|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
อิออนมั่นใจคุมหนี้เอ็นพีแอลปีนี้ให้อยู่ในระดับ 2.7-2.8%ได้ ระบุช่วงที่ผ่านมาคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อป้องกันไว้แล้ว หวังครึ่งปีหลังเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้องช่วยดันรายได้โต 10% ขณะที่ผู้ถือหุ้นไฟเขียวออกหุ้นกู้ 3 พันล้าน
นายอภิชาต นันทเทิม กรรมการบริหาร บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS เปิดเผยว่า ในรอบปีบัญชีของบริษัทซึ่งจะสิ้นสุด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553 นั้น บริษัทเชื่อว่าจะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)เโดยเฉลี่ยในระดับ 2.5-3% จากในรอบปีบัญชีก่อนที่อยู่ในระดับ 2.7-2.8% โดยจะเห็นว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์โดยรวมเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะปริมาณการใช้จ่ายของผู้บริโภคก็มีแนวโน้มที่ฟื้นตัวขึ้นบ้าง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท
นอกจากนี้ จากสภาวะเศรษฐกิจที่น่าจะดีขึ้นในครึ่งปีหลัง จึงคาดว่ารายได้ของบริษัทในปีนี้จะเติบโตในระดับ 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 9.4 พันล้าน
"หวังว่าสถานการณ์ในครึ่งปีหลังจะมีทิศทางที่ดีขึ้นทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง จากครึ่งปีแรกที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบต่างๆหลายด้าน ดังนั้น ในครึ่งปีหลังจะเป็นตัวชี้สถานการณ์ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งหากทุกอย่าง ทั้งการเมือง เศรษฐกิจโลกคลี่คลาย ความมั่นใจก็จะกลับมาได้เอง" นายอภิชาตกล่าว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้อำนวย ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับผู้ให้บริการสินเชื่อทั้งระบบ โดยจะต้องพิจารณาทั้งอาชีพของลูกค้า และฐานเงินเดือน ซึ่งเป็นตัวช่วยแก้ปัญหาเอ็นพีแอลได้พอสมควร อีกทั้ง บริษัทได้มีการปรับตัวล่วงหน้าเพื่อรองรับสถานการณ์มาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนและการเพิ่มศูนย์จัดเก็บหนี้ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพ หาดใหญ่ เชียงใหม่ และขอนแก่น ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่กระทบมากนัก
"ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้ให้ความเข้มงวดในการปล่อยหนี้ในกทม.มากขึ้น เนื่องจากโรงงานหลายแห่งมีการเลิกจ้างงานพนักงานซึ่งปัจจุบันบริษัท มีลูกค้ากว่า 3 แสนราย โดยเป็นลูกค้าต่างจังหวัด 50-52% ที่เหลือเป็นลูกค้าในกทม.
สำหรับการประชุมผู้ถือหุ้นวานนี้ มีมติอนุมัติออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาท โดยหลังจากนี้จะนำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทพิจารณาในรายละเอียดรวมถึงช่วงจังหวะเวลาที่นำเสนอขาย โดยเบื้องต้นจะออกทั้งจำนวน 3 พันล้านบาท อายุ 3-5 ปี เพื่อใช้รีไฟแนนซ์และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีความจำเป็นเพิ่มทุน เพราะปัจจุบันบริษัทยังมีสภาพคล่องเพียงพอในการขยายกิจการแน่นอน โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากบริษัทแม่
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 1 ปีสิ้นสุดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 1,173 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้แสดงความเห็นว่าแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการลดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพลง 2% คาดว่าไม่มีผลกระทบในทันทีต่ออันดับเครดิตของหุ้นกู้ภายใต้โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ประเภทกลุ่มลูกหนี้บัตรเครดิตทั้ง 3 โครงการ ซึ่งมีบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน หรือ อิออน อันดับเครดิตภายในประเทศอยู่ที่ "BBB+(tha)"/"F2(tha)" เป็นผู้ขายสิทธิเรียกร้อง เนื่องจากการวิเคราะห์ในการจัดอันดับเครดิตได้ครอบคลุมถึงความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงความเสี่ยงจากการลดอัตราดอกเบี้ยในระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนี้รายได้จากกลุ่มลูกหนี้และรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย (yield and excess spread) ที่ผ่านมาของทั้ง 3 โครงการยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ถึงแม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยอาจช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ใช้บัตรเครดิต แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในปีนี้น่าจะส่งผลให้อัตราส่วนลูกหนี้ผิดนัด (default rate) เพิ่มขึ้นและอัตราการชำระหนี้คืนรายเดือนเมื่อเทียบกับยอดลูกหนี้ (monthly payment rate) ลดลง โดยฟิทช์ประมาณการณ์การเติบโตของ GDP ประเทศไทยที่ติดลบ 3.8% สำหรับปี 2552
ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพอาจเพิ่มแรงกดดันให้ผู้บริการบัตรเครดิตรายอื่นทำการลดอัตราดอกเบี้ยตาม ในส่วนของอิออน ผู้บริหารได้ชี้แจงว่าในขณะนี้ทางบริษัทยังไม่มีนโยบายที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตเนื่องจากลูกค้าของบริษัทอยู่ในกลุ่มที่มีรายได้ต่ำและความเสี่ยงสูง
|
|
|
|
|