Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน16 มิถุนายน 2552
ช่อง3สูบเลือด'อสมท' เสียค่าโง่กว่าหมื่นล้าน             
 


   
www resources

โฮมเพจ บีอีซี เวิลด์

   
search resources

บีอีซี เวิลด์, บมจ.
สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อ.ส.ม.ท.
TV




แฉช่อง 3 ตักตวงผลประโยชน์จากรัฐสุดฤทธิ์ ผิดเงื่อนไขสัมปทานอสมท.มาตลอด มิหนำซ้ำขอแก้ไขสัญญาเดิมอย่างมีเงื่อนงำ วิเคราะห์สัญญาตัวใหม่ระหว่าง “อสมท-บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์” ต้นตอปัญหายังส่อเค้าผิดกฎหมายพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ แอบเปลี่ยนคู่สัญญาเฉย พบที่ผ่านมาจ่ายค่าตอบแทนให้รัฐถูกแสนถูกต่อปี แต่ฟันกำไรมหาศาล ประเมินความสูญเสียตลอดอายุสัญญา20ปีที่ผ่านมารัฐเสียค่าโง่ไม่ต่ำกว่า หมื่นล้าน แค่เทียบค่าเวลาอสมทได้จากรายการเดียวเช่น ‘ไร่ส้ม’ยังคุ้มกว่า

กรณีการต่อสัญญาอีก 10 ปี ในการบริหารสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 ของ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) จาก บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะไปหมดอายุในปี 2563 จากเดิมที่จะหมดในปี 2553 นั้น กลายเป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างมากว่าทำได้หรือไม่ อีกทั้งสัญญาเดิมที่ใช้กันอยู่นี้ส่อว่าเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนอย่างมีเงื่อนงำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับรู้กันในวงกว้างนัก

แม้กระทั่ง คณะกรรมการหรือบอร์ด อสมท ชุดใหม่นี้ ซึ่งการประชุมเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาด้วย โดยมองว่า เรื่องนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ และย้ำว่าสัญญานี้มีความเหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งยังมีเรื่องของกฎหมายพ.ร.บ.ร่วมทุนฯเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

แฉแก้ไขสัญญาทำอสมท.เสียเปรียบ

แหล่งข่าวจากวงการโทรทัศน์ผู้คลุกคลีอยู่วงในคณะกรรมการอสมท มาหลายสมัย และติดตามเรื่องนี้มาอย่างใกล้ชิด เปิดเผย “ASTVผู้จัดการรายวัน” ถึงเงื่อนงำต่างๆ ว่า เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปดูภาพรวมตั้งแต่ต้น

กล่าวคือ แรกเริ่มเดิมทีช่อง 3 หรือ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ได้ทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีบริหารช่อง 3 กับ บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด ช่วงปี 2511 (ต่อมาเปลี่ยนเป็น องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ อ.ส.ม.ท. และต่อมาก็เปลี่ยนเป็น บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) กำหนดชำระค่าตอบแทนเป็นรายปีรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 42 ล้านบาท

หลังจากนั้นสัญญาก็ครบและได้มีการทำสัญญาและต่อสัญญากันมาตลอด ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2521 รวมทั้งในช่วงต่อมาก็ได้มีการทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2525

ต่อมา ก็ได้มีการทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2530 โดยมีประเด็นหนึ่งที่มีการแก้ไขคือ อ.ส.ม.ท. และช่อง 3 ตกลงขยายเวลาร่วมดำเนินการฯออกไปอีก 20 ปี นับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2533 ถึงวันที่ 25 มีนาคม 2553

อย่างไรก็ตาม เวลาๆได้ผ่านไปแค่ปีเศษเท่านั้นเอง ทางบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ได้ทำหนังสือลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2531 ลงนามโดยนายวิชัย มาลีนนท์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ ถึงนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ) โดยมี 3 ประเด็นหลักที่ร้องเรียนมา และมีเนื้อหาหลายประการที่แยกย่อยไป แต่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเป้าหมายหลักคือ

การขอให้พิจารณาเรื่องการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่อสมท ใหม่ เพราะ อ้างว่าตามสัญญาที่มีอยู่ช่อง 3 ไม่ได้รับความเป็นธรรม และมีภาระที่มากมาย

แหล่งข่าว กล่าวว่า นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ต้องมีการแก้ไขสัญญาใหม่อีกครั้งในวันที่ 2 พฤษภาคม 2532 เรื่องการทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีแก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3 และเป็นการแก้ไขที่ ช่อง 3 ได้รับประโยชน์อย่างมาก

เขาอธิบายว่า เรื่องนี้ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ได้แทงเรื่องนี้เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2531 มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและในฐานะประธานบอร์ด อ.ส.ม.ท. เวลานั้นเป็นผู้รับผิดชอบ และก็เป็นธรรมเนียมปฎิบัติที่จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการฯขึ้นมาดำเนินการ ซึ่งว่ากันว่าคณะกรรมการฯชุดนั้นมีทั้งนายทหารและตำรวจระดับสูงร่วมเป็นกรรมการด้วย

ทั้งนี้ในหนังสือที่บริษัท บางกอกฯทำถึงนายกรัฐมนตรีเวลานั้น ในข้อที่ 3. ระบุไว้ว่า “ตามสัญญาฉบับลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2530 กำหนดให้บริษัทบางกอกฯชำระค่าตอบแทน และหรือค่าเช่าคิดตามรายรับก่อนหักค่าใช้จ่ายในอัตราร้อยละ 6.5 ที่บริษัทบางกอกฯได้รับจากการประกอบกิจการส่งโทรทัศน์สีในแต่ละปี แต่ภายใน 20 ปีแรกต้องไม่ต่ำกว่า 1,205,150,000 บาท ส่วน 10 ปีหลังต้องไม่ต่ำกว่า2,002,390,000 บาท รวม 30 ปีต้องไม่ต่ำกว่า 3,207,540,000 บาท

โดยบริษัทบางกอกฯอธิบายว่า ตามสัญญาครั้งแรกนั้น กำหนดค่าตอบแทนที่บริษัทฯต้องชำระให้กับ อ.ส.ม.ท. เป็นรายปีเป็นการแน่นอน ค่าตอบแทนไม่คำนวณจากรายรับของบริษัท แต่ประการใด ครั้นตามสัญญาในครั้งที่ 2 ก็ได้กำหนดค่าตอบแทนที่บริษัทฯต้องชำระให้แก่ อ.ส.ม.ท. คำนวณจากรายรับในอัตราร้อยละ 6.5 ที่บริษัทฯได้รับจากการประกอบกิจการในแต่ละปีแต่ไม่ต่ำกว่าอัตราที่กำหนดเป็นการแน่นอนเป็นรายปี เพราะการทำสัญญาครั้งที่ 2 นั้น บริษัทฯไม่ต้องลงทุนในการก่อสร้างหรือจัดหาเครื่องมือแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ระหว่างปฎิบัติงานตามสัญญาครั้งที่ 2 กิจการของบริษัทฯในแต่ละปีก็ไม่มีรายได้ที่จะคำนวณเป็นค่าตอบแทนชำระแก่ อ.ส.ม.ท. ในอัตราร้อยละ 6.5 หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่สามารถปฎิบัติได้ .......”

ช่อง 3 ได้เสนอในท้ายหนังสือสรุปว่า ขอให้ปรับปรุงสัญญาของบริษัทฯที่มีต่อ อ.ส.ม.ท. กำหนดค่าตอบแทนที่บริษัทฯต้องชำระแก่ อ.ส.ม.ท. เป็นรายปีเป็นการแน่นอนด้วย โดยไม่ต้องนำรายรับในการดำเนินการของบริษัทฯมาคำนวณแต่อย่างใด

“มองให้ดีนี่คือเกมที่บริษัทฯบางกอกวางไว้ ในการที่จะลดจำนวนการจ่ายให้กับ อ.ส.ม.ท.และสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเอง” แหล่งข่าวระบุ

จุดเปลี่ยนขอแก้ค่าตอบแทนจากเปอร์เซ็นต์เป็นจ่ายคงที่

จากนั้น การพิจารณาของคณะกรรมการฯชุดดังกล่าวก็ทำงานมาเรื่อย และได้มีการพิจารณากันในหลายประเด็นตามที่บริษัทบางกอกฯร้องขอมา และในที่สุดก็เข้าทางช่อง 3

การแก้ไขสัญญาก็มีขึ้นตามสัญญาว่า “สัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สี แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3” ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2532 ในยุคที่มีนาย ราชันย์ ฮูเซ็น เป็นผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท.

เพราะโดยสรุปประเด็นเกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทน ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่โดยสาระสำคัญ ซึ่งระบุในข้อที่ 7 ว่า “ให้ยกเลิก ข้อความตามสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สี แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ลงวันที่ 16 ก.ค. 2530 ข้อ 9. วรรคแรก และเอกสารผนวก 5 แนบท้ายสัญญาดังกล่าว ...”

ซึ่งสัญญา ข้อ 9 ระบุไว้ว่า นับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2533 “บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์” ตกลงจ่ายค่าตอบแทนในการเข้าร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีตามสัญญานี้ให้แก่ อ.ส.ม.ท. เป็นเงินร้อยละ 6.5 ของรายได้ทั้งหมดแต่ละปีก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งบางกอกฯได้รับจากการดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีและที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการส่งโทรทัศน์สีตลอดอายุสัญญานี้ตามงบดุลและงบบัญชีกำไร-ขาดทุนประจำปีที่ถูกต้องและซึ่งได้ยื่นต่อกรมสรรพากรแล้ว....”

เท่ากับว่าช่อง 3 จะไม่จ่ายค่าตอบแทนแบบ 6.5% แล้ว แต่จ่ายแบบเดียวคือ อัตราตายตัวต่อปี เท่านั้น (Fix Rate)เป็นการตอกย้ำชัดเจนว่า การขอแก้ไขสัญญาครั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของคู่สัญญาคือ ช่อง 3 ฝ่ายเดียว แต่อ.ส.ม.ท.ต้องสูญเสียโอกาสในการรับค่าตอบแทน

อีกทั้งเพิ่งจะเริ่มต้นสัญญาเพียงปีเศษ แต่ช่อง 3 กลับมาอ้างโน่น อ้างนี่ ทั้งๆที่อ้างว่า ไม่ชอบธรรมแต่ก็เซ็นสัญญารับสัมปทานไปแล้ว

“เพราะอะไร เนื่องจากช่อง 3 เองย่อมรู้ดีว่า การจ่ายแบบนี้จะทำให้เสียเงินน้อยกว่าแบบ 6.5% เพราะรายได้ต่อปีสูงขึ้นเรื่อยๆ หากจ่ายแบบ 6.5% ก็ย่อมต้องเสียมากกว่าแบบตายตัว”
(อ่านตารางอัตราตายตัวรายปีที่ช่อง 3 ต้องจ่ายให้กับ อสมท ปี 2533 ถึง 2553 ประกอบ)

ขณะที่รายได้ของช่อง 3 แต่ละปีที่ผ่านมา จากการสืบค้นของASTVผู้จัดการรายวัน พบว่า มีรายได้อย่างงามนับหมื่นล้านต่อปี เช่น ในปี 2548 รายได้ของช่อง 3 ที่รายงานโดย บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) มีประมาณ 10,296 ล้านบาท ส่วนปี 2549 มีประมาณ 11,834 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในหนังสืองบกำไรขาดทุน ที่ช่อง 3 แจ้งไว้เมื่อ สิ้นปี 2548 มีรายได้รวม 6,420,188,950 บาท ส่วนปี 2547 มีประมาณ 6,472,719,811 บาท

หากคิดคร่าวๆจากตัวเลขดังกล่าวของปี 2548 ตามที่ช่อง 3 แจ้งไว้ ก็เท่ากับว่า ช่อง 3 ต้องจ่ายให้ อสมท แบบ 6.5% ก็จะต้องจ่ายประมาณ 420 กว่าล้านบาท ขณะที่ ตามตัวเลขแบบจ่ายตายตัวรายปีของปี 2548 นั้นอยู่ที่ 110 กว่าล้านบาท แตกต่างกันอย่างมากเกือบ 300 กว่าล้านบาท หรือในปี 2547 หากมีรายได้จริง 6,472,719,811 บาท ซึ่งถ้าต้องจ่ายแบบ 6.5% ก็เท่ากับประมาณ 420 กว่าล้านบาทเช่นกัน แต่เมื่อต้องจ่ายแบบตายตัวก็แค่ 65,385,000.00 บาท

นี่เป็นเพียงการประเมินคร่าวๆบนพื้นฐานของรายได้ที่รายงานมา เพียงต้องได้รับมากกว่า 800 ล้านบาทแล้ว

หากนับรวมกระทั่งหมดครบอายุสัญญา 20 ปีที่ทำกันมา อสมท น่าจะเสียเปรียบสูญเม็ดเงินที่ต้องหลุดลอยไปเหยียบหมื่นล้านบาท

แค่ขายเวลาให้ไร่ส้มบริษัทเดียวยังคุ้มกว่า

แหล่งข่าว กล่าวว่า กรณีความสูญเสียของอสมท หากเปรียบเทียบกับรายได้จากค่าบริหารเวลา ณ ปัจจุบัน ทั้งๆที่ช่อง 3 ได้เวลาทั้งวันและทุกวัน การคำนวณผลตอบแทนจะอย่างไรอสมทก็ ควรมีรายได้ที่ดีกว่าสัญญาเดิม ขณะที่บางกอกก็จะต้องจ่ายให้มากกว่านี้ แต่กลับน้อยมาก เมื่อจ่ายแบบตายตัวรายปี เพราะหากเทียบกับบริษัท ไร่ส้ม จำกัดของนายสรยุทธ์ ทัศนะจินดาที่เคยเช่าเวลาของ อสมท ทำรายการอาทิ จับเข่าคุย ถึงลูกถึงคน และมีปัญหาเรื่องการแบ่งรายได้ให้อสมทจนต้องมีการสอบสวนกันในยุคของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นผู้อำนวยการใหญ่ ยังพบว่ามีการจ่ายให้แก่ อสมท มากกว่า 100 ล้านบาทเลย

นอกจากนี้ การแก้ไขสัญญาระหว่างอสมท กับบางกอกฯผู้บริหารช่อง 3 ยังพบว่า มีอีกบางประเด็นที่น่าสนใจเช่น ข้อ 11. ให้ยกเลิกข้อความตามสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สี แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2530 ข้อ 22. ที่ระบุว่า “หากมีข้อพิพาทหรือข้อขัดแย้งใดๆอันเกี่ยวเนื่องกับสัญญาเกิดขึ้นระหว่าง อ.ส.ม.ท. กับ “บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์” คู่สัญญาตกลงให้คณะอนุญาโตตุลาการซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการอ.ส.ม.ท. เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทหรือข้อขัดแย้งดังกล่าว ให้คำตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นที่สุดและผูกพันคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย” ส่วนการแก้ไขนั้นปรากฏว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นทั้งสองฝ่ายจะตั้งคณะอนุญาโตตุลาการ โดยมี บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ร่วมด้วยฝ่ายละ 2 คนเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ซึ่งจากเดิมไม่ต้องมาจากช่อง 3 นั่นหมายความว่างช่อง 3 สามารถส่งคนของตัวเองเข้ามาเพื่อปกปักรักษาผลประโยชน์ หากเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้น

“คำถามคือว่า ทำไมอสมท จึงยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสัญญานั้นเพื่อกดตัวเองให้ตกอยู่ใต้ความเสียเปรียบและสร้างความเสียหายได้” แหล่งข่าวระบุ

สัญญาใหม่ก็ส่อผิดกฎหมาย

จากเงื่อนงำต่างๆที่ผ่านมา แหล่งข่าวจากวงการโทรทัศน์ ยังชี้ให้เห็นประเด็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา หากคณะกรรมการอสมท และ เอกชน จะดึงดันต่ออายุสัญญาให้แก่บางกอกฯซึ่งล่าสุด อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ว่า นอกจากการแก้ไขสัญญาที่ทำให้อสมทต้องเสียเปรียบแล้ว สัญญาต่างๆที่ทำขึ้นรวมทั้งการแก้ไขด้วยนั้น ยังเป็นข้อกังขาในเรื่องความผิดความถูกด้วย

โดยมีการแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมครั้งที่ 3 เป็นต้นเหตุสำคัญ

เพราะถือว่าสัญญาที่แก้ไขนั้นเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของเอกชนคือบริษัทบางกอกฯโดยตรง ไม่ใช่เป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา 6 และ มาตรา 7 (5) ที่ให้ อสมท มีอำนาจกระทำได้ และไม่ได้เป็นการ “ร่วมกิจการหรือร่วมทุนกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ อสมท” ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

ซ้ำร้ายกว่านั้นยังไม่มีหลักฐานปรากฏว่า การแก้ไขสัญญาครั้งที่ 3 นั้น ได้มีการลงนามกันทั้งสองฝ่ายโดยที่ได้รับการอนุมัติจากทางรัฐมนตรีฯแล้วหรือยังตามมาตรา 3 ประกอบมาตรา 39 กำหนด ซึ่งเท่ากับว่า อสมท หรือผู้อำนวยการฯ จึงไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเข้าทำสัญญาดังกล่าว

หากมีหลักฐานว่า รัฐมนตรีฯที่กำกับดูแลอนุมัติแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ อสมท กับช่อง 3 ที่ต้องนำออกให้เห็นกันถ้วนทั่ว

ขณะเดียวกันยังส่อแววว่า ผิดกฎหมายอีกด้วย ตามข้อ 136 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ที่ระบุไว้ว่า “สัญญาหรือข้อตกลงที่ทำเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้ว จะแก้ไข เปลี่ยนแปลงมิได้ เว้นแต่การแก้ไขนั้น จะมีความจำเป็นโดยไม่ทำให้ ทางราชการต้องเสียประโยชน์ หรือเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ทางราชการให้อยู่ในอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการ.....”

แต่สัญญาที่แก้ไขครั้งที่ 3 ทำให้ อสมท เสียเปรียบและเสียประโยชน์ชัดเจนกับเรื่องค่าตอบแทนที่ได้รับ อย่างนี้แล้วขัดกับกฎหมายหรือไม่

อีกทั้งสัญญาร่วมดำเนินการฯนั้น ทำกันมาตั้งแต่ปี 2530 และมีการแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมในปี 2532 ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องตกอยู่ภายใต้ พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2520 ตามมาตรา 7 อีกด้วย

หรือแม้แต่กรณี บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ที่ผู้บริหารบริษัทดังกล่าวก็มักจะออกมาให้สัมภาษณ์ในฐานะที่อ้างว่าเป็นผู้บริหารช่อง 3 ทำให้มองว่า บริษัทบางกอกฯ ทำผิดสัญญา เพราะแอบเอาสัญญาไปให้กับผู้อื่นที่ไม่ใช่คู่สัญญาโดยตรงกับ อสมท ใช่หรือไม่ แม้ว่าบีอีซีฯจะเป็นบริษัทในเครือกลุ่มก้อนเดียวกับบางกอกฯก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่คู่สัญญาโดยตรงกับ อสมท

ทั้งนี้ บริษัท บางกอกฯ จดทะเบียนวันที่ 10 พฤศจิกายน 2510 มีกรรมการ 9 คนในช่วงจดทะเบียน ส่วนใหญ่เป็นคนตระกูล “มาลีนนท์” มีวัตถุประสงค์ เพื่อการส่งวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ส่วนบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนวันที่ 23 พฤศจิกายน 2538 มีวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้คือ จัดหา ผลิตรายการและขายเวลาโฆษณาทางโทรทัศน์

โดยในหนังสืองบการเงินระหว่างกาลรวมและงบกาเงินระหว่างกาลเฉพาะกิจการวันที่ 31 มีนาคม 252 และ 2551 ของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บีอีซีเวิลด์ ถือหุ้นอยู่ในบริษัท บางกอกฯ 99.99% ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บีอีซีเวิลด์ถือหุ้นโดยตรง

ตรงนี้จึงน่าจะผิดสัญญาข้อ 8.5 ของสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ที่ระบุว่า “ในการดำเนินการออกอากาศโทรทัศน์สีตามสัญญานี้ “บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์” จะต้องดำเนินการเอง ในนามของ อสมท และจะให้บุคคลอื่นเช่าหรือรับไปดำเนินการแทนไม่ได้ ...........”

กล่าวโดยรวมแล้ว สัญญาการแก้ไขครั้งที่ 3 นี้ จึงไม่น่าที่จะชอบด้วยกฎหมายหลายประการ ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบกับการต่อสัญญาที่ขอต่ออายุออกไปอีก 10 ปีด้วย

ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 อสมท ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาด้าน สัญญาและกฎหมาย โดยคณะกรมการฯสัญญาและกฎหมายชุดดังกล่าวมีนายจรัญ ภักดีธนากุล เป็นประธานกรรมการ ก็ได้มีผลสรุปออกมาแล้วว่า สัญญาใหม่ระหว่าง อสมท และช่อง 3 ไม่เป็นธรรม แต่ทั้งนี้ทุกอย่างก็ยังดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น.   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us