Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2530
กรพจน์ อัศวินวิจิตรA YOUNG DEAL MAKER             
 

   
related stories

ผู้จัดการรุ่นใหม่ในสายตา "ผู้จัดการ"

   
search resources

แสงทองค้าข้าว
กรพจน์ อัศวินวิจิตร
Import-Export
Agriculture




ในยุคธุรกิจดั้งเดิมมีปัญหาการ "สืบต่อ" และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ กรพจน์ อัศวินวิจิตร เป็นคนหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่ง เป็นแบบอย่างที่ดีของการ "สืบต่อ" และการแสวงหาธุรกิจใหม่มีอนาคต จากธุรกิจค้าส่งออกสินค้าพืชไร่ เข้าสู่ธุรกิจธนาคาร-ประกันชีวิต

คน ๆ นี้อายุเพียง 32 ปี ไม่ชอบแสดงตัวเป็นข่าว แต่พยายามสร้างสัมพันธ์อันดีกับนักหนังสือพิมพ์อย่างลึก ๆ มีประสบการณ์ทำงานตั้งแต่เด็ก ๆ เพียงอายุสัก 18 ปี ผ่านบทเรียนโชกโชนในด้านการค้าส่งออกข้าว ได้ชื่อว่าเป็นนักกลยุทธ์ที่มองยาว-มองสั้นอย่างถูกจังหวะโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างโอกาส สร้างรายได้มาก ๆ ภายในเวลาอันสั้น

จากผลงานในอดีต เขาจึงเป็นทายาทพ่อค้าข้าวเชื้อสายจีนเพียงไม่กี่คนที่ ผู้พ่อ-ผู้ก่อตั้งกิจการไว้วางใจ ปล่อยมือให้บริหารกิจการของครอบครัว ตลอดจนปล่อยให้ออกสู่โลกภายนอก สร้างอาณาจักรธุรกิจใหม่ ๆ

กรพจน์ อัศวินวิจิตร คือเขาคนนั้นคนที่คนทั่วไปยังไม่รู้จักกันมากนัก

พ่อของเขาชื่อ เบ๊ เตีย อุ้ย ชายจีนโพ้นทะเลคนหนึ่ง หอบเสื่อผืนหมอนใบล่องทะเลจีนใต้ สู่แผ่นดินสยาม แต่แตกต่างกับคนจีนทั่วไปตรงที่เขาเริ่มงานครั้งแรกที่จังหวัดเชียงรายเหนือสุดของประเทศไทย ด้วยความอดทนและความพยายามเป็นเลิศ จึงค่อย ๆ สะสมทุนและผันตัวเองเป็นเจ้าของกิจการโรงสีขนาดเล็กแห่งหนึ่งและค่อย ๆ ขยายใหญ่ตามการเจริญเติบโตทางการค้าของเขา

ในที่สุดแซ่เบ๊ซึ่งแปลความหมายได้ว่า "ม้า" กลายเป็นนามสกุล "อัศวินวิจิตร" ตัวเขามีชื่อไทยอันเป็นศิริมงคลว่า "อวยชัย" ซึ่งก็ดูเหมือนจะสมชื่อเช่นนั้น

จากโรงสีบุกเข้าสู่ใจกลางของวงการค้าข้าว ทำหน้าที่เป็น "หยง" ที่วรจักร ซึ่งไม่ห่างทรงวาด เป็นตัวแทนโรงสีหลายโรงรับซื้อขายแก่พ่อค้าส่งออกอีกทอดหนึ่ง ลูกสามคนแรกของเขาเกิดที่นี่ คนแรกเป็นหญิงคนที่สองเป็นชายซึ่งถูกส่งไปเรียนที่สิงคโปร์ตั้งแต่เด็ก และกรพจน์ อัศวินวิจิตร

ปี 2508 หรือตอนกรพจน์อายุ 9 ขวบจากห้องแถวห้องเดียวเล็ก ๆ แถววรจักรอวยชัยก็ย้ายสู่ย่านสวนมะลิเป็นห้องแถว 2 ห้องหลายชั้น ขณะนั้นยังเป็นที่ว่างเปล่าอยู่มาก ธนาคารศรีนครสำนักงานใหญ่ก็ยังไม่ได้สร้างขึ้น

ตรงสวนมะลิ เป็นประวัติศาสตร์ขั้นใหม่ของธุรกิจครอบครัว "อัศวินวิจิตร" คือการก้าวกระโดดสู่การค้าส่งออกครั้งแรก อวยชัยเล็งเห็นว่าเขาเป็น "เถ้าแก่บ้านจนอก" ยุคแรก ๆ บุกมาค้าส่งออกข้าว เข้าสู่ยุทธภูมิทรงวาด (เถ้าแก่บ้านนอกยุคต่อมาคือกิตติ ดำเนินชาญวริชย์ แห่งสุ่นหัวเซ้ง) เป็นการยากมากจะเข้าแทรกตลาดที่พ่อค้าข้าวกลุ่มเดิมยึดครองอย่งเหนียวแน่น ซ้ำยังสร้างอาณาจักรระบบส่งออกชนิดคนใหม่เกิดลำบาก มันเปิดโอกาสน้อยมากสำหรับคนใหม่จริง ๆ

ผู้คร่ำหวอดวงการส่งออกข้าวกล่าวว่าก่อนหน้านั้นการส่งออกข้าวเป็นยุคพ่อค้านั่งอยู่เฉย ๆ ผู้ซื้อเดินมาหา และค่อยสถาปนาระบบการค้าข้าวขึ้นมา ตลาดส่วนใหญ่เป็นตลาดแบบ "พี่น้องชาวจีนโพ้นทะเล" ด้วยกัน ย่านอินโดจีนเท่านั้น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง โดยอาศัยสายสัมพันธ์เครือญาติเป็นหัวใจ

อวยชัย มีความคิดจะบุกเบิกตลาดข้าวไทยให้กว้างขวางขึ้น

จากแนวความคิดนี้เองได้ก่อรูปเป็นยุคถัดมาของการค้าข้าว ผู้ส่งออกข้าวไทยเดิมทางออกหาผู้ซื้อเอง ปี 2511 บริษัทแสงทองค้าข้าว (1968) ตั้งขึ้น เป็นนิติบุคคลอย่างเป็นทางการสำหรับส่งข้าวออก ตอนนั้นกรพจน์ อายุเพียง 12 ปี เพิ่งเข้าเรียนโรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล ภายหลังจบจากโรงเรียนจีนระดับประถมต้นแล้ว "ผมโชคดีได้อยู่กับพ่อตลอด" กรพจน์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ซึ่งหมายความว่าลูกคนอื่นโดยเฉพาะพี่ชายธีรพงษ์ เรียนต่างประเทศ "เรานอนกันชั้นบนชั้นล่างเป็นสำนักงาน ถึงไม่ได้ทำงาน ผมก็ได้เรียนรู้ทางอ้อม" เขาเสริม

อวยชัย อัศวินวิจิตร ใช้เวลาถึง 7 ปีแนวความคิดเจาะตลาดใหม่จึงบรรลุ ในปี 2515 แสงทองค้าข้าวสามารถขายข้าวไทยครั้งแรกให้รัฐบาลอินเดีย เขาเองได้มีโอกาสเดินทางเข้าพบประธานาธิบดีดีเนรูห์ แห่งอินเดียด้วย

ยุทธวิธีของแสงทองค้าข้าวในการบุกเบิกตลาดใหม่คืออาศัยโบรกเกอร์จากญี่ปุนซี อิโต้ ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อกันมานานจนตราบเท่าทุกวันนี้โดยมีบริษัทซูมิโตโมเพิ่มขึ้นอีกราย ระยะหลัง ๆ มานี้แสงทองค้าข้าวกลับมีความสัมพันธ์กับซูมิโตโมมากกว่าซีอิโต้ด้วยซ้ำ

เทรดดิ้งเฟิร์มญี่ปุ่นซึ่งทำหน้าที่เป็นโบรกเกอร์ไปด้วยในตัวนี้ช่วยแสงทองเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ในย่านตะวันออกกลาง ส่วนอาฟริกานั้น แสงทองค้าข้าวดำเนินกลยุทธ์เดียวกัน คืออาศัยโบรกเกอร์ยุโรป ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเหล่านี้มาในประวัติศาสตร์ยาวนาน

แสงทองค้าข้าวเป็นผู้ขายข้าว โดยที่กิจการตนเองไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก (FACILITIES) ในการค้าระหว่างประเทศที่จำเป็นต้องอาศัยแหล่งการเงินสนับสนุนการรับรองเอกสารการค้า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้โบรกเกอร์มีพร้อมอยู่แล้ว

ลักษณะการจัดซื้อข้าวของประเทศในตะวันออกกลางก็ดี อาฟริกาก็ดี มักจะผ่านหน่วยงานของรัฐบาลและจะจัดซื้อคราวละมาก ๆ เพื่อบริโภคทั้งปี การได้มา ซึ่งออเดอร์ใหญ่เป็นหมื่นเป็นแสนตัน จึงเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ขณะเดียวกันราคาอยู่ในระดับสูง กำไรดีมาก เนื่องจากขณะนั้นความคิดในการบุกเบิกตลาดใหม่ยังไม่ยึดถือทั่วไปของบรรดาผู้ส่งออกข้าวไทย อีกประการหนี่งการสื่อสารโทรคมนาคมไม่สะดวกผู้บุกเบิก่อนย่อมได้เปรียบ นอกจากนี้มีเดียก็ไม่ทันสมัย ผู้ส่งออกรายใดมีออเดอร์อยู่ในมือจำนวนมากก็ไม่มีรายงานในรอยเตอร์ หรือหนังสือพิมพ์ในประเทศ ด้วยเหตุนี้ผู้ส่งออกจึงสามารถสร้างราคาเพื่อเก็งกำไรได้

กรพจน์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าข้าวโดยตรงในปี 2520 เมื่อเรียนธรรมศาสตร์อยู่ ปี 1

ด้วยเหตุมีใจฝักใฝ่การค้า เขาจึงสมัครเข้าเรียนในคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยตั้งใจเรียนภาคค่ำ เพื่อใช้เวลากลางวันช่วยการค้าของครอบครัว อายุประมาณ 18 ปีเขาจึงเรียนรู้และจับงานค้าส่งออกโดยตรง ทั้งจากผู้จัดการทั่วไป และจากพ่ออวยชัย รวมทั้งการติดตามเดินทางไปต่างประเทศด้วย

ผลงานยิ่งใหญ่ของเขาคือการเปิดตลาดอิหร่านสำเร็จ ขายข้าวจำนวนหลายหมื่นตันแสดงทองค้าข้าวกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวรายแรกและถือเป็นผลงานของกรพจน์ด้วย "ผมต้องลงทุนเอาข้าวไทยให้ภรรยาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรับบาลอิหร่านรับประทาน ซึ่งถูกใจและตัดสินใจซื้อในเวลาต่อมา" กรพจน์เล่า เหตุการณ์เกิดในสมัยพระเจ้าชาห์ยังเรืองอำนาจ

ยุคของกรพจน์ทายาทแสงทองค้าข้าวเป็นยุคของการขยายอาณาจักรเข้าไปจับธุรกิจใหม่ ๆ แต่เงื่อนไขของบางธุรกิจไม่เปิดให้คงมีแต่ประกันชีวิตกับแบงก์เท่านั้นที่พอจะมีช่องว่าง

แสงทองค้าข้าวได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดไปในจีเนียรายแรก มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศโอมานจนอวยชัย อัศวินวิจิตรได้รับกับประเทศโอมานจนอวยชัย อัศวินวิจิตรได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์นอกจากนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับฟิลิปปินส์ อวยชัยมีตำแหน่งเป็นรองประธานหอการค้าไทย-ฟิลิปปินส์ด้วย

ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญคือกรพจน์ลูกชายคนที่สาม แต่ความดีอันนี้เขาให้เครดิตพ่อเขาอย่างสูง

เพราะการคลุกคลีทำการค้ากับผู้พ่อประกอบกับอวยชัย เป็นคนค่อนข้างหัวใหม่ ซึ่งมีความคิดแนวรุกในการทำการค้า ปรับตัวอยู่ตลอดเวลา กรพจน์จึงได้รับความไว้วางใจ บางครั้งเขาโลดแล่นออกเผชิญโลกการค้าในต่างประเทศตามลำพัง

และจากลักษณะการค้าแบบโลดโผนรอคอยโอกาสนาน ๆ ก็คว้าออเดอร์ใหญ่มาจึงดูเป็นเอกลักษณ์และสไตล์การค้าของกลุ่มนี้สืบเนื่องมา กรพจน์เองก็มีสไตล์เช่นนั้นด้วย

"รอคอยโอกาส บุกหนักและกล้าเสี่ยง" อาจจะนิยามได้เช่นนี้

เนื่องจากแสงทองค้าข้าวบุกเบิกตลาดใหม่ ๆ ก่อนใคร ๆ กลุ่มนี้จึงผงาดขึ้นในยุทธจักรเป็นผู้ส่งออกท็อปไฟว์มาหลายปีและได้ชื่อว่าเป็น "เจ้าพ่อข้าวนึ่ง" เนื่องมาจากเป็นผู้บุกเบิกตลาดข้าวคุณภาพต่ำ และดำเนินกลยุทธ์เกาะติดตลาดนั้น ๆ อย่างเหนียวแน่น

"คุณเชื่อไหมคุณกรพจน์นี่ละ คุยกับนายพลบังกลาเทศรู้เรื่อง หรือผู้มีอำนาจในอาฟริกา" พ่อค้าข้าวคนหนึ่งกล่าว และว่าสไตล์การค้าของแสงทองค้าข้าวนั้นเดินเรื่องด้วยเรื่องราวลึกลับ พลิกผันกลยุทธ์อยู่ตลอดเวลา ยากที่จะอธิบาย หากจะเขียนเป็นหนังสือเล่มก็คงได้เล่มขนาดพ็อคเก็ตบุ๊คสนุกไม่แพ้ AMS MERCHANT ของ ANTONY SAMSON ทีเดียว

ขณะนั้นตลาดข้าวไทยนอกเหนือจากฮ่องกง-สิงคโปร์ กว้างขวางมากเหลือเกินใครเข้าก่อนยึดครองได้ กำไรมากมายหลับมา "การขายข้าวให้ประเทศด้อยพัฒนา ราคาขายตกลงกันง่ายปกติจะราคาสูงกว่าตลาดแข่งขันสูงย่านเอเชียอาคเนย์ นอกจากนี้ยังบวกค่าคอมมิชชั่นเข้าไปอีก ราคาซื้อขายตามสัญญาสูงลิ่ว" พ่อค้ารายหนึ่งพูดถึงการทำงานจองเจ้าหน้าที่ในประเทศเหล่านั้น

กรพจน์ อัศวินวิจิตร เคยกล่าวว่าตนเองเสียดายที่ไม่ได้ผ่านชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างเต็มรูปร่วมทำกิจกรรมมีเพื่อนฝูงเพราะต้องเรียนภาคค่ำ ซึ่งวิถีชีวิตของนักศึกษาภาคค่ำแตกต่างจากภาคปกติอย่างมาก แต่อย่างไรเมื่อชั่งน้ำหนักกับบทเรียนการค้าส่งออกข้าว-ข้าวโพดในช่วงนั้นประมาณ 3 ปี ก็ต้องถือว่าคุ้มค่าไปอีกแบบ

หลังจากเรียนจบเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แล้วกรพจน์กระโดดเข้าทำงานให้ครอบครัวเต็มตัว อีก 2 ปี จึงตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ รวมแล้วในช่วงแรกของชีวิตประสบการณืการค้าข้าวในยุคการค้าข้าวของประเทศหัวเลี้ยวหัวต่อ 5 ปี

ที่สหรัฐอเมริกา เขาตั้งใจเรียนเอ็มบีเอ. ที่ University of Southern California อย่างเดียวโดยไม่ต้องพะวักพะวนเรื่องการค้าของครอบครัว เขาบอกว่า "เป็นการเปิดหูเปิดตารับรู้โลกกว้างอีกแบบหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาทุกด้าน ซึ่งแตกต่างจากประสบการณ์การค้าข้าวพบเห็นแต่ประเทศด้อยพัฒนา"

ปี 2524 เขาเดินทางกลับประเทศไทย

กรพจน์พบว่าการค้าส่งออกสินค้าพืชไร่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง อันเนื่องมาจากการพัฒนาด้านการสื่อสารการคมนาคม สังคมไทยได้เข้าสู่สังคมสื่อสารบรรดาพ่อค้าข้าวไม่ว่ารายเล็กรายใหญ่สามารถซื้อหาข้อมูลข่าวสารได้พอ ๆ กัน "เมื่อก่อนใครมีเทเล็กซ์ก็นับว่าสะดวกมากแล้ว แต่ช่วงนี้ใคร ๆ ก็มี" เขายกตัวอย่างดังนั้นการแข่งขันมุ่งหนักในเรื่องราคาปรากฏการณ์การแข่งตัดราคาเอาเป็นเอาตายเกิดขึ้นจนเป็นที่วิตกทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้าเล็ก ๆ ที่เคยหากินกับระบบโควต้าหรือใช้ห้องประชุมแบ่งอาหารจานเดียวกัน ประกอบกับนโยบายค้าข้าวเสรีของรัฐบาลติดตามมาด้วย

ด้านข่าวสารทั้งภายในและต่างประเทศก็เหมือนกัน ข่าวการประมูลเป็นข่าวที่ถูกกระพือกันอย่างบ้าคลั่ง ทั้งขาวรอยเตอร์หนังสือพิมพ์ธุรกิจในบ้านเรา การเก็บออเดอร์เพื่อรอจังหวะหรือสร้างตลาดเพื่อรับซื้อข้าวในประเทศไทยราคาถูก เพื่อส่งออกตามกำหนดเวลาไม่สามารถทำได้อีกต่อไปแล้ว

อย่างไรก็ตามแสงทองค้าข้าวก็ยังผงาดในยุทธจักรต่อไป ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดไม่ยากเย็นนัก พร้อม ๆ กับชื่ออวยชัย และบทบาทของเขาลดถอยลงตามลำดับ ลูกชายเข้ามามีบทบาทมากขึ้นจากอยู่อย่างเงียบ ๆ เมื่อ 2 ปีก่อน ได้ออกหน้าสู่สาธารณชนแล้ว

กรพจน์เป็นทายาทของพ่อค้าข้าวระดับหัวแถว นอกจากสะสมบทเรียนการค้าข้าวในอดีต เขายังเป็นพ่อค้าที่ก้าวทันสถานการณ์อย่างดีเยี่ยมด้วย "คุณอวยชัย เขาเลี้ยงลูกเก่ง" เถ้าแก่ค้าข้าวยุคเดียวกับอวยชัยยังออกปาก

บวกกับแนวความคิดที่ได้จากเรียนเอ็มบีเอ เกี่ยวกับธุรกิจที่มั่นคงและมีอนาคตหนึ่ง-การขุดเจาะน้ำมัน สอง ADVANCED TECHNOLOGY สาม-สายการบิน สี่-อุตสาหกรรมรถยนต์ ห้า-ประกันชีวิต ประกันภัย และหก-ธนาคาร เป็นแรงผลักดันให้กรพจน์ผลักดันให้ครอบครัวเห็นคล้อยตามว่า แสงทองค้าข้าว ควรจะต้องเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ

เขาเป็น "หัวหอก" ในการบุกสู่ธุรกิจใหม่ แต่ขณะเดียวกันด้านการค้าข้าวแสงทองก็ไม่ได้ถดถอย ยึดสไตล์เดิมต่อไป พี่ชายของเขาเข้ามารับภาระแทน

กรพจน์เล็งเห็นว่า ธุรกิจการขุดเจาะน้ำมัน อุตสาหกรรมรถยนต์ สายการบินนั้นไม่มีทางจะเข้าไปได้ นอกจากเป็นธุรกิจประเภท CAPITAL INTENSIVE จะว่าไปแล้วยังไม่ถึงขั้นแสงทองค้าข้าวจะต้องระดมทุนมากขณะนั้น ยังมีปัญหาการผูกขาดในบางธุรกิจอยู่กับหน่วยงานรัฐบางหน่วยด้วย และสำคัญที่สุดคือเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีสูง

ที่เหลือเป็นเป้าหมายของเขาทั้งสิ้น

เขาบอกว่าการปรับความคิดของคนในครอบครัวนั้นไม่ยากเลย ง่ายกว่าการดำเนินตามแผนหลายเท่า พี่ชายของเขาก็เป็นนักเรียนนอกเพิ่งกลับมาก็เห็นพร้อมต้องกันแผนการเงียบ ๆ เริ่มเดินเครื่องและเห็นช่องทางก็ปี 2526 เริ่มต้นด้วยธุรกิจประกันชีวิตระดมซื้อหุ้นบริษัทไทยเศรษฐกิจประกันชีวิตด้วยการสนับสนุนจากบุญชนะ อัตถากร ประธานบริษัทนั้น ในจังหวะที่มีการแยกกิจการประกันชีวิตออกจากบริษัทดังกล่าว ตรงจุดนี้แสงทองค้าข้าวจึงเข้าไปได้ถือหุ้นใหญ่สำเร็จ

กลุ่มแสงทองค้าข้าวในปี 2528 พุ่งแรงแซงตลอด เข้ายึดธุรกิจใหม่ ๆ อย่างสง่าผ่าเผยใน 2 ประเภท

ในเวลาใกล้เคียงกันก็ทุ่มเงินหลายสิบล้านซื้อที่หลังธนาคารกรุงเทพ ว่ากันว่าเจ้าของเดิมคือสว่าง เลาหทัย

กรพจน์ เป็นคนแรกที่บุกเบิกธุรกิจนี้ในครอบครัว ประสานกับสายสัมพันธ์ของผู้พ่อซึ่งใกล้ชิดกับนักธุรกิจในฟิลิปปินส์ ชักนำอายาล่ากรุ๊ปซึ่งมีประสบการณ์และโนฮาวกิจการประกันชีวิตเข้าร่วมถือหุ้นและเข้าจัดการบางส่วน

ในเวลาใกล้เคียงเป้าหมายก็มุ่งสู่กิจการธนาคารด้วย เริ่มจากธนาคารเล็กสุด คือแหลมทอง อันประจวบเหมาะธนาคารนี้อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง โดยกลุ่มสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ ไม่มีมากพอจึงระดมพรรคพวกวาณิช ไชยวรรณ แห่งไทยประกันชีวิต ถูกชักชวนซื้อหุ้นในส่วนเพิ่มทุน กลุ่มแสงทองค้าข้าวผ่านจากกลุ่มวาณิชสามารถครอบครองหุ้นในชั้นแรกประมาณ 3% พร้อม ๆ กันนั้นกรพจน์ก็มุ่งหน้าสู่ธนาคารสหธนาคารนับได้ว่าเมื่อมีเป้าหมายการเข้าสู่ธุรกิจอื่นแจ่มชัด ก็พุ่งแรงอย่างเต็มเหนี่ยว และหลายทางเข้าเป็นเพื่อนนักเรียนเซ็นต์คาเบรียลด้วยกันกับเศรณี เพ็ญชาติ ลูกชายคนโตของชำนาญ เพ็ญชาติ ในสหธนาคาร ความขัดแย้งระหว่างศึกสองตระกูลชลวิจารณ์ เพ็ญชาติ ในธนาคารดังกล่าวกำลังปะทุ กรพจน์เข้าทางเพ็ญชาติ ระดมซื้อหุ้นทั้งทางตลาดหลักทรัพย์และจากเพ็ญชาติเอง

แท้ที่จริงแล้ว กรพจน์นอกจาเป็นนักเสี่ยงโชคตามสไตล์ผู้ค้าข้าวที่ดีแล้ว เขาเป็นคนหนุ่มมาก ๆ คนหนึ่งเข้าสู่การลงทุนในตาดหลักทรัพย์มาแล้ว บางคนบอกว่าการค้าข้าวกับการค้าหุ้นบ้านเราก็ใช้กันได้ พึงสังเกตว่าเมื่อตลาดหุ้นบูมคราใดพ่อค้าพืชไร่แถวทรงวาดเข้าสู่สนามด้วยไม่น้อย กรพจน์กับเศรณี ใช้เวทีนี้สามารถครอบครองหุ้นจำนวนมากในสหธนาคาร โดยกลุ่มแสงทองค้าข้าวในต้นปี 2528 มีถึง 11% แล้ว ถือเป็นจำนวนมากพอจะเข้าไปมีส่วนบริหารกิจการธนาคารได้

เมื่อบรรลุเป้าหมายเช่นนี้ แสงทองค้าข้าวจึงตัดสินใจขายหุ้น 3% ในธนาคารแหลมทองทิ้งไปในราคาที่ดี และได้กำไรพอสมควร เพื่อทุ่มเค้าหน้าตักสู่ธนาคารสหธนาคารซึ่งอยู่ระหว่างการเพิ่มทุนอันเป็นกลยุทธ์พื้นฐานในการชิงครอบครองการบริหารธนาคาร

หรือที่เรียกกันว่า "กลั้นใจแข่งกัน"

ผ่านการประลองกำลังครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง อวยชัย อัศวินวิจิตร ก็ได้เข้ารับตำแหน่งกรรมการสหธนาคารสมใจนึก

กลุ่มแสงทองค้าข้าวในปี 2528 พุ่งแรงแซงตลอดจริง ๆ เข้ายึดธุรกิจใหม่อย่างสง่าผ่าเผยใน 2 ประเภทอย่างรวดเร็ว ในเวลาใกล้เคียงกันก็ทุ่มเงินหลายสิบล้านซื้อที่หลังธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ ว่ากันว่าเป็นของสว่าง เลาหทัยเพื่อ "เกี๊ยเซี้ย" หนี้กับชาตรี โสภณพนิช บิ๊กบอสธนาคารกรุงเทพไปบางส่วน ติดตามมาด้วยการประกาศสร้างอาคารสูงกว่า 10 ชั้น ด้วยเงินทุนประมาณ 500 ล้านบาท สถาปนิกออกแบบไปเรียบร้อยแต่แผนดังกล่าวต้องมาสะดุดเสียก่อนเพราะกฎหมายควบคุมอาคารของกทม. ตราบเท่าทุกวันนี้การวางศิลาฤกษ์ผ่านไปกว่า 1 ปีแล้วเสาเข็มเสาแรกยังไม่ได้ตอกลงไปเลย

เวลาประมาณ 3-4 ปี เขาบุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ได้ค่อนข้างเร็ว เร็วกว่ายุคที่แสงทองค้าข้าวบุกค้าข้าวนอกตลาดประจำก่อนใคร ๆ เช่นเดียวกันก็ได้กลายเป็นพ่อค้าข้าวที่ใช้เวลาก่อร่างสร้างกิจการไม่นานนักปรับตัวเปลี่ยนแปลงเร็วเช่นนี้

วันนี้ดูเหมือนว่ากิจการแสงทองค้าข้าวลงทุนใหม่จำนวนมากนั้นยังไม่มีผลกลับมาทันตาเห็น "มันเป็นการลงทุนต้องใช้เวลา" กรพจน์กล่าวสั้น ๆ กิจการประกันชีวิตได้วางรากฐานไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนและอุปกรณ์อื่น ๆ ขาดทุนสะสมในส่วนนี้ยังมีอยู่จำนวนหนึ่งตามประสากิจการเพิ่งเริ่มต้น แต่อย่างไรก็ตามไทยเศรษฐกิจประกันชีวิต (ทีเอสไลฟ์) เมื่อกรพจน์เข้านั่งเป็นกรรมการผู้จัดการก็เริ่มต้นจากแทบไม่มีเบี้ยประกันเลย จนถึงประมาณ 20 ล้านในปีนี้ "มันเป็น TECHNICAL LOSS" และจะมีกำไรในปีนี้

ส่วนทางธนาคารก็ถือเป็นการลงทุนระยะยาวต้องใช้เวลา เขาเชื่อไม่ปีนี้ก็ปีหน้าปัญหาความขัดแย้งการบริหารธนาคารแห่งนี้คงได้รับการแก้ไข

กรพจน์ อัศวินวิจิตร เป็นคนเงียบ ๆ ใช้ชีวิตค่อนข้างง่าย ๆ เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการทำงาน การพบปะผู้คน หรือนักธุรกิจเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนข่าวสาร เจรจาธุรกิจกันเงียบ ๆ ตามห้องอาหารโรงแรมมากกว่าการออกงานเลี้ยงตามโรงแรมซึ่งดูเอกเกริกไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ ชอบทานก๋วยเตี๋ยวมากกว่าข้าว บางคนบอกว่าเขาอยู่ในระยะสะสมบารมี ประสบการณ์ประกอบกับอายุยังน้อย แม้แต่การบริหารทีเอสไลฟ์เขายังไม่ค่อยแสดงตัวเลย

ภรรยาของกรพจน์ เป็นลูกสาวเครือเบทราโกท อุตสาหกรรมการเกษตรคู่ปรับซีพีซึ่งเป็นพันธมิตรการค้าสินค้าพืชไร่ของแสงทอง้าข้าวมายาวนานด้วย ในนามธนาพรชัยจึงดูส่งเสริมธุรกิจของเขาให้แน่นขึ้น

วันนี้ของกรพจน์คือการนั่งเฝ้ามอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ดูความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เขาได้ชื่อว่าเป็นนักเล่นหุ้นแบบลงทุนมือฉกาจ เขาเคยซื้อหุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้เมื่อ 3 ปีก่อนจำนวนประมาณ 4 ล้านบาท ปัจจุบันราคาทะยานขึ้นไปเป็น 32 ล้านเขาขายไปแล้วบางส่วนกำไรกว่า 20 ล้านบาทพร้อม ๆ กับหุ้นบางกอกโพสต์กำไรกลับมาไม่น้อยเหมือนกัน

ผู้ใกล้ชิดบอกว่ากรพจน์ อาจดูไม่เหมาะกับการบริหารกิจการประกันชีวิตแบบวันต่อวัน แต่เขาเหมาะสำหรับการวางแผน และด้วยประสบการณ์อันโชกโชนในการค้าข้าว เขาจึงกลายเป็น DEAL MAKER ตัวยงคนหนึ่งในวงการธุรกิจ

ที่ทีเอสไลฟ์ เพื่อนธรรมศาสตร์คนหนึ่งกิตติพงษ์ จินตวราลักษณ์ เป็นผู้บริหารงานประจำวัน เช่นเดียวกับบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสาร ธุรกิจส่วนตัวลงขันร่วมกับเพื่อน ๆ เขาเป็นกรรมการ ส่วนเพื่อนบริหารเช่นกัน

กรพจน์ เป็นคนหนุ่มที่มีอนาคต และอนาคตของเขาอยู่ที่ธุรกิจธนาคาร

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us