|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.ธนชาต มั่นใจฐานะแกร่งและสามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ โดยไม่จำเป็นต้องควบรวมกิจการกับบริษัทอื่น หลังการเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์ ผู้บริหารตั้งเป้าปีนี้ขึ้นแท่นท็อปไฟว์โบรกเกอร์ที่มีมาร์เกตแชร์ พร้อมเดินทางโรดโชว์สหรัฐฯ -อังกฤษ ปลายเดือนมิ.ย.นี้ ด้าน “สุวภา” ชี้ ไตรมาส 3/52 บจ แห่ออกหุ้นกู้ ตัดหน้ารัฐบาล เชื่อปีนี้ปีทองตลาดหุ้นกู้ คาดโต 2 เท่า จากปีก่อนมูลค่า 2 แสนล้านบาท
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ในอนาคต ว่า ธุรกิจหลักทรัพย์น่าจะมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกับภาวะเศรษฐกิจ หากภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีธุรกิจหลักทรัพย์จะมีการปรับตัวดีขึ้นมากเช่นเดียวกัน แต่ประเด็นที่สำคัญ บล.จะปรับกลยุทธ์ให้สามารถดำเนินธุรกิจและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
ทั้งนี้ บล.ธนชาต ได้ยึดนโยบาย 3 เรื่องหลัก คือ การพัฒนาด้านบทวิเคราะห์ การพัฒนาเจ้าหน้าที่การตลาด และการสร้างความสมดุลในสัดส่วนลูกค้า ทั้งนักลงทุนสถาบันในประเทศ ต่างประเทศ และนักลงทุนบุคคลธรรมดา โดยบริษัทไม่มีแผนที่จะมีการควบรวมกิจการ จากเชื่อมั่นว่าบริษัทสามารถแข่งขันได้ และกลุ่มบริษัทมีการให้บริการที่ครบวงจร
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าปีนี้จะมีมาร์เติแชร์ติดอันดับ 1 ใน 5 ซึ่งมีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 4.5% โดยปัจจุบันบริษัทมีมาร์เกตแชร์ที่ 4.16% อยู่ในอันดับที่ 6 ซึ่งบริษัทจะใช้กลยุทธ์การกระจายฐานลูกค้าที่บริษัทให้บริการอย่างสมดุลทั้ง 3 ประเภท คือ ลูกค้าสถาบันทั้งในและต่างประเทศ 40% และอีก 60% ลูกค้าบุคคลธรรมดา ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมอุตสาหกรรมธุรกิจหลักทรัพย์ และเน้นในเรื่องการจัดทำบทวิเคราะห์ และอบรมให้ความรวมเจ้าหน้าที่การตลาด เพราะ เมื่อเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นจะแข่งขันกันในเรื่องการให้บริการกับลูกค้า
นางอัศวินี ไตลังคะ กรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต กล่าวว่า ขณะนี้เป็นจังหวะที่ดีในการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาว หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลกที่จะเริ่มส่งผลให้เศรษฐกิจโลกสามารถเริ่มฟื้นตัวในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า ขณะที่ตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนหน้าเศรษฐกิจที่จะฟื้นได้จริง
“จังหวะที่เอื้ออำนวยดังกล่าว บริษัทจึงได้ถือโอกาสที่จะเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนสหรัฐฯ ในวันที่ 25-26 มิถุนายน และอังกฤษวันที่ 29-30 มิถุนายนนี้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศไทย เพราะยุโรปและสหรัฐฯ เป็นตลาดที่ใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติได้รับข้อมูลโดยตรง ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นที่ดีต่อนักลงทุนสถาบันต่างชาติได้เป็นอย่างดี”
สำหรับการเดินทางไปให้ข้อมูลใน 3 เรื่อง คือ ปัญหาทางการเมืองภายในประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และถือเป็นเรื่องปกติของรัฐบาลผสมที่อาจทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงมีอยู่บ้าง แต่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากนัก บริษัทจดทะเบียนไทยส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ดีแม้จะเป็นช่วงต่ำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจโลก และวิกฤตเศรษฐกิจโลกนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทย แต่อาจจะส่งผลกระทบตามวัฏจักรเศรษฐกิจซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศพร้อมเติบโตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
ส่วนการเดินทางโรดโชว์ครั้งนี้ บล.ธนชาต บริษัทบีเอ็นพี พาริบาส์ และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำบริษัทจดทะเบียนจำนวน 9 แห่งร่วมโรดโชว์ครั้งนี้ คือ บมจ.ปตท. บมจ.ปตท.สผ บมจ.บ้านปู บมจ.น้ำประปาไทย บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส บมจ.ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่น โปรดักส์ บมจ.น้ำตาลขอนแก่ บมจ.การบินไทย และธนาคารกรุงเทพ รวมถึงนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมเดินทางด้วย
“ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนรายย่อยมีจำนวนมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าสถาบันในประเทศและต่างประเทศทรงตัว”
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับปรุงนโยบายการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดต้นทุนการบริหารงาน โดยเตรียมที่จะปิดสาขาอีก 2 แห่ง คือ สาขาเยาวราช และสาขาสยามสแควร์ ส่งผลให้หลังก.ค.บริษัทมีสาขาเหลือ 25 สาขา จากปัจจุบันที่มี 27 สาขา
มูลค่าหุ้นกู้ปีนี้เติบโต 2 เท่า
ด้านนางสุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจวาณิชธนกิจ บล.ธนชาต กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 3 จะมีบริษัทที่เตรียมจะออกหุ้นกู้ออกมาจำนวนมาก ก่อนที่รัฐบาลจะออกพันธบัตร ซึ่งคาดว่าจะทำให้ปีนี้มูลค่าการออกหุ้นกู้โตขึ้นกว่า 2 เท่า จากปีที่ผ่านมามีมูลค่าที่ 2 แสนล้านบาท หลังจาก 5 เดือนแรกมีการเสนอขายหุ้นกู้ไปแล้ว 2 แสนล้านบาท
"ปีนี้ถือเป็นปีทองของตลาดหุ้นกู้ หลังจากที่มาร์เกตแคปตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง จาก 6 ล้านล้านบาท เหลือ 3 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา แม้ขณะนี้จะปรับตัวขึ้นมากว่า 4 ล้านล้านบาท แต่ตลาดหุ้นกู้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง 5.5-6 ล้านล้านบาท ที่โตกว่าตลาดหุ้น โดย 5 เดือนแรกปีนี้มูลค่าการออกจำนวน 2 แสนล้านบาท ซึ่งเท่ากับปีที่แล้วทั้งปี โดยเชื่อว่าปีนี้จะมีมูลค่าการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปีก่อน "นางสุวภา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทรับเป็นที่ปรึกษาในการออกหุ้นกู้ จำนวน 3 บริษัท โดยแต่ละแห่งมีมูลค่าประมาณ 2-5 พันล้านบาท บริษัทแรก คือ บมจ.บัตรกรุงไทย มูลค่าออก 2 พันล้านบาท ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาได้รับเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ไปแล้ว 3 ราย คือ บมจ.น้ำประปาไทย ธนาคารธนชาต และบมจ.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ส่วนในปี 51 ที่ผ่านมาได้เป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้รวม 18,500 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้รับเป็นที่ปรึกษาในการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์จำนวน 3 บริษัท มูลค่ากองทุนละประมาณ 2-7 พันล้านบาท ซึ่งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ถือว่ามีความน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุน จากที่ราคาต่ำ และให้ผลตอบแทนการลงทุนปีละ 7-11 % และบริษัทเป็นที่ปรึกษาของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการที่จะเพิ่มสภาพคล่องตลาดรีโป และบริษัทร่วมกับบล.เคจีไอ ในการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) และกำลังจะเป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง(มาร์เกตเมกเกอร์)โกลด์ฟิวเจอร์ส
|
|
|
|
|