|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"กิมเอ็ง"ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ปีนี้ขยับแตะที่ 9-10% เชื่อภาวะดอกเบี้ยต่ำนักลงทุนนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนรูปเงินปันผลสูงขณะที่ราคาหุ้นต่ำ เร่งพัฒนเพิ่มศักยภาพพนักงานการตลาด หวังให้ช่วยแนะนำทางเลือกนักลงทุนเพื่อลงทุนด้านอื่นที่หลากหลาย แนะ ตลท.ควรออกกฏเพิ่มเติมและเข้มงวดกับหุ้นเก็งกำไรที่ราคาเคลื่อนไหวสูง หวั่นซ้ำรอยหุ้นของ ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า
นายบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ กรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยว่าในปี 52 บริษัท ฯ ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ในด้านธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จะเติบโตอยู่ที่ 9-10% จากปี 51 ที่มีมาร์เก็ตแชร์กว่า 8% เนื่องจากประเมินว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในช่วงขาลงตามทิศทางของเศรษฐกิจที่หดตัว ทำให้ผลตอบแทนจากการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ลดลง นักลงทุนส่วนใหญ่จึงพยายามแสวงหาการลงทุนในรูปอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่สามารถให้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลในเกณฑ์ที่สูงเมื่อเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งบริษัทฯ มีฐานลูกค้าที่ใหญ่และสภาพคล่องทางการเงินดี จึงเชื่อว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
โดยปีนี้ บริษัทฯ มีแผนจะพัฒนาศักยภาพของพนักงานการตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) ด้วยการจัดอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ในสินค้าต่างๆ อาทิ การลงทุนในฟิวเจอร์ของหุ้นรายตัว (single stock futures) สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (gold future) ฯลฯ หวังที่จะให้มาร์เก็ตติ้งเหล่านี้เป็นผู้ช่วยแนะนำทางเลือกการลงทุนในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากการซื้อขายหลักทรัพย์ให้กับนักลงทุน
พร้อมกันนี้ทาง KEST ยังเตรียมจะจัดสัมนาเพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้มากขึ้น เพื่อหวังจะเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับนักลงทุน รอจังหวะที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวและเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น ส่วนการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีแนวคิดจะเสนอให้บริษัทหลักทรัพย์ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ (market marker) นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะเป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องของการลงทุนในตลาด
พร้อมกันนี้นายบุญพรยังกล่าวถึงจากกรณีของบริษัท ทรัพศรีไทยคลังสินค้า จำกัด (มหาชน) (SST) ที่มีสร้างข่าวลือว่าเกี่ยวกับการควบรวมกับพันธมิตรในธุรกิจประเภทเดียวกันทำให้ราคาหุ้นและใบสำคัญแสดงสิทธิ์ของบริษัทนี้มีราคาปรับเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ และภายหลังพบว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ส่งผลให้นักลงทุนและบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงอยากให้ทาง ตลท. ควรมีมาตรการเพิ่มเติมในการดูแลหุ้นเก็งกำไรที่มี Turnover list สูง เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายกับผู้เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ แม้ว่าล่าสุดทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการปรับสูตรการคำนวณ Turnover listใหม่โดยมให้มีการนำกำไรสุทธิไม่รวมกำไรจากการลงทุนในการซื้ออขายหลักทรัพย์มาคำนวน P/E ยกเว้นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านการลงทุนปกติ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันภัย และบริษัทโฮลดิ้ง ซึ่งทำให้สะท้อนข้อมูลที่แท้จริงของบริษัทมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่มองว่าสิ่งที่สำคัญคือผู้ที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลควรหันมาให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวให้มากขึ้นด้วย
|
|
|
|
|