|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นไทยยังรูดไม่หยุด วานนี้ลดลงอีก 15.71 จุด รวมตลอด 4 วันในสัปดาห์นี้ร่วงลงไปเฉียด 60 จุดแล้ว จากแรงเทขายเพื่อปรับพอร์ต และการทำกำไรของสถาบัน รวมทั้งความรวมกังวลถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังS&P ปรับลดเครดิตเรตติ้งแบงก์ในสหรัฐฯ โบรกเกอร์ แนะจับตาสถานการณ์ต่างประเทศ ชี้ดัชนีมีโอกาสดิ่งลงแตะ 550 จุด ย้ำช่วงนี้ถือเงินสด ไว้กับมืออุ่นใจกว่า
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นวานนี้ (18มิ.ย.) ดัชนียังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และแผนปฏิรูประบบของธนาคารสหรัฐ ฉุดให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง โดยดัชนีหลักทรัพย์ไทย ปิดที่ ระดับ 570.43 จุด ลดลง 15.71 จุด หรือ -2.68% มูลค่าการซื้อขาย 18,770 ล้านบาท โดยปรับตัวสูงสุดที่ 588.89 จุด และต่ำสุดที่566.50 จุด และพบว่าสถาบันขายถึง 1,797.87 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศที่ขายสุทธิ 502.09 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายช่วง 4 วันที่ผ่านมา พบว่า ดัชนีหุ้นไทยลดลงไปแล้วร่วม 58 จุด จากซึ่งแรงเทขายส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสถาบัน และนักลงทุนต่างประเทศ
ด้าน นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหนุนไทยปรับลงแรงพอควรสาเหตุจากเรื่องเดิม คือตลาดเริ่มมีความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆในเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กังวลเรื่องของแผนการปฎิรูประบบของธนาคารสหรัฐอเมริกาว่าจะมีผลกระทบต่อภาคการธนาคารมากน้อยแค่ไหน ซึ่งยังประเมินไม่ได้ จึงมีแรงขายออกมา
ส่วนทิศทางทิศทางวันนี้ (19มิ.ย.) น่าจะปรับลงต่อถ้าดู sentiment ของตลาด เป็นไปได้ที่รอบนี้อาจจะลงไป test แถว 550 จุด ถึงจะมีโอกาสเด้งกลับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นตลาดต่างประเทศมากกว่าในประเทศที่ไม่มีอะไรมากนัก ทำให้ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดทุนในต่างประเทศเป็นหลัก
ขณะที่ ตลาดหุ้นต่างประเทศในภูมิภาควานนี้ปรับตัวลดลงกันหมด โดยดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,703.72 จุด ลดลง 137.13 จุด ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 17,776.66 จุด ลดลง 307.94 จุด ดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,237.20 จุด ลดลง 34.25 จุด
ด้าน นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงแรง จากประเด็นที่นักลงทุน คาดว่าเศรษฐกิจโลกอาจยังไม่มีการฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงกรณีที่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ประกาศการปฎิรูประบบการกำกับดูแลภาคการเงินสหรัฐฯครั้งใหญ่ในรอบ 75 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจนั้น อาจส่งผลให้มีการควบคุมสถาบันทางการเงินมากขึ้น และทำให้ภาคการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินช้าลงไปด้วย เนื่องจากต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
นอกจากนี้ การที่สถาบันจัดอันดับเครดิต S&P ประกาศลดอันดับเครดิต 18 ธนาคารในสหรัฐฯ ผลต่อดัชนีต่างประเทศ อาทิ ดัชนีฮั่งเส็งที่มีการปรับตัวลง เนื่องจากสถาบันการเงินภายในประเทศเป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ความไม่ชัดเจนในเรื่องของสกุลเงินบาท ที่มีการขัดแย้งกันว่าควรอยู่ในระดับไหน รวมถึง ระยะนี้สถาบันกองทุนอาจมีการขายทำกำไร เนื่องจากที่ผ่านมาดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นหลาย 100 จุด ล้วนเป็นสาเหตุที่กดให้ดัชนีปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้(19มิ.ย.) คาดว่าจะยังคงปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน แต่อาจมีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาบ้าง จึงแนะนำนักลงทุนให้รอซื้อเมื่อดัชนีฯอ่อนตัวลง เพื่อเก็งกำไร ทั้งนี้ประเมินแนวรับไว้ที่ 560 จุด ส่วนแนวต้านประเมินไว้ที่ 577 จุด
ขณะที่ นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ปรับตัวลดลง เนื่องจาก นักลงทุนยังคงไม่มั่นใจเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับนักลงทุนมีการปรับลดพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง หลังจากก่อนหน้านี้ตลาดฯปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 30-40%
ส่วนแนวโน้มดัชนีหลักทรัพย์ไทยวันนี้(19มิ.ย.)คาดว่า จะปรับตัวลดลงต่อไป เนื่องจากนักลงทุนยังคงไม่มั่นใจกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกว่าจะฟื้นจริงหรือไม่ รวมถึงนักลงทุนยังคงเดินหน้าปรับลดพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากการเก็งกำไรในตลาดหุ้น กลยุทธ์การลงทุน แนะถือเงินสด โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 550 จุด และประเมินแนวต้านไว้ที่ 575 จุด
|
|
 |
|
|