เงินนอกไหลเข้าดันตลาดหุ้นไทยทิสโก้ชี้แพงเกินปัจจัยพื้นฐาน แต่คาดยังไปได้ต่ออีกก่อนจะดำดิ่ง เตือนรอบนี้ระวังโดนลากขึ้นไปเชือด แนะเดือนหน้าเตรียมล้างพอร์ตแล้วให้ Short หุ้น-Short ฟิวเจอร์ส- Long Put Option และ ซื้อทอง มองเป้าหมายปลายปีน่าจะไปแตะ 1,200 เหรียญต่อออนซ์ได้
วิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ กล่าวว่า เดิมทีตลาดหุ้นไทยจะมีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ต่ำกว่าดัชนี MSCI EX Japan เฉลี่ยประมาณ 15% แต่ตอนนี้ P/E ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 19.5เท่า ขณะที่ตลาดทั้งเอเชียอยู่ที่ 19 เท่า ซึ่งก็แสดงว่าของเราแพงกว่า แต่ก็มีข้อดีตรงที่ว่าตอนนี้สภาพคล่องไหลเข้ามา ส่วนวิธีสังเกตสภาพคล่องก็คือ ค่าเงินบาทแข็งค่า และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังไปต่อ
ทั้งนี้มองว่าดัชนีรอบนี้ไปได้ที่ 600 - 630 จุดขึ้นกับสภาพคล่องจะเข้ามามากน้อยเพียงใด รวมถึงอาจมีสภาพคล่องที่เข้ามาจากจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ด้วยแต่รอบนี้หาก ดัชนีลงต่ำกว่า 550 จุดจะถือเป็นสัญญาณที่ทำให้เกิดแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ
"คลื่นลูกสุดท้ายในรอบนี้ก่อนที่ตลาดจะเป็นขาลงจะได้เห็นหุ้นประเภทเก็งกำไรตัวเล็กๆเริ่มมีโวลุ่มสูงติด 20 อันดับแรก ซึ่งมันจะมาแน่นอนเพราะอารมณ์นักลงทุนมันเอื้อพอเห็นตัวไหนขยับก็จะเริ่มไล่ราคาเลย อีกอย่างก็คือตอนนี้ราคาหุ้นพื้นฐานแต่ละตัวมันเกินฟันดาเมนทอลเกือบหมดแล้ว ระหว่างเล่นหุ้นปั่นกับเล่นหุ้นพื้นฐานที่ราคาเกินปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นอีกสักพักหุ้นปั่นจะมา"
หากรอบนี้ต่างชาติขายก็คาดว่าจะทำให้ดัชนีลงลึกกว่า 100 จุด และเป็นการปรับฐานลดลงแรงและนาน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายมิถุนายนถึงกลางกรกฎาคมนี้ นักลงทุนควรระมัดระวังและติดตามการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติด้วย เพราะมองว่าการเข้ามาลงทุนของต่างชาติรอบนี้มองว่าจะเป็นนำเงินมาลงทุนเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น และเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ก็จะมีแรงเทขายทำกำไรเพื่อหาส่วนต่างจากค่าเงินด้วย
พร้อมกันนี้จากการศึกษาดูจุดสูงสุดของตลาดจะพบว่า มักจะเกิดเมื่อโวลุ่มการซื้อขายต่อวันเฉลี่ยประมาณ 1% ของมูลค่าตลาดโดยรวม(มาร์เก็ตแคป)ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องมากกว่า 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน เป็นสัญญาณที่เตือนให้ต้องระวังแล้ว
นอกจากนี้ถ้าระดับผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐต่ำกว่า 3.5%ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะขึ้นต่อ โดยเชื่อว่าราคาน้ำมันจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 75เหรียญต่อบาเรล ซึ่งจะส่งผลให้หุ้น PTT, PTTEP ที่อิงกับน้ำมันจะวิ่งตาม
ดังนั้นจึงมองว่าช่วงนี้ตลาดยังจะไม่หยุดและยังคงจะขึ้นได้ต่อ แต่หากระดับผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐเกินกว่า 4.5%ก็ให้เตรียมลดและล้างพอร์ตได้เลย และก็ต้องจำไว้ว่าทุกครั้งที่เข้าไปเล่นต้องมีจุด Stop Loss เอาไว้ด้วยและก็ต้องเล่นเร็ว
ทั้งนี้หากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐเกิดอ่อนค่ามาที่ 76-77 จุด เงินบาทก็น่าจะแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 33.70 บาท แล้วราคาน้ำมันอยู่ที่ 75 เหรียญต่อบาเรล ถ้าเป็นแบบนี้ให้ล้างพอร์ตซื้อ PUT Option แล้วก็ SHORT Futures เต็มขบวนได้เลย
สำหรับทิสโก้เชื่อว่าจีดีพีไทยต่ำสุดแล้วในไตรมาส 1 ที่ติดลบ 7.6% แต่ในไตรมาส 2-3 ก็ยังไม่เป็นบวก ซึ่งก็จะทำให้ทั้งปีเฉลี่ยแล้วติดลบ 4-4.9%
ส่วนเรื่องของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกตอนนี้เชื่อว่าน่าจะอยู่ในจุดต่ำสุดหรือใกล้ต่ำสุดแล้ว และก็จะนิ่งแบบนี้ไปสักพัก ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นในไตรมาสแรกของปีหน้า
หากดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นหุ้นก็จะตก โดยเข้าใจว่าสภาพคล่องจะเหือดขายไปมากในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหุ้นยังสามารถเล่นได้อีกในเดือนนี้เพียงเดือนเดียว ส่วนใครที่ติดหุ้นเก่าก็แนะนำให้ล้างพอร์ตก่อนถึงเดือนหน้า
ด้านผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของหุ้นกลุ่มน้ำมันก็ยังน่าจะดีอยู่ เพราะการที่ราคาน้ำมันที่ขึ้นหรือลง 1 เหรียญ จะมีผลต่อปัจจัยพื้นฐานของ PTT, PTTEP ประมาณ 2-2.20 บาท แต่ถึงดีอย่างไรก็ไม่ควรถือหุ้นแล้วไปรอผลประกอบการเพราะราคาหุ้นขึ้นมาเกินปัจจัยรองรับไปแล้ว และเกินปัจจัยพื้นฐานของต้นปีหน้าเสียด้วยซ้ำ
ขณะที่หุ้นเดินเรือก็ไม่น่าสนใจ เพราะเชื่อว่าดัชนีค่าระวาง BDI จากจุดนี้กำลังจะดิ่งแล้ว และคงไม่มีแล้วที่จะมาขึ้นทีละเป็นร้อยจุดเหมือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้หุ้นที่น่าสนใจคือ PTT, PTTCH, KBANK, BAY, QH, AMATA, LH ,ITD, ADVANC, DTAC, BEC, BECL
สำหรับคนที่เล่นฟิวเจอร์สในช่วงนี้แนะนำว่าถ้า SET 50 ลงให้ Long และถ้า SET 50 ให้ Short โดยอย่าเพิ่ง Cover Short เพราะช่วง Cover Short ต้องเป็นเดือนหน้า แต่ที่ต้องพูดไว้ก่อนเพราะมันอาจจะมาเร็วกว่านั้น
แนะนำว่าสิ่งที่ควรทำในเดือนหน้าก็คือ ล้างพอร์ต , Short หุ้น, Short ฟิวเจอร์ส, Long Put Option และ ซื้อทอง
"ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 33.50 อันดับแรกที่ต้องทำคือขายหุ้นให้หมด และซื้อทองให้เต็มที่เลย เพราะคิดว่าเงินบาทและดอลลาร์จะดีดกลับทั้งคู่ซึ่งจะทำให้ราคาทองขึ้นแรง และเมื่อเงินบาทอ่อนค่าขึ้นมาฝรั่งก็จะขายหุ้น ซึ่งการขายรอบนี้ก็จะได้เห็นการสั่งออเดอร์แบบล้างบาง เพราะที่ผ่านมาเขามีประสบการณ์แล้วว่าหากขายช้าไป 1วันก็จะทำให้ได้ราคาไม่ดีและก็จะเสียโอกาสในการทำกำไรเงินบาทด้วย"
ส่วนราคาทองคำถ้ามีการปรับตัวลงมาก็ให้หาจังหวะทยอยซื้อ แนวรับซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันอยู่ที่ 945-950 เหรียญต่อออนซ์น่าจะรับได้ โดยคาดว่าราคาทองปลายปีนี้น่าจะขึ้นไปถึง 1,200 เหรียญต่อออนซ์ได้ ซึ่งมุมมองนี้สอดคล้องกับนักวิเคราะห์โลกที่มองว่าน่าจะไปถึง 1,240 เหรียญในปลายปีนี้เช่นกัน
|