|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กูรูเชื่อไตรมาส 2 กลุ่มโบรกเกอร์ฟันกำไรแน่ จากการซื้อขายทำกำไรระยะสั้นเพื่อดันงบการเงินให้ฟื้นตัว พบตั้งแต่ 1มกราคมสถาบันขายสุทธิไปแล้ว 16,643 ล้านบาท แต่เพียง 19 วันของเดือนมิถุนายนขายสุทธิถึง 8 พันล้านบาท พร้อมคาดสัปดาห์ที่เหลือแรงเทขายจากพอร์ตโบรกฯเริ่มมีน้อยลง แต่ให้ระวังต่างชาติอาจเป็นเจ้ามือเทขายแทน หลังใช้เวลาไม่ถึงเดือนซื้อสุทธิ 11,487 ล้านบาท ส่วนสัปดาห์นี้ แนะจับตาผลการประชุมเฟด และการเปิดซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่อง สัญญาที่ 3
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เปิดเผยว่า สำหรับพอร์ตการลงทุนในหุ้นของธุรกิจหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) หลังไตรมาส2/52 เบื้องต้นประเมินว่ามีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นจากช่วงไตรมาส1/52 ที่มีมูลค่าพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาทแน่ ซึ่งเป็นมูลค่าที่ได้มาจากกำไรที่เกิดจากการลงทุน อีกทั้งจากการซื้อขายของเม็ดเงินในตลาดที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของวอลุ่มกว่า 1 ล้านล้านบาท ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยจากเดิมที่มีมูลค่าอยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท แต่ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ 4.5 ล้านล้านบาท หรือมีการปรับเพิ่มขึ้นกว่า 50%
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าในสัปดาห์นี้ พอร์ตของโบรกเกอร์เอง คงไม่เห็นการขายทำกำไรออกมามาก เพราะในช่วงนี้อาจจะไม่สามารถทำกำไรได้มากนัก จากสถานการณ์หลายๆอย่างที่เข้ามากดดัน ซึ่งการเทขายที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นในส่วนของพอร์ตกองทุน จากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพอร์ตกองทุนมีการขายไปแล้วมูลค่าประมาณ 8 พันล้านบาท อีกทั้งการเทขายของหุ้นกองทุนส่วนใหญ่ เป็นหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจ และมีการซื้อขายกันค่อนข้างมาก ส่งผลให้ดัชนีช่วงนี้เกิดการสวิงตัวมากขึ้นจากการขายทำกำไร
นักวิเคราะห์ บล.ทรีนิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ในช่วงปลายเดือนนี้ มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะเกิดวินโดว์เดรสซิ่ง ซึ่งทำให้พอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์ จะมีการล็อคProfit เอาไว้ และจากสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมาเมื่อเร็วๆนี้ มองว่าจะส่งผลต่อเนื่องให้ดัชนีหลักทรัพย์อ่อนค่าลงจากปัจจุบันอีก โดยทางเทคนิคประเมินว่าหากไม่ลงไปต่ำกว่า 540 จุด ดัชนีก็มีโอกาสรีบาวน์กลับขึ้น เพราะภาพรวมแม้จะปรับตัวลดลงมาหลายวันแล้ว แต่ดัชนีหุ้นก็ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นมากกว่า
ทั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนควรจับตา อย่างใกล้ชิดนั่นคือการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งหากผลการประชุมมีทิศทางออกมาในแง่ดีต่อสภาวะเศรษฐกิจ ก็จะส่งผลต่อตาดหุ้นให้ปรับขึ้นในแดนบวก และจะเป็นแรงผลักดันให้ช่วงปลายนี้จนถึงต้นเดือนกรกฎาคม ดัชนีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้
สถาบันเริ่มเบรก-ระวังตปท.เทขาย
ขณะที่นักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวว่า สิ่งที่น่าสังเกตในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงหนักนั้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจากนักลงทุนต่างประเทศทำการเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรมากนัก แต่เป็นเพราะนักลงทุนสถาบันทำการเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรระยะสั้นมากกว่า ซึ่งกำไรในรอบนี้จะมีส่วนช่วยผลักดันให้ผลดำเนินงานในไตรมาส 2 ของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์มีกำไรหรือให้ดีขึ้นกว่าไตรมาส 1 ที่มีผลดำเนินงานขาดทุน แน่นอน
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวมองว่าเป็นเรื่องปกติที่สถาบันจะเข้าไปขายหุ้น เพื่อทำกำไร เพราะสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์และนักลงทุนจะกังวลมากกว่า คือกรณีราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงมาก และนักลงทุนต่างชาติเข้ามาช้อนซื้อจำนวน และพอราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างชาติทำการเทขายออกมาแรง ซึ่งขณะนี้หากดูจากข้อมูลการของนักลงทุนต่างชาติแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดแรงเทขายออกมาหลังมียอดสุทธิสูงขึ้นแตะ 1.7 หมื่นล้านบาทแล้ว ขณะที่สถาบันไม่น่าจะมีแรงเทขายออกมามากในช่วงปลายเดือนหรือใกล้สิ้นไตรมาส 2 เพื่อ ล็อกกำไรสุทธิ และล่าสุด(19มิ.ย.)ก็ขายสุทธิเพียง 57.10 ล้านบาท
แต่ขณะนี้ต้องยอมรับว่า จากราคาหุ้นที่เริ่มปรับตัวขึ้นมาแล้วในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (19มิ.ย.) เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินส่วนหนึ่งที่โยกออกมาจากธนาคาร ตราสารหนี้ที่ช่วงนี้ให้ผลตอบแทนในระดับต่ำ และทองคำ กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อรับโอกาสดีดตัวกลับมาของดัชนี
“ตอนนี้เราต้องบอกว่า ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นสูงเกินความจริงในหลายๆตัว และไม่ควรขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ก็ยังไม่สัญญาณของการฟื้นตัวที่แท้จริงเท่าไร หรือไร้ข่าวดี แต่หุ้นกลับพุ่งกระฉูดอย่างน่าสงสัย ขนาดฮั่งเส็งปรับตัวลดลง แต่ตลาดหุ้นเรายังเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเท่าที่คุยกับคนในวงการเดียวกัน บ้างก็เชื่อว่าเป็นการร่วมมือสร้างราคาของกลุ่มการเมือง เพื่อต้องการระดมทุนไว้สำหรับสถานการณ์การเมืองที่อาจปรับเปลี่ยนในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ เช่นกัน”
แค่19วันสถาบันขายสุทธิกว่า8พันล.
ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งแยกตามกลุ่มนักลงทุน จะพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1ม.ค. -18 มิ.ย. สถาบันในประเทศมีการขายสุทธิไปแล้วถึง 16,643.08 ล้านบาท และหากนับเฉพาะเพียงช่วงวันที่ 1 – 19 มิ.ย. จะพบว่ามีการขายสุทธิถึง 8,072.31 ล้านบาท หรือกว่า 50%ของยอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปี
ขณะที่ นักลงทุนต่างประเทศมีซื้อสุทธิไปแล้วตั้งแต่ต้นปีถึง 17,367.62 ล้านบาท และภายในช่วงวันที่ 1 -19 มิ.ย. มีการซื้อสุทธิรวม 11,487.89 ล้านบาท ด้านนักลงทุนทั่วไปตั้งแต่ต้นปีขายสุทธิ 724.54 ล้านบาท และช่วง 1 -19 มิ.ย.ขายสุทธิ 3,415.59 ล้านบาท
ส่งท้ายสัปดาห์หุ้นดีดกลับ18จุด
ตลาดหุ้นไทย เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา(19มิ.ย.) ปิดที่ระดับ 588.98 จุด เพิ่มขึ้น 18.55 จุด หรือ +3.25% มูลค่าการซื้อขาย 16,298 ล้านบาท ภาพรวมปรับตัวขึ้นตามภูมิภาค ที่มีปัจจัยสดใสจากตีวเลขเศรษฐกิจของอเมริกาออกมาดี โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 588.98 จุด และต่ำสุดที่ 573.56 จุด
นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กรุงศรีอยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์หน้า (22-26 มิ.ย. 52) คงจะประเมินได้ยากลำบาก เพราะในวานนี้(19มิ.ย.)แม้ว่าดัชนีฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแรงกว่า 18 จุดแต่ไม่มีปริมาณการซื้อเข้ามารองรับ โดยมีวอลุ่มอยู่ที่ประมาณกว่าหมื่นล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าทิศทางของดัชนีฯ ขึ้นอยู่กับปัจจัยในต่างประเทศ อาทิ การประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ และการติดตามถ้อยคำแถลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)ในการประชุมวันที่ 23-24 มิ.ย. นี้
ทั้งนี้มองว่าถ้อยคำแถลงของเฟด น่าจะออกมาเป็นมุมมองเชิงบวกเช่นเดียวกันกับที่ผ่านมา ส่วนเรื่องของอัตราดอกเบี้ยนั้น เชื่อว่าเฟดน่าจะคงไว้เช่นเดิม แม้ปัจจุบันจะเริ่มมีการพูดถึงความกังวลเรื่องเงินเฟ้ออยู่บ้าง จากการที่มีเงินถูกอัดฉีดไปในระบบจำนวนมาก รวมถึงต้องติดตามการเปิดซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา ที่ 3 ซึ่งอาจจะมีผลในเชิงบวกต่อผู้เข้าร่วมเปิดซองประมูล แต่ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับว่าตลาดในช่วงนั้นให้ความสำคัญไปกับข่าวสารในเชิงใด เพราะหากขณะนั้นข่าวสารต่างประเทศมีน้ำหนักมากกว่า ก็อาจจะทำให้ ข่าวการเปิดซองดูไม่น่าสนใจ
ก่อนหน้านี้ นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบล. กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 3/52 จะยังเคลื่อนไหวในลักษณะพักฐานประกอบกับไม่มีปัจจัยอะไรที่เข้ามากระตุ้นการลงทุน จึงทำให้อาจเห็นแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุนสถาบันจนฉุดดัชนีร่วงลงอย่างรุนแรง ซึ่งจากการสำรวจพอร์ตการลงทุนในหลักทรัพย์ของธุรกิจโบรกเกอร์ ทั้งหมดในไตรมาส 1 พบว่ามูลค่าพอร์ตฯประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่เนื่องจากมีการซื้อขายของเม็ดเงินดังกล่าวเป็นประจำส่งผลให้วอลุ่มปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1-1.5 แสนล้านบาทในช่วงที่ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้น 40% ซึ่งหากคิดเป็นกำไรของพอร์ตแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 6-7 พันล้านบาท
นอกจากนี้ สัดส่วนของพอร์ตการลงทุนของโบรกเกอร์ในนักลงทุนสถาบันขยับเพิ่มขึ้นมาเป็น 60% และ 40% จากกองทุนต่างๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสัดส่วนทั้งสองปรากฏว่าพอร์ตโบรกเกอร์ยังมูลค่าที่น้อยกว่ามูลค่าพอร์ตกองทุนฯ แต่ถ้าวัดกันในเรื่องของวอลุ่มแล้วพอร์ตของธุรกิจหลักทรัพย์ถือว่ามีวอลุ่มที่สูงกว่าพอร์ตกองทุนฯ ค่อนข้างมาก
ขณะที่ นายสุชีล นารูลา กรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย เคยให้ความเห็นว่ามูลค่าการซื้อขายหุ้น (วอลุ่ม)ที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในไตรมาส2/52นั้น เกิดจากวอลุ่มที่เกิดจากการซื้อขายพอร์ตการลงทุนของโบรกเกอร์ที่จะเข้ามากำไรระยะสั้น เพื่อทำให้งบการเงินในไตรมาสนี้มีกำไร หลังจากไตรมาส1ที่ผ่านมามีผลขาดทุน และส่วนตัวคาดว่ากำไรไตรมาส2นี้ โบรกเกอร์ที่มีพอร์ตการลงทุนจะมีกำไรจากพอร์ตลงทุน 30% แต่ก็อาจมีกำไรที่สูงกว่า 30% เมื่อเทียบกับไตรมาส1ที่ผ่านมา
|
|
|
|
|