Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายวัน16 มิถุนายน 2552
หุ้นไทยรูดหนัก16จุดผวาจี8เสียงแตกแก้ศก.             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยปรับฐานครั้งใหญ่ ดัชนีรูดตามตลาดต่างประเทศกว่า 16 จุด หรือคิดเป็น 2.65% มูลค่าการซื้อขายรวม 2.3 หมื่นล้านบาท ระบุนักลงทุนผวากลุ่มจี 8 เสียงแตกแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เทขายหุ้นป้องกันความเสี่ยง บวกกับปัจจัยในประเทศการแพร่ระบาดไข้หวัด 2009 และเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ที่รุนแรงขึ้น ด้านโบรกเกอร์เผยแนวโน้มหุ้นไทย อิงกับตลาดหุ้นโลก หลังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุน พร้อมแนะลดพอร์ตลงทุน ถือเงินสด 75%

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (15 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นแกว่งตัวค่อนข้างผันผวนในแดนลบ ซึ่งสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากที่เกิดกระแสข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศและรัสเซีย (จี8) ที่เกียวกับการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง และต่ำกว่าราคาปิดครั้งก่อนตลอดทั้งวัน

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงเปิดการซื้อขายในภาคเช้า แตะระดับสูงสุดที่ 631.01 จุด และปรับตัวลดลงรุนแรงและต่ำสุดที่ 606.15 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 611.92 จุด ลดลงจากวันก่อน 16.63 จุด หรือคิดเป็น 2.65% มูลค่าการซื้อขายรวม 23,094.02 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 607.60 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,184.28 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,576.68 ล้านบาท ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิตั้งแต่ต้นปี 2552 รวมแล้วกว่า 20,533.07 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ. ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 247 บาท ลดลงจากวันก่อน 11 บาท หรือคิดเป็น 4.26% มูลค่าการซื้อขายรวม 3,607.53 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 140.50 บาท ลดลง 5.50 บาท หรือ 3.77% มูลค่าการซื้อขาย 1,771.73 ล้านบาท และบมจ. โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) ราคาปิด 22.80 บาท ลดลง 0.88 บาท หรือ 3.39% มูลค่าการซื้อขาย 1,380.68 ล้านบาท

นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้มีการแกว่งลดลงตามตลาดต่างประเทศ โดยปัจจัยหลักน่าจะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งจากราคาน้ำมันอ่อนตัวลง จากความกังวลว่ากลุ่มประเทศผู้ค้าน้ำมัน (โอเปก) ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกลง โดยสัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ส่งมอบเดือนก.ค.ปรับตัวลดลง 0.64 ดอลลาร์ หรือ -0.88% ปิดที่ 72.04 ดอลลาร์/บาร์เรล

ขณะเดียวกัน ยังถูกซ้ำเติมจากปัจจัยในประเทศ ทั้งเรื่องการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 200 รายแล้ว จึงเกิดความวิตกกังวลให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงเหตุการณ์การก่อความมาสงบในภาคใต้ที่ขณะนี้ได้กลับมาก่อความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง จากเดิมที่เคยมีการทุเลาลงไปบ้างแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยทางการเมืองในเรื่องของเสถียรภาพทางการกอบกู้ปัญหาเศรษฐกิจของชุดรัฐบาล ในการออกมาตรการต่างๆ เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามความเคลื่อนไหวปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำให้นักลงทุนถือเงินสดไว้ในมือประมาณ 75% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่กำลังเหมาะสมกับภาวะตลาดหุ้นและสถานการณ์ในตอนนี้ที่ต้องจับตาดูไประยะหนึ่งก่อน โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 600 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 615 จุด

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคทีซีมิโก้ กล่าวว่า วานนี้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงเปิดตลาดการซื้อขาย ดัชนีตลาดหุ้นพยายามยืนในแดนบวก แต่ท้ายที่สุดได้อ่อนตัวลงและยืนในแดนลบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุนบรรยากาศการลงทุน รวมทั้งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยกดดันส่วนหนึ่งจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยล่าสุดพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 201 ราย จากเดิม 150 ราย อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวไม่ใช่ประเด็นหลักที่ส่งผลต่อทิศทางของดัชนีตลาดหุ้นมากนัก แต่อาจมีผลกระทบในเรื่องของการสร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุน และอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ซึ่งยังเป็นปัญหาที่ต้องติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ จากการประเมิน มีแนวโน้มเคลื่อนไหวตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่มีน้ำหนักและชี้นำการลงทุน อีกทั้งยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนการลงทุน ทั้งนี้ต้องติดตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกประกอบด้วย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มพลังงานและการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ อย่างไรก็ตาม หากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดต่ำกว่า 600 จุด มีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 580 จุด

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขการสร้างบ้านใหม่เดือนพฤษภาคมในวันอังคารนี้ และตัวเลขเงินเฟ้อของเดือนพฤษภาคมในวันพุธนี้ สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะลดพอร์ตลงทุน โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 600 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 624-630 จุด

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน โดยเฉพาะการซื้อขายในช่วงบ่ายที่ปรับตัวลดลงแรงเกือบ 4% โดยมองว่า ตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะปรับฐานครั้งใหญ่ หลังจากก่อนหน้านี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากแรงหนุนของเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาไล่ซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน รวมทั้ง ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ทำให้มีนักลงทุนเริ่มเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น

ขณะเดียวกัน จากการที่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นที่สามารถยืนเหนือ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ได้ ส่งผลกระทบต่อความวิตกของนักลงทุนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จนส่งผลให้มีแรงขายหุ้นในกลุ่มพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเริ่มหันหลับไปเก็งกำไรจากค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าขึ้น ทำให้หุ้นไทยถูกแรงเทขายอย่างหนัก   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us