีเอ โรงเรียนนี้ บางคนกล่าวว่าคนไทยรุ่นราวคราวเดียวกันในฮาร์วาร์ดได้แก่
สมเกียรติ ลิมรง กรรมการผู้จัดการใหญ่ปูนซีเมนต์นครหลวง
จบแล้วเข้าทำงานในไอเอ็มเอฟ หน่วยงานของธนาคารโลก (WORLD BANK) ประมาณปี
2512 อันเป็นช่วงเดียวกับปูนซิเมนต์ไทยกู้เงินจากธนาคารโลกก้อนใหญ่ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่ง
ธนาคารโลกเสนอให้ปรับโครงสร้างกิจการของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยและบริษัทที่เกี่ยวข้อง
ชุมพล จับงานแรกคือการศึกษาโครงสร้างบริษัทปูนซิเมนต์ไทยนี่เอง ทำให้เขาเกิดแรงศรัทธากิจการอุตสาหกรรมเก่าแก่ของประเทศไทยแห่งนี้ขึ้นมา
ก่อนจะกลับเมืองไทยแบงเกอร์สทรัสต์ธนาคารใหญ่ระดับท็อปไฟว์ของสหรัฐฯ ก็รับเขาทำงานในฐานะทีมงานก่อตั้งบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ในประเทศไทยหน้าที่แรกก็คือระดมคนไทย
ผู้ผ่านการศึกษาด้านการเงิน-ธนาคารในสหรัฐฯเข้าร่วมทีมเขารับผิดชอบสายงาน
CORPERATED FINANCE ของทิสโก้ ผู้รู้จักชุมพลดีเล่าวิธีเสาะมือดีเข้าร่วมงานนั้น
เริ่มต้นด้วยการศึกษาประวัติการศึกษานักเรียนไทยระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจในสถาบันที่มีชื่อเสียงอย่างละเอียดในที่สุดเขาพบคน
2 คนซึ่งมีอะไรหลายสิ่งหลายอย่างเหมือน ๆ เขาคือหนึ่ง-พื้นฐานปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์
สอง-กำลังศึกษาเอ็มบีเอด้านการเงินในสถาบันชั้นนำของสหรัฐฯ
ชุมพล ใช้จดหมายแนะนำตัว ชักชวน เข้าทำงานขั้นแรกมีการพบปะสนทนาเชิงสัมภาษณ์กัน
คนแรกคือ บันเทิง ตันติวิท นักเรียนยอดเยี่ยมของโรงเรียนวชิราวุธ ผู้ไม่ยอมสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทย
มีความตั้งใจแน่วแน่จะเข้าเรียนวิศวกรรมศาสตร์ที่เอ็มไอที. สถาบันเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงมากแห่งนึ่งของสหรัฐฯซึ่งก็ไม่ผิดหวังและต่อด้วยปริญญาโทด้านการเงินจาก
Slogan School of Management, M.I.T.
สอง - ศิวะพร ทรรทรานนท์ (โปรดอ่านเรื่องศิวะพร ทรรทรานนท์ ประกอบด้วย)
นั่นถือเป็นงานชิ้นแรกของชุมพล ณ ลำเลียง ซึ่งดำเนินตามแนวความคิดบริการธุรกิจสมัยใหม่อันบรรลุผลสำเร็จอย่างดียังความภูมิใจจนทุกวันนี้
เขาเลือกคนไม่ผิดทั้งสองล้วนเป็นมืออาชีพเยี่ยมยุทธในแวดวงธุรกิจการเงินของไทยในเวลาต่อมา
ชุมพล ในขณะนั้นมีชีวิตแบบอเมริกันสไตล์ ชอบนั่งรถสปอร์ตคันเล็ก ๆ แต่งตัวธรรมดาแบบวัยรุ่น
และร้องเพลงเดอะบีทเทิ่ลซึ่งกำลังฮิตในช่วงนั้น
เขาเหมือนศิวะพร ทรรทรานนท์ ก็ตรงที่ไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ แต่เขาแตกต่างจากศิวะพร
คือได้พยายามศึกษาตั้งแต่อยู่สหรัฐฯ มาจนถึงทิสโก้ แม้กระทั่งตอนเข้าทำงานที่ปูนซิเมนต์ไทยใหม่
ชุมพล ณ ลำเลียงยังต้องจ้างครูสอนภาษาไทยอยู่จนแตกฉากในเวลาต่อมา
ชุมพล ในช่วงกลับเมืองไทยใหม่ ๆ ไม่ค่อยรู้ภาษาไทย เขาดำเนินชีวิตแบบอเมริกันสไตล์ชอบนั่งรถสปอร์ตคันเล็ก
ๆ แต่งตัวธรรมดาแบบวัยรุ่น และฮัมเพลง เดอะบีทเทิ่ลซึ่งกำลังฮิตในช่างนั้น
ชุมพล ณ ลำเลียงเป็นคนไทยผ่านการสึกษาวิชาบริหารธุรกิจจากสหรัฐฯรุ่นแรก
ๆ อันเป็นช่วงต้น ๆ ยุคเอ็มบีเอ. กำลังถึงจุดเฟื่องฟูในประเทศนั้น ก่อนหน้านี้นักเรียนไทยมักเรียนด้านเศรษฐศาสตร์
หรือบริหารธุรกิจจากอังกฤษและสหรัฐฯและมักหันเหชีวิตเข้าสู่การทำงานกับหน่วยงานราชการ
แต่พวกเขาคือกลุ่มคนมุ่งทำงานกับองค์กรธุรกิจเอกชน
แท้ที่จริงแล้วภารกิจของเขาที่ทิสโก้นั้นเป็นเพียง "ทางผ่าน"
เพียงวางรากฐานที่ดีให้กับหน่วยงานนี้ โดยเฉพาะเรื่องคน จึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าทิศโก้ในระยะแรกเป็นแหล่งรวมของมือาชีพผู้เก่งกาจจำนวนมาก
แน่นอน ชุมพล ณ ลำเลียงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งในการสร้างสิ่งนั้น
สุนทร อรุณานนท์ชัย บันเทิง ตันติวิท (กรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติ)
สุรศักดิ์ นานากูล (ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ธนาคารกรุงเทพ) ผู้เรียนปริญญาโทรุ่นเดียวกับบันเทิงที่เอ็มไอที.
ชัยนรินทร์ ศรีเฟื่องฟู (ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารมหานคร) พิษณุ จงสถิตย์วัฒนาที่เพิ่งลาออกจากเครือซิเมนต์ไทยไป
ล้วนเป็นศิษย์เก่าทิสโก้ทั้งสิ้น
ว่าไปแล้วการคัดเลือกคนเข้าทำงานในธุรกิจสร้างขึ้นใหม่ของแบงก์เกอร์สทรัสต์ก็ย่อมยึดถืออเมริกันสไตล์
หาคนเก่งจากท้องถิ่นจำนวนซึ่งในบ้านเราขณะนั้นหาไม่ง่ายเลย แต่ค่อนข้างโชคดีนักเรียนนอกช่วงประวัติศาสตร์สำคัญธุรกิจไทย
(คนรุ่นใหม่สนใจเรียนบริหารธุรกิจ) เพิ่งจะกลับมากลุ่มหนึ่ง
ชุมพล ณ ลำเลียงอยู่ที่ทิสโก้เพียง 3 ปีก็ผันตัวเองไปเครือซิเมนต์ไทย ตามความตั้งใจของเขา
บางกระแสข่าวอ้างว่าเมื่อครั้งกลับมาเมืองไทยใหม่ ๆ ชุมพลเคยเดินท่อม ๆ ไปสมัครทำงานกับบริษัทปูนซิเมนต์ไทยเหมือนกัน
แต่เขาไม่รับ ข้อมูลอีกบางกระแสข่าวไม่ยืนยัน สาเหตุไม่รับแหล่งข่าวฝ่ายแรกให้เหตุผลสั้น
ๆ ว่าบุคลิกของเขาขัดแย้งกับวัฒนธรรมของปูนฯ ชุมพล ณ ลำเลียงเป็นคนง่าย ๆ
เรียบ ๆ แต่คนปูนมักเรียบ ๆ แต่บางครั้งไม่ง่าย
ผู้ใกล้ชิดชุมพลเล่าว่าสมัยเขาเรียนที่ฮาร์วาร์ด ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับอัตตชีวประวัติประธานกรรมการบริหารคนแรกของบริษัทเยนเนอรัลมอเตอร์
ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก เขาประทับใจอย่างมาก ๆ ต่อมาได้กลายเป็นจุดตั้งแห่งความใฝ่ฝันต้องการทำงานในกิจการอุตสาหกรรมรถยนต์
ในเวลาเดียวกันเมื่อเขาศึกษาโครงสร้างของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ก้ได่ข้อสรุปว่าสำหรับประเทศไทยแล้วมีเพียงปูนซิเมนต์ไทยเท่านั้นมีศักยภาพจะไปสู่จุดนั้นได้
ในปี 2515 เขาได้เข้าทำงานกับบริษัทปูนซิเมนต์ไทยตามที่ตั้งความหวังไว้
ชุมพล ณ ลำเลียงจึงบรรลุจุดมุ่งหมายขั้นต้น
เพื่อน ๆ นักบริการธุรกิจมีความเห็นสอดคล้องกันว่าเขามีความเป็นนักบุกเบิกที่เก่งมากที่สุดคนหนึ่ง
เขาอยู่ตรงไหนตรงนั้นต้องเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการสร้างสิ่งใหม่ เมื่อเขามาทิสโก้
ทิสโก้กำลังวางรากฐานด้านกำลังคนเพื่อสร้างกิจการให้มั่นคงต่อไปในอนาคต เมื่อมาปูนซิเมนต์ไทยก็เป็นช่วงเวลาที่ปูนฯกำลังปรับโครงสร้างการบริหารครั้งใหญ่
เป็นปีที่ก่อกำเนิด "เครือซิเมนต์ไทย" และที่สำคัญเขามาอยู่ในจุดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วย
ปี 2512 ปูนซิเมนต์ไทยกู้เงินธนาคารโลก ธนาคารโลกเห็นว่าจุดอ่อนของปูนฯ
คือ โครงสร้างการบริหารมีบริษัทเกี่ยวข้องหลายกิจการ และแนวโน้มจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทั้งจัดกระบบการบริหารไม่รัดกุม
โดยเฉพาะความรู้ด้านการตรวจสอบและการเงินในอดีตไม่ได้รับการสนใจเท่าที่ควร
อันเนื่องจากประวัติศาสตร์เป็นกิจการเน้นการผลิตตลอดมา
ชุมพล ณ ลำเลียงถือเป็นคนที่เข้ามาวางรากฐานที่ว่าโดยแท้
ตำแหน่งสำคัญในปูนแรก ๆ คือ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน
เมื่อตอนที่ยังทำงานกับทิสโก้ชุมพลมีหน้าที่อย่างหนึ่ง คือการสร้างทีมงานขึ้นมาด้วยการเสาะหามือดีที่จบเอ็มบีเอจากต่างประเทศ
มี 2 คนที่ชุมพลให้ความสนใจคนหนึ่งชื่อบันเทิง ตันติวิท อีกคนชื่อศิวะพร
ทรรทรานนท์
เรียกได้ว่าเป็นความ "พอดี" ที่เขามีพื้นความรู้ด้านวิศวกรรมอย่างดี
เขาจึงสามารถเข้าใจลักษณะกิจการอุตสาหกรรมอย่างดีจากงานสร้างพื้นฐานด้านระบบการเงินในปูนซิเมนตืไทย
ในปี 2518 ชุมพลได้เข้าไปดูอาการของบริษัทสยามคราฟท์ ขณะนั้นกำลังเพียบหนักเพื่อศึกษาฐานะทางการเงิน
อันถือเป็นยุทธวิธีพื้นฐานในการเข้าเทคโอเวอร์กิจการ ผลการประเมินสถานการณ์ของเขาเป็นข้อมูลพื้นฐานทำให้ปูนซิเมนต์ไทยได้เข้าบริหารบริษัทดังกล่าวในที่สุด
ในปี 2522 เขาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปบริษัทเซรามิคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้น
เพื่อรับซื้อกิจการของโรยัลเซรามิคมาดำเนินการ ชุมพลเป็นคนแรกเข้า "ผ่าตัด"
ด้วยการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีจากหลายประเทศ ต่อมาบริษัทนี้คือแกนของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง
ที่บริษัทเซรามิคอุตสหกรรมไทยนี้เขาใช้เวลาอยู่ถึง 2 ปี ในระหว่างนั้นยังต้องมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทยด้วย
บริษัทดำเนินการค้าระหว่างประเทศ (Trading company)
ปี 2524-2525 ชุมพลเข้ามาสู่อุตสาหกรรมเหล็ก เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเหล็กสยาม
พอดีกับเหล็กสยามกำลังขยายกำลังการผลิตครั้งใหญ่ด้วยการรับเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น
พัฒนาเครื่องจักรทันสมัยกว่าเดิมมาก
เป็นการเข้าใกล้อุตสาหกรรมรถยนต์ครั้งแรก
ปี 2526 ชุมพล ได้รับการโปรโมทเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่รับผิดชอบด้านการตลาด
ซึ่งกล่าวกันว่า เป็นการเดินตามแผนการสับเปลี่ยนสายงานของผู้บริหารเพื่อจะได้เรียนรู้งานอย่างกว้างขวาง
สำหรับชุมพลแล้ว ถือได้ว่าได้รับผิดชอบงานเกือบทุกด้านแล้ว ตั้งแต่ฝ่ายการเงิน
ผู้บริหารการผลิตและล่าสุดขณะนั้นคือด้านการตลาด
เขาอยู่ในสายการตลาด 2 ปี อันเป็นช่วงธุรกิจเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดค่าเงินบาทในปลายปี 2527 (ซึ่งผลกระทบคงข้ามมาในปี
2528) อย่างไรก็ตามในปีนั้นปูนซิเมนต์ไทยสามารถทำยอดขายสูงสุดเท่าที่มีการบันทึกมาถึงประมาณ
14,000 ล้านบาท (ปี 2529 ยอดขาย 11,437 ล้านบาท) และยังสามารถรักษากำไรไว้ในระดับสูง
ในฐานะผู้รับผิดชอบด้านการตลาดผลงานนั้นต้องยกเครดิตให้ชุมพล ณ ลำเลียง
ภายหลังบทเรียนการลดค่าเงินบาทและอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศยกระดับสูงเป็นประวัติศาสตร์
ธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และอัตราดอกเบี้ยทั้งในและต่างประเทศ
นักบริหารธุรกิจกล่าวว่าในต้นปี 2528 เป็นต้นมา ธุรกิจไทยได้ก้าวเข้าสู่แวดล้อมทางธุรกิจใหม่
ความสามารถในการประกอบการมิได้อยู่ที่ต้นทุนการผลิต (ล้วน ๆ) กับราคาขายเท่านั้น
ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยดังกล่าวแล้วข้างต้นด้วย
ดูจะเป็นการเหมาะสมอย่างยิ่ง คณะกรรมการบริหารปูนซิเมนต์ไทย ให้ชุมพล ณ
ลำเลียงกลับมาอยู่ในงานเดิม ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ อาวุโส รับผิดชอบสายการเงินและการบริหาร
เพิ่ม "การบริหาร" เข้ามาด้วย ซึ่งเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างการบริหารงานทั้งเครือ
"ผู้จัดการ" เคยถามพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้จัดการใหญ่ปูนซิเมนต์ไทย
เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทในเครือต่าง ๆ พารณกล่าวว่าเรื่องรายละเอียดเช่นนี้ต้องถามชุมพล
ในปี 2528 นั้นเองชุมพล ยังรั้งตำแหน่งผู้ประสานงานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลด้วย
ซึ่งมีความนัยถึงบทบาทของชุมพลที่เพิ่มมากขึ้นอีกประการหนึ่ง ในฐานะผู้วางรากฐานอุตสาหกรรมเครื่องจักร
ซึ่งเป็นรากฐานอีกทอดหนึ่งต่ออุตสหกรรมรถยนต์เครือซิเมนต์ไทยกำลังจะมุ่งไปสู่
พร้อม ๆ แรงบันดาลใจของชุมพล ณ ลำเลียงเองด้วย
ปี 2529-2530 เครือซิเมนต์ไทยกระโจนสู่อุตสาหกรรมรถยนต์อย่างเป็นรูปเป็นร่าง
โดยโครงการผลิตเครื่องยนต์สำหรับรถบรรทุกขนาดเล็กเริ่มเดินเครื่อง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นก้าวใหญ่
พิจารณาได้ 2 ประเด็น หนึ่ง ปูนเป็น "หัวหอก" ในการลงสู่รากฐานของชิ้นส่วนรถยนต์คือเครื่องยนต์โดยเข้าร่วม
2 โครงการใหญ่ ร่วมทุนกับโตโยต้าและนิสสัน-มิตซูบิชิ สอง-กล่าวกันวาเป็นขั้นสะสมเทคโนโลยีจากหลายบริษัท
เกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ อันเป็นรากฐานพัฒนาอาร์แอนด์ดีของตนเองในเรื่องนี้ต่อไป
ทั้งนี้ยังไม่ได้พิจารณาในภาพรวมปูนได้เข้าอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่รถยนต์
(ปี 2528) อุตสาหกรรมยางรถยนต์ (ปี 2525) ก่อนหน้านั้นแล้ว
ชุมพล ณ ลำเลียง ได้รับการยอมรับจากวงการธุรกิจว่าเป็นคนเก่งชนิดหาตัวจับยาก
เขามีคุณสมบัติพื้นฐาน 3 ประการหนึ่ง-มองการณ์ไกล สอง-เข้าใจธรรมชาติของธุรกิจที่ดำเนินอยู่อย่างดี
สาม-กล้าตัดสินใจ
"สมองของเขาเหมือนคอมพิวเตอร์คิดเร็ว เขา CONCEPTUALIZE ได้เร็วมาก"
คนใกล้ชิดคนหนึ่งยกย่อง กับลูกน้องเขาไว้วางใจ อดีตลูกน้องกล่าวว่าชุมพล
ดำเนินนโยบาย DECENTRALIZATION ไม่เหมือนกับเถ้าแก่หรือมืออาชีพไทยส่วนใหญ่
"เพราะเขาเก่งมาก จนไม่ต้องกลัวว่าใครจะเก่งกว่าเขาหรือไม่อย่างไร ไม่ต้องกลัวใครจะมาเลื่อยเก้าอี้"
แหล่งข่าวคนเดิมอธิบายเชิงจิตวิทยา
กับวัฒนธรรมของเครือซิเมนต์ไทย ชุมพล ณ ลำเลียง มีทั้งความขัดแย้งและกลมกลืนในเวลาเดียวกัน
เขาเป็นคนกล้าแสดงความเห็นโดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมการบริหาร หรือผู้บริหารระดับสูงด้วยกัน
"เขาคิดอย่างไรก็พูดออกมา ไม่เกรงว่าจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่" นักธุรกิจผู้รู้จักชุมพลดีกล่าว
ซึ่งเป็นบุคลิกขัดแย้งกับวัฒนธรรมดั่งเดิมของปูนฯ สมหมาย ฮุนตระกูล เคยวิจารณ์คนปูนใหญ่เรื่องนี้มาแล้วเมื่อครั้งเขานั่งตำแหน่งผู้จัดการใหญ่
(โปรดอ่านในหนังสือปูนซิเมนต์ไทย 70 ปี หรือ "ผู้จัดการ" เรื่องจากปก
ฉบับที่แล้ว)
สิ่งที่กลมกลืนกับวัฒนธรรมของปูนคือชุมพล ณ ลำเลียงเป็นคน LOW PROFILE
ไม่ชอบออกมาแสดงตัวภายนอก
ส่วนตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ เครือซิเมนต์ไทย ทุกคนล้วนคาดหวังว่าชุมพล ณ
ลำเลียงจะก้าวถึงสักวัน ถึงแม้จะช้า แต่ก็เป็นการก้าวทีเหมาะสมที่สุด เพราะเขาจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสยาวนานที่สุด
เชื่อกันว่าประมาณ 10 ปีทีเดียว
ถึงตอนนั้นเครือซิเมนต์ไทยได้ขยายอาณาจักรอุตสาหกรรมก้าวหน้าไปกว่านี้เป็น
ดัชนีการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย หากยุคสมหมาย ฮุนตระกูล คือยุคของการเริ่มต้นสู่ธุรกิจใหม่
ๆ ยุคจรัส ชูโตเป็นยุคพัฒนาบุคคล ยุคพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ปลูกฝังจริยธรรมทางธุรกิจ
ต่อจากนั้นอาจเป็นยุคเน้นหนักด้านการตลาด หรืออื่น ๆ อีก ผู้ศึกษาวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมไทยเชื้อว่า
ยุคของชุมพล ณ ลำเลียงอาจเป็นยุคการพัฒนากรวิจัยและพัฒนาการ (R&D) ก้าวถึงจุดที่ปูนซิเมนต์ไทยมีสิทธิบัตร
(PATENT) ของตนจดไว้ในต่างประเทศแล้วถึงตอนนั้นงบที่ต้องทุ่มเทเพื่อพัฒนาบุคคลจะต้องเทมาสู่
R&D คิดเป็นต้นทุนการผลิตนับ 10% เหมือนกับอุตสาหกรรมในประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย
ชุมพล ณ ลำเลียง ยังมีเวลาอีก 18 ปี ในการทำงาน สะสมประสบการณ์ เมื่อถึงตอนนั้นนักเรียนด้านบริหารธุรกิจของไทยในยุคนั้นก็คงโชคดีมีโอกาสสัมผัสอัตตชีวประวัติของนักธุรกิจ
ผู้สร้างอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญของประเทศไทย เป็นตำราประกอบการเรียนที่ทรงคุณค่ายิ่ง
อาจจะชื่อทำนองว่า MADE IN THAILAND ซึ่งเขียนโดย ชุมพล ณ ลำเลียง
ถึงแม้จะช้ากว่าประเทศอื่น ๆ หลายสิบปีโดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งงานเขียนทรงคุณค่าเช่นนี้กำลังขายดีไปทั่วโลก
เช่น MORITA ประธานโซนี่ เขียน MADE IN JAPAN อะไรเทือกนี้
กว่าจะถึงวันนั้น "ผู้จัดการ" คงมีโอกาสได้สนทนากับเขาหลาย ๆ
ครั้ง เพื่อพูดถึงชีวิตและงานของเขาเป็นแน่แท้