Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2530
ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย อดีตเถ้าแก่…ปัจจุบัน-มืออาชีพที่กำลังมือขึ้น             
 

   
related stories

ผู้จัดการรุ่นใหม่ในสายตา "ผู้จัดการ"

   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารกรุงเทพ

   
search resources

ธนาคารกรุงเทพ, บมจ.
วิชิต สุรพงษ์ชัย
Banking and Finance




เขาอายุ 42 ช่วงแรกของชีวิตเกือบจะต้องกลายเป็นเถ้าแก่โรงงานกล่องกระดาษ แต่เพราะจังหวะชีวิตพลิกผัน ก็เลยมาอยู่แบงก์กรุงเทพ และเพิ่งจะออกเดินไปได้เพียง 1 ใน 3 ของระยะทางที่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่แล้ว

บุญชู โรจนเสถียร กลับเข้าธนาคารกรุงเทพอีกครั้งในช่วงปี 2520 ภายหลังบรรยากาศการเมืองผันผวนพรรคการเมืองสลายตัวไปพร้อม ๆ กับการยึดอำนาจโดยคณะปฏิรูปและจัดตั้งรัฐบาล ธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นบริหารประเทศ การกลับรังเก่าคราวนี้บุญชู โรจนเสถียรเข้านั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่แทนชิน โสภณพนิช ที่ขยับขึ้นไปนั่งเก่าอี้ประธานบอร์ด

และต้นปี 2520 นี่เองที่ด็อกเตอร์หนุ่มวัยสามสิบเศษถูกทาบทามให้เข้าช่วยงานบุญชู โรจนเสถียรในสำนักผู้จัดการใหญ่

อีกหลายปีต่อมาชื่อเสียงของด็อกเตอร์หนุ่มดังกล่าวเริ่มขจรขจายในฐานะ "ขุนศึก" คนสำคัญคนหนึ่งของสำนักบัวหลวง ตำแหน่งและบทบาทก็ดูเหมือนว่าจะมาแรงเป็นพิเศษ

จากเจ้าหน้าที่บริหารขั้นผู้ช่วยผู้จัดการประจำสำนักผู้จัดการใหญ่ในปี 2520 ปี 2523 เขาก้าวขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่บริหารขั้นรองผู้จัดการ ตำแหน่งผู้จัดการสำนักงานจัดสรรเงิน

ปี 2525 เป็นเจ้าหน้าที่บริหารขั้นรองผู้จัดการอาวุโส

ปี 2526 เป็นผู้จัดการฝ่ายอาวุโส รับผิดชอบกลุ่มงานบริหารการเงินและผู้จัดการสำนักจัดสรรเงิน พร้อมกับควบตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายร่วม ฝ่ายอำนวยการสาขาต่างประเทศรับผิดชอบสาขาต่างประเทศในย่านเอเชียของธนาคารกรุงเทพ

ปี 2528 ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่และได้รับแต่งตั้งให้ดูแลกิจการด้านวานิชธนกิจด้วยอีกด้านหนึ่ง

และปี 2530 ก็ควบตำแหน่งผู้อำนวยการด้านสาขาต่างประเทศเข้าไปอีกเต็มตัว

ชื่อของเขา ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย

คนที่มักจะบอกกับใคร ๆ อย่างถ่อมตัวว่าเขาเข้าร่วมงานกับธนาคารกรุงเทพอย่างคนผู้ไม่ประสีประสากับกิจการธนาคารพาณิชย์ "ผมคิดว่ามันเป็นความโชคดีที่ผมได้มีโอกาสจับงานสำคัญของธนาคารเข้าอย่างเหมาะเจาะเสียมากกว่า" เขามักจะว่าอย่างนั้น

วิชิต สุรพงษ์ชัย อายุเพิ่งจะครบ 42 เมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา เขาเป็นคนกรุงเทพฯ เกิดในครอบครัวเจ้าของโรงงานผลิตกล่องกระดาษโรงแรกในประเทศไทย ที่ก่อตั้งขึ้นโดยพ่อของเขา พงษ์ สุรพงษ์ชัยกับแม่-ลาวัณย์ เป็นกิจการครอบครัวที่เริ่มจากเล็ก ๆ และเติบโตขึ้นมาพร้อม ๆ กับวัยที่เติบโตของเขากับพี่ชายเพียงคนเดียว-วินิจสุรพงษ์ชัย อดีตผู้บริหารคนสำคัญของเอสเอสซีแอนด์บี ลินตาสที่เพิ่งจะมีข่าวครึกโครมเรื่องลาออกไปตั้งเอเยนซี่ใหม่ไม่กี่เดือนมานี้

วิชิต เริ่มเรียนหนังสือที่อัสสัมชัญบางรัก เขาคิดว่าเขากับวินิจน่าจะต้องแสดงบทบาทความเป็นเถ้าแก่ดูแลกิจการโรงงานผลิตกล่องกระดาษต่อจากรุ่นพ่อแม่ ซึ่งก็เป็นความปรารถนาของครอบครัวด้วย เมื่อจบระดับเตรียมอุดมศึกษาแล้ววิชิตจึงตรงแน่วเข้าเป็นนิสิตใหม่คณะวิศวกรรมศาสตร์ แผนกเครื่องกลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างมุ่งมั่น เขาตั้งใจว่าจะนำความรู้ทางด้านวิศวะเครื่องกลไปใช้กับโรงงานของเขา ส่วนวินิจที่ชอบด้านศิลปะก็ถูกส่งไปเรียนวิชาที่ตัวเองชอบที่อังกฤษ

ดูเหมือนครอบครัว "สุรพงษ์ชัย" จะได้วางเส้นทางเดินของทายาทเอาไว้แล้วอย่างรัดกุม

คนโตไปเรียนวิชาที่จะต้องนำมาใช้ในการสร้างสรรค์สินค้าใหม่ ๆ ของโรงงาน

ส่วนคนเล็กเรียนวิชาที่จะใช้ในด้านการผลิต

เพียงแต่บางทีอนาคตข้างหน้านั้นก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่กำหนดกันได้เสมอไปเท่านั้น

วินิจ สุรพงษ์ชัย กลับจากอังกฤษก็เข้าทำหน้าที่ในโรงงานผลิตกล่องกระดาษาของครอบครัวทันควัน ตอนนั้น วิชิตยังเรียนวิศวะปี 3 แม้จะยังไม่จบแต่ด้วยความจำเป็นบางประการของครอบครัวทำให้เขาต้องเรียนไปพร้อม ๆ กับช่วยงานในโรงงานและเริ่มให้เวลากับงานอย่างจริงจังทันทีที่หลุดจากรั้วจุฬาฯ

"โรงงานของเราเคยเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตใหญ่ที่สุด ตอนที่ผมทำงานนั้นก็น่าจะพูดได้ว่าทำเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่เถ้าแก่ไปจนถึงจับกังแบกของขนของขึ้นรถลงรถขับรถส่งของหรือแม้แต่ไปญี่ปุ่นเพื่อซื้อเครื่องจักร ต้องอยู่เทรนที่ญี่ปุ่น 6-7 เดือน ผมคิดว่าผมก็ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากทีเดียว" วิชิต เล่าให้ฟัง

หนึ่งปีหลังจากจับงานของครอบครัวอย่างเต็มตัว กิจการเริ่มประสบปัญหาจากการแข่งขัน วิชิตเริ่มคิดในขณะนั้นว่า เขามีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนากิจการให้อยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งขึ้น "ผมคิดว่าความรู้ทาง

หนึ่งปีหลังจากจับงานของครอบครัวอย่างเต็มตัว กิจการเริ่มประสบปัญหาจากการแข่งขัน วิชิตเริ่มคิดในขณะนั้นว่า เขามีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนากิจการให้อยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งขึ้น "ผมคิดว่าความรู้ทางด้านวิศวะที่มีอยู่ของผมจริง ๆ แล้วมันยังไม่แน่นพอที่จะนำมาใช้ในการพัฒนากิจการก็คิดแค่เพียงด้านนี้ด้านเดียวจริง ๆ ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่ต่างประเทศ"

ปี 2512 วิชิตเข้าเรียนในระดับปริญญาโททางด้านวิศวอุตสหกรรรมที่เบิร์กเล่ย์ประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่ดูเหมือนว่าความรู้ระดับปริญญาโทที่ร่ำเรียนมาไม่ได้ช่วยให้กิจการของครอบครัวพัฒนาไปสู่จุดที่มุ่งหวัง เขาเริ่มมองเห็นสัจธรรมว่าอะไรคือสาเหตุในช่วงนี้เอง

"จริง ๆ แล้วมันเป็นปัญหาเรื่องการจัดการเรื่องเงิน เรื่องระบบธุรกิจแบบครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาที่เราไม่มีความรู้ที่จะแก้ไขเลย" วิชิตบอก

เขาตัดสินใจขจัดความไม่รู้ด้วยการบินกลับไปเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจ (เอ็มบีเอ) เพิ่มเติมที่ยูซีแอลเอ สหรัฐอเมริกา เขาหวังอย่างมากที่จะกลับมาฟื้นฟูกิจการของครอบครัวอีกครั้ง เพียงแต่เขาตัดสินใจออกจะช้าไปสักนิด

บริษัทสิงห์ทอง จำกัด โรงงานผลิตกล่องกระดาษที่ครอบครัว "สุรพงษ์ชัย" ก่อร่างสร้างขึ้นมาด้วยระยะเวลานับสิบ ๆ ปี ตัดสินใจขายหุ้นส่วนข้างมากให้กับบริษัทออสเตรเลีย คอนโซลิเดเต็ด อินดัสทรีย์ (ที่เข้ามาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทไทยกลาสในประเทศไทย) และบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์เพื่อรับช่วงกิจการไปดำเนินการต่อพร้อม ๆ กับเปลี่ยนชื่อบริษัทจากสิงห์ทองเป็นบริษัทสยามบรรจุภัณฑ์

"ช่วงนั้นเป็นปี 2514 ดร.วิชิตยังอยู่ต่างประเทศ เจ้าของเก่าเขาดูแล้วว่าเขากำลังไม่พอที่จะพากิจการให้รุ่งเรืองได้เหมือนเก่าท่ามกลางการแข่งขัน บวกกับกลุ่มไทกลาสที่ติดต่อธุรกิจกันมานานก็เสนอเงื่อนไขดีมาก ๆ เขาก็เลยตัดสินใจขายหุ้นส่วนใหญ่ให้ คงเหลือหุ้นไว้เพียงเล็กน้อยบริษัทนี้ต่อมาในปี 2524 หรือ 10 ปีให้หลังก็เข้าไปอยู่ในเครือซิเมนต์ไทย ก็บริษัทสยามบรรจุภัณฑ์ที่เรารู้จักกันนั่นเอง ไม่ค่อยจะมีคนทราบหรอกว่าคนที่วางรากบริษัทนี้เริ่มจากพวกสุรพงษ์ชัยโดยมี ดร.วิชิตเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งในขณะที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม" คนที่อยู่ในวงการกระดาษคราฟท์บอกกับ "ผู้จัดการ"

"เราเคยโตที่สุด แต่เมื่อมีโรงงานผลิต

ดร.วิชิตได้รับโอกาสและโชคที่น้อยคนนักจะได้รับ

เขาจับงานทรีทชูรี่ในช่วงที่สถานการณ์กำลังเหมาะสม

และได้มีโอกาสเข้าไปศึกษางานทุกฝ่ายของแบงก์กรุงเทพ

กล่องกระดาษลูกฟูกเพิ่มขึ้นหลายเจ้าเราก็โตช้าลงจนกลายเป็นระดับกลาง ๆ เนื่องจากเราทำกันเองภายในครอบครัว ก็มาคิดว่าถ้าเราทำต่อไปก็คงเกินกำลังต้องเหนื่อยมาก คนที่ซื้อไปเขาก็ใหญ่มีประวัติยาวนาน ก็เลยตัดสินใจขาย" ดร.วิชิตให้เหตุผลคล้าย ๆ กัน

ว่าไปแล้วการตัดสินใจขายกิจการออกไป ก็น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่เมื่อจบเอ็มบีเอแล้วทำให้วิชิตเรียนต่อในระดับปริญญาเอกด้านการบริหารที่ยูซีแอลเอ แล้วทำให้วิชิตเรียนต่อในระดับปริญญาเอกด้านการบริหารที่ยูซีแอลเอ

เขาเดินทางกลับประเทศไทยอีกครั้งในช่วงปี 2519 วุฒิปริญญาเอกด้านการบริหารจากยูซีแอลเอของเขาพอจะมีงานให้เลือกทำได้หลายที่ ในที่สุดเขาเลือกบรรษัทเงินทุนอุตสหากรรมแห่งประเทศไทย (ไอเอฟซีที) "ผมคิดว่าผมมีพื้นฐานและประสบการณ์ทางด้านอุตสาหกรรม การเงินและการบริหารไอเอฟซีที ก็น่าจะเป็นหน่วยงานที่เหมาะสมที่สุด"

ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย เริ่มต้นที่ไอเอฟซีทีในตำแหน่งนักวิเคราะห์โครงการสายงานที่ขึ้นตรงกับอัศวิน คงศิริ "เป็นงานคนละด้านกับการพิจารณาให้สินเชื่อ เพราะนั่นลูกค้ามีโครงการเดินเข้ามาหาให้เราศึกษาแล้วตัดสินใจ แต่งานของผมที่ไอเอฟซีทีเป็นการค้นหาโครงการใหม่ ๆ ที่เหมาะสมแล้วผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมนั้นๆ ขึ้น" เขาบอกว่าเขามีสวนในการเริ่มต้นของอุตสาหกรรมผลิตตลับลูกปืนและผ้าใบเป็นต้น

ไม่นานหลังจากนั้น ดร.วิชิต ก็ได้รับเชิญให้ใช้เวลาส่วนที่ว่างช่วงเย็นสอนหนังสือที่ธรรมศาสตร์หลักสูตรเอ็มบีเอ ซึ่งที่นี่ทำให้เขาได้มีโอกาสรู้จักกับ สังเวียน อินทรวิชัยอดีตคณบดีคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชีของธรรมศาสตร์ซึ่งสนิทสนมกับผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในธนาคารกรุงเทพ

ช่วงที่บุญชู โรจนเสถียร กลับเข้าธนาคารกรุงเทพอีกครั้งนั้น สำหรับดร.วิชิตสุรพงษ์ชัยแล้วก็เป็นช่วงที่เพิ่งจะทำงานกับไอเอฟซีทีและสอนหนังสือที่ธรรมศาสตร์ได้เพียง 7 เดือน และเขาไม่เคยคิดเลยแม้แต่น้อยว่าการกลับมาของบุญชูจะทำให้เส้นทางเดินชีวิตของเขาต้องมีอันเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

"เรื่องมันก็มีอยู่ว่า คุณบุญชูต้องการคนที่จะมาศึกษาและวางรากฐานงานด้านการบริหารเงินหรืองาน TREASURY เพราะภายหลังวิกฤติการณ์น้ำมันเมื่อปี 2514 เรื่อยมาจนช่วงปี 2520 เศรษฐกิจมันมีแนวโน้มที่จะปั่นป่วนมาก อัตราดอกเบี้ยเคลื่อนไหวขึ้นลงวูบวาบ อัตราแลกเปลี่ยนที่เมื่อก่อนเคยคงที่มาตลอดก็เริ่มเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรุนแรง ท่านก็ต้องการคนมาศึกษาและดูงานด้านนี้ก็บอกไปหลาย ๆ ทาง" แหล่งข่าวในธนาคารกรุงเทพเล่าให้ฟัง

พิพัฒน์ ปุษยานนท์ ผู้บริหารคนหนึ่งของธนาคารกรุงเทพ ได้นำความมาปรึกษากับสังเวียน อินทรวิชัยที่รู้จักสนิทสนมกันมานาน จากสังเวียน คำทาบทามก็ส่งผ่านมาถึง ดร.วิชิต

แล้ววันหนึ่งของต้นปี 2520 การสนทนาบนโต๊ะอาหารกึ่ง ๆ ทางการระหว่าง ดร.วิชิตกับดำรงค์ กฤษณามระ ก็อุบัติขึ้น

สำหรับดร.วิชิต แม้ว่าเหตุการณ์วันนั้นจะผ่านมาแล้วกว่า 10 ปี แต่ดูเหมือนว่าเขายังสามารถจดจำประเด็นสำคัญได้ไม่ตกหล่น

"ผมก็เรียนคุณดำรงค์ว่าผมไม่มีประสบการณ์ คุณดำรงค์ท่านก็ว่าไม่เป็นไรนี่ มาเรียนรู้ได้ ก็ตกลงผมเข้ามา"

ดูเสมือนง่าย ๆ และรวบรัด ทั้ง ๆ ที่เบื้องหลังก็คือฝ่ายหนึ่งรับทราบคุณค่าของอีกฝ่ายหนึ่งมามากแล้วพอสมควร ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็อยากทำงานที่ท้าทายตามข้อเสนอของอีกฝ่าย โดยเฉพาะงานบริหารเงิน ที่ขณะนั้นก็ออกจะเป็นงานที่ใหม่มาก ๆ สำหรับธนาคารพาณิชย์ไทย

แต่ทั้ง ดร.วิชิตและผู้ใหญ่ของธนาคารกรุงเทพก็คงไม่ทราบหรอกว่า การตัดสินใจคราวนั้นในที่สุดจะต้องไปลงเอยตรงจุดไหน จะสำเร็จหรือไม่ก็คงจะต้องขึ้นอยู่กับตัวดร.วิชิตบวกกับเงื่อนไขทางโอกาสที่เปิดให้ และก็อาจจะอีกบางสิ่งที่เรียกกว่า "ดวง" ด้วยก็เป็นได้

ธนาคารกรุงเทพนั้นถูกมองว่าเป็นถ้ำเสือวังมังกรมีลักษณะไม่ต่างไปจากดาบสองคมสำหรับบรรดามืออาชีพทั้งหลายมานานแล้ว เพราะความใหญ่ของกิจการก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องมีทั้งคุณและโทษอยู่ในตัว

คุณในแง่ที่ถ้าสร้างสรรค์งานขึ้นมาได้ประสบผลสำเร็จ ความใหญ่ของกิจการที่จะส่งพลังออกไปอย่างมหาศาล เปรียบเทียบผลงานคล้าย ๆ กันกับองค์การที่มีขนาดเล็กกว่าแล้วก็คงจะเห็นข้อแตกต่างได้ชัด

และโทษในแง่ที่ความใหญ่นั้นก็อาจจะทำให้หลายคนมีอาการแคระแกร็นไปได้ง่าย ๆ โอกาสที่จะเรียนรู้งานอย่างรอบด้านเพื่อเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสร้างสรรค์ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก เรื่องที่ทำได้ง่ายกลับเป็นการทำหน้าที่ในฐานะเฟืองตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งของระบบที่ใหญ่โตมโหฬาร

"เพราะฉะนั้นจึงมักจะพบว่าคนระดับผู้จัดการฝ่ายหลาย ๆ คนขององค์กรขนาดใหญ่ถ้าจับไปอยู่องค์กรขนาดที่เล็กกว่า เขาอาจจะไปได้ไกลกว่านี้ สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้ไม่ยาก" แหล่งข่าวคนหนึ่งให้ข้อคิด

มองจากตรงนี้สำหรับดร.วิชิต แล้วก็น่าจะต้องถือว่าโชคดีอยู่ไม่น้อย

ภารกิจเริ่มแรกสำหรับ ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย นั้นค่อนข้างแจ่มชัด เขามีหน้าที่ศึกษาและวางระบบตลอดจนพัฒนาข้อมูล และบุคลากรสำหรับงานบริหารเงินที่ผู้บริหารธนาคารกรุงเทพมองด้วยความชาญฉลาดและความมีสายตายาวไกลว่า จะต้องเป็นงานที่สำคัญอย่างเอกอุในอนาคตซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย

จริง ๆ แล้วมันก็คือการเริ่มต้นของฝ่าย TREASURY ที่ธนาคารกรุงเทพเป็นผู้นำซึ่งปัจจุบันกลายเป็นฝ่ายที่ทุกธนาคารจำเป็นต้องมีอย่างที่จะขาดไปเสียไม่ได้นั่นเอง

"คอนเซ็ปต์ของมันก็คือ สภาพความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและตลาดเงินที่เริ่มส่อเค้าตั้งแต่ปี 17-18 เรื่อยมาได้ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ของอัตราดอกเบี้ยในประเทศต่างประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่าง ๆ ปัญหาก็มีอยู่ว่าธนาคารจะบริหารเงินของตัวเองอย่างไร เพื่อให้เงินทุกบาททุกสตางค์รวมทั้งเงินตราต่างประเทศสามารถออกดอกออกผลไม่อยู่นิ่ง ๆ ในเซฟ ซึ่งนอกจากจะไม่ออกดอกผลแล้วก็อาจจะต้องชักเนื้อด้วยก็เป็นได้" แหล่งข่าวในวงการธนาคารอธิบายให้ฟัง"

การได้รับมอบหมายให้เป็นผู้วางระบบบริหารเงินที่ไม่กี่ปีต่อมาถูกจัดตั้งขึ้นเป็นสำนักจัดสรรเงินนั้น ทำให้ ดร.วิชิต ได้รับโอกาสที่ใครในธนาคารกรุงเทพก็คงจะได้โอกาสเช่นว่านี้ได้ไม่ง่ายนัก นั่นก็คือการเข้าไปสัมผัสกับทุกส่วนงานที่ประกอบกันขึ้นเป็นธนาคารกรุงเทพอย่างถึงรากเหง้า "เนื่องจากเป็นงานเกี่ยวกับเงิน เพราะฉะนั้นเงินมันไปตรงไหน ผมต้องตามไปดู ผมจึงไปทั่วหมดเกือบทุกฝ่ายในแบงก์ เงินฝากสินเชื่อในประเทศต่างประเทศไปมาหมด ยกเว้นฝ่ายการพนักงานเท่านั้น" ดร.วิชิต เล่าพร้อมกับย้ำ "ผมถือว่าผมโชคดีมากทั้งได้เรียนรู้งานและได้ทำงานที่มันท้าทายจริง ๆ "

สองปีแรกเป็นสองปีที่หมดไปกับการเรียนรู้ เขาตระเวนไปฝ่ายโน้นฝ่ายนี้อย่างเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ได้ประโยชน์มาก

ความสามารถและความเก่งกาจที่มีเป็นคุณสมบัติติดตัวเริ่มฉายแววรุ่งโรจน์ในปีที่สามพร้อม ๆ กับการก้าวขึ้นรับหน้าที่ผู้จัดการสำนักงานจัดสรรเงินที่ตั้งขึ้นในปีนั้นก็น่าเสียดายที่บุญชู โรจนเสถียร คนที่มีส่วนอย่างสำคัญในการนำเขาเข้าร่วมงานไม่มีโอกาสได้อยู่ชื่นชม "เพชร" ได้รับการเจียระไนเม็ดนี้ เนื่อง่จากบุญชูขอหวนกลับเข้าสู่วงการเมืองอีกครั้งและได้รับตำแหน่งรองนายกฝ่ายเศรษฐกิจในคณะรัฐบาลเปรม 1

คนที่ได้ชื่นชมและสนับสนุนดร.วิชิตอย่างชนิดที่ต้องเรียกว่า ดร.วิชิตเป็น "ขุนศึก" คู่กายกลับเป็นชาตรี โสภณพนิช ที่ขึ้นสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่แทนบุญชู โรจนเสถียร

และก็เป็นชาตรีที่ตัดสินใจมอบหมายงานด้านสาขาต่างประเทศตลอดจนงานด้านวานิชธนกิจให้ดร.วิชิต เป็นผู้รับผิดชอบในเวลาต่อมาภายหลังการแสดงฝีไม้ลายมือเอาไว้อย่างน่าทึ่งในงานด้านบริหารการเงิน

"ก็ลองมองย้อนหลังดูก็ได้ว่าจากปี 23 ถึงปีนี้อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงขึ้นลงกี่ครั้ง มันเคยขึ้นไปชนเพดาน 21% เคยลงมาต่ำกว่า 10% การปรับค่าเงินบาทมีติด ๆ กันไม่ต่ำกว่า 10% การปรับค่าเงินบาทมีติด ๆ กันไม่ต่ำกว่า 4 ครั้งในยุคเปรม 1 ถึงเปรม 4 สถานการณ์เหล่านี้ สามารถพิสูจน์ฝีมือ ดร.วิชิต ได้ชัดเจน แบงก์กรุงเทพทำกำไรจากงานด้านนี้มากโดยเฉพาะการค้าเงินตราต่างประเทศเพราะฉะนั้นถ้าชาตรีจะไว้วางใจดร.วิชิต มอบหมายงานสำคัญๆ ให้ทำก็เป็นเรื่องธรรมดา" แหล่งข่าวคนหนึ่งบอก

ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ในทุกวันนี้นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ งานชิ้นแรกที่จับก็ยังต้องจับต่อไปพร้อม ๆ กับงานด้านสาขาต่างประเทศและงานวานิชธนกิจ โดยเฉพาะโครงการปิโตรเคมีคัลและการร่วมลงทุนตั้งบริษัทลีสซิ่งกับมิตซุย เมื่อปีที่แล้วเขาถูกส่งเข้าไปนั่งอยู่ในบอร์ดบริหารของสยามกลการและเขาตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปีนี้เขาจะเป็นกลไกสำคัญอันหนึ่งของธนาคารในการหันเหทิศทางเข้าสู่ "INVESTMENT BANKING" ที่จะเป็นงานใหญ่ครอบงาน TREASURY เข้าไปอีกชั้น

หลังจากในช่วงวันพักผ่อนเขาเล่นกอล์ฟ คนที่เล่นด้วยกันประจำก็ไม่แคล้ว "บอส" ของเขา-ชาตรี โสภณพนิช และเพื่อน ๆ ผู้บริหารในธนาคาร

ดร.วิชิตยังมีอายุงานอยู่อีกอย่างน้อย 20 ปีถ้าเขาคิดจะวางมือเมื่อตอนอายุ 60

จริง ๆ แล้วเขาเพิ่งเดินมาได้เพียง 1 ใน 3 ของระยะทางเท่านั้นเอง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us