Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2530
ไทยบริดจสโตน คิวซีแห่งแรกของเมืองไทยไปถึงไหนแล้ว             
 


   
www resources

โฮมเพจ Thai Bridgestone

   
search resources

ไทยบริดจสโตน, บจก.Thai Bridgestone Co.,Ltd
ปองชัย ดำเนินพิริยะกุล
Chemicals and Plastics
Auto-parts




ในตำราของสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตำราที่สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่นใช้สอนเรื่องคิวซีให้กับบริษัทและองค์กรต่าง ๆ มีบันทึกตอนหนึ่งในบทของคิวซีเมืองไทยว่าในปี 2518 บริษัทไทยบริดจสโตน จำกัด เป็นบริษัทแรกในเมืองไทยที่เริ่มนำระบบคิวซีเซอร์เคิลมาใช้อย่างจริงจัง

ถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 12 ปีแล้วที่ไทยบริดจสโตนยังเชื่อมั่นอยู่กับระบบนี้ ผู้บริหารหลายคนต่างตระหนักว่า ด้วยระบบคิวซีเซอร์เคิลที่ตัวเองนำมาปรับปรุงใช้นี่เอง เป็นส่วนผลักดันที่สำคัยในความสำเร็จของไทยบริดจสโตนในทุกวันนี้

"โรงงานของเราได้มีการเคลื่อนไหวด้านกิจกรรม คิวซีเป็นพื้นฐาน ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเองในระบบ 4 M อันได้แก่ MAN, MACHINE, METHOD, MATERIAL ซึ่งเราได้ทำการปรับปรุงและควบคุมเป็นอย่างดีอยู่ตลอดเวลา นี่ถือเป็นจุดสำคัญ

ปองชัย ดำเนินพิริยะกุลผู้จัดการโรงงานไทยบริดจสโตนซึ่งถือเป็นผู้ควบคุมหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุดของไทยบริดจสโตนขณะนี้ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

บริษัทไทยบริดจสโตน จำกัด เป็นบริษัทหนึ่งที่มีระบบการบริหารเป็นตัวของตัวเอง มีลักษณะที่โดดเด่น ในเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้คน

"อาจเป็นไปได้ว่า บริดจสโตนนั้น มีเถ้าแก่ (ENTRE PRENEUR) หลายคน ทั้งญี่ปุ่นทั้งคนไทยซึ่งก็มีกันอยู่หลายกลุ่ม จึงทำให้บริดสโตนจำเป็นต้องใช้มืออาชีพเข้ามาทำงานเพราะถ้าเถ้าแก่ (ENTRE PRENEUR) แต่ละคนต่างลงมาเล่นเองคงดีกันวุ่น" ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารให้ทัศนะต่อ "ผู้จัดการ"

บริษัทไทยบริดจสโตน จำกัด เริ่มจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2510 โดยในตอนนั้นใช้ชื่อว่าบริษัทยางไทย-ญี่ปุ่น จำกัด มีผู้ถือหุ้นฝ่ายญี่ปุ่นคือบริษัทยางบริดจสโตนและบริษัทมิตซูบิชิถือหุ้นรวมกัน 49 เปอร์เซ้นต์ และกลุ่มฝ่ายคนไทยซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่สองกลุ่มคือ จุติ บุญสูง และวรรณ ชันซื่อกับอีกกลุ่มรายย่อยหลายกลุ่มถือหุ้นรวมกัน 51 เปอร์เซ็นต์

จำได้ว่า วรรณ ชันซื่อประธานบริษัทไทยบริดสโตนได้เคยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง เมื่อสองปีก่อนว่า มีทนายความชื่อดังคนหนึ่งชื่ไล่อัน ได้แนะนำให้วรรณะ ชันซื่อ รู้จักกับมหาเศรษฐีปักษ์ใต้ที่ชื่อ จุติ บุญสูงมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2500 ซึ่งทั้งสองต่างรู้จักสนิทสนมกันเรื่อยมาคบกันเป็นมิตรสหายธรรมดาจนกระทั่งเมื่อเริ่มก่อตั้งกันเป็นบริษัทยางไทย-ญี่ปุ่น นี่แหละทั้งสองจึงได้เริ่มทำธุรกิจที่ใหญ่โตกันมาเรื่อย ๆ ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นบริษัทไทยเทรดดิ้งแอนด์อินเวสท์เมนท์ บริษัทในเครืออิซูซุและบริษัทในเครือนิปปอนเดนโซ่ เหล่านี้เป็นต้น

ซึ่งถ้าต้องเขียนถึงประวัติศาสตร์ธุรกิจไทยแล้ว บริษัทยางไทย-ญี่ปุ่นหรือบริษัทไทยบริดจสโตนในปัจจุบัน คงต้องถูกบันทึกไว้แน่นอนว่า เป็นบริษัทแรกที่สองนักธุรกิจที่มีอาณาจักรของตัวเองนับหมื่นล้านบาทนี้ได้ร่วมกันลงทุนและทำงานร่วมกันเป็นบริษัทแรก

ในวงการธุรกิจเล่ากันว่าเมื่อก่อนนี้ จุติ บุญสูง วรรณ ชันซื่อ และพงส์ สารสิน เป็นกลุ่มที่เกาะตัวกันอย่างเหนียวแน่นมาก ซึ่งนิตยสาร "ผู้จัดการ" ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2528 ได้กล่าวเอาไว้ว่า

"ทั้งสามสนิทกันมากมากจนน่าจะพูดได้ว่าคนหนึ่งไปที่ไหนอีกสองคนก็มักจะตามไปด้วยเสมอ อย่างเช่นในอุตสาหกรรมผลิตและประกอบรถยนต์ เป็นต้น

ดังนั้น จึงไม่น่าแลกใจว่าทำไม ออฟฟิศของบริษัทไทยบริดจสโตน จึงยังคงอยู่ที่ตึกสารสินจนปัจจุบัน

จุติ บุญสูง เป็นประธานกรรมการบริษัทมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2525 จุติ บุญสูง เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจที่โรงพยาบาลพร้อมมิตร ในขณะที่มีอายุได้ 72 ปี ตำแหน่งประธานในบริษัทไทยบริดจสโตนจึงตกอยู่กับวรรณชันซื่อ ตั้งแต่นั้นมา

หากย้อนกลับไปเมื่อสมัยเริ่มการก่อตั้งบริษัทยางไทยญี่ปุ่นอีกครั้ง เพื่อดูการพัฒนาตลอดมา จะเห็นได้ว่า ในยุคเริ่มแรกของการทำงานของบริษัทนี้ ทั้งด้านการบริหารและการทำงาน ใช้คนญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดโดยเฉพาะภายในโรงงานซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีที่สุด

แต่ทุกวันนี้ ถ้าเข้าไปดูพนักงานในองค์กรแห่งนี้แล้วแทบจะไม่พบญี่ปุ่นแม้สักคนเดียว

ในปี 2510 ถึงปี พ.ศ. 2512 ไทยบริดจสโตนแมัจะก่อตั้งบริษัทขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการผลิตเนื่องจาก ยัดขาดบุคลากรและตัวโรงงานยังไม่พร้อม

การฝึกอบรมคนงานในระดับต่าง ๆ กระทำกันอย่างจริงจังและเต็มที่ในช่วง 2 ปีนี้เอง

"ผมเริ่มเข้ามาทำงานที่นี่เมื่อปี 2510 ตอนนั้นโรงงานยังไม่เปิดทำการผลิต แล้วก็ถูกส่งไปฝึกงานญี่ปุ่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ๆ พร้อมกันคนไทยอีกประมาณ 20 กว่าคน กลับมาก็ตอ้งช่วยกันติดตั้งเครื่องจักร ช่วยกันสอนคนงานใหม่ แล้วในที่สุดก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันเป็นหัวหน้าแต่ละหน่วยงาน" ปองชัยดำเนินพิริยะกุล ผู้จัดการโรงงานไทยบริดจสโตนคนปัจจุบัน (เริ่มรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2530 ที่ผ่านมานี้) กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงในช่วงแรกของการเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการฝึกอบรมในช่วงแรก

แม้ว่าโรงงานไทยบริดจสโตนจะเปิดทำการแล้วในปี 2512 แต่บุคลากรระดับหัวหน้าหน่วยจนไปถึงระดับวิศวกรที่ควบคุมไฮเทคโนดลยีในการผลิตก็ยังเป็นคนญี่ปุ่นเสียส่วนใหญ่

อย่างไรก็ดีเมื่อบริษัทแห่งนี้ดำเนินไปได้ประมาณ 5 ปี คือในช่วงปี 2517 ทางด้าน บีโอไอ. ได้กำหนดให้ลดผู้เชี่ยวชาญทางด้านญี่ปุ่นลง เงื่อนไขอันนี้เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่ง ที่เป็นแรงกระตุ้นให้ทางกรรมการบริษัทไทยบริดจสโตนเร่งเร้าตัวเองในการให้คนรุ่นเก่าถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่คนรุ่นใหม่ การส่งพนักงานไปฝึกงานที่บริดจสโตนในญี่ปุ่น เพื่อรับเทคโนโลยีทั้งทางด้านการบริหารและการผลิตกับมา การนำระบบคิวซีเซอร์เคิลมาใช้จึงจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในบริษัทแห่งนี้

คือกิจกรรมคิวซีที่ใช้มานั้น เป้าหมายใหญ่ของมันก็คือการยกระดับความรู้ความสามารถของพนักงานนั่นเอง มันช่วยได้ใหญ่ ๆ 2 ประการก็คือ ช่วยให้คนเรานั้นมองปัญหาได้กว้างขึ้นและก็ไกลขึ้น ไม่ใช่มองเป็นจุด อีกอันหนึ่งก็คือสอนให้คนเรารู้จักแยกแยะปัญหา ทำให้สามารถมองภาพวิธีที่จะแก้ไขได้ สมมติถ้าเราบอกว่า ยางวันนี้ทำได้ไม่ครบแผนการผลิต พูดแค่นี้เราแก้ไขอะไรไม่ได้ เราต้องมองให้ลึกถึงขนาดที่ว่า ยางของเราซึ่งผลิตแต่ละวันมีถึง 20-30 ขนาด ขนาดไหนที่มนมีปัญหาล่ะ คิวซีมันจะเสนอเราว่าดูทีละขนาด ขนาดไหนที่มันติดลบ หรือผลิตได้ไม่ตรงตามออร์เดอร์ เมื่อเรารู้ว่าเป็นจุดไหน เราก็แก้ได้ตรงเป้า" ผู้จัดการฝ่ายโรงงานคนเดิมของบริดจสโตนกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

และจากการนำคิวซีมาใช้นี่เองทำให้ในปัจจุบันไทยบริดจสโตนแทบไม่มีผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นเหลืออยู่เลย สิ่งที่ญี่ปุ่นทำได้คนไทยที่ได้เรียนรู้ก็เริ่มทำได้จนในที่สุดเมื่อปี 2522 บริษัทไทยบริดจสโตนได้มอบหมายภาระรับผิดชอบให้กับพนักงานคนไทยโดยสมบูรณ์ ทั้งทางด้านการบริหารและการผลิต ตั้งแต่ระดับผู้จัดการโรงงานลงมาจนถึงผู้บังคับบัญชาระดับต้นสุด

บริษัทไทยบริดจสโตน มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดทั้งทางด้านการผลิตและการจำหน่ายในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ตลอดมา ไม่เคยตกอันดับเลย

"ปริมาณการผลิตในปีแรกเราผลิตไม่ถึง 2 แสนเส้น ในปีที่ 10 เราผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 7 แสนเส้น และในปีที่ 18 คือปีที่แล้วเราผลิตได้ถึงเกือบ 1 ล้านเส้นและที่เราภาคภูมิใจก็คือ ยางบริดจสโตนของเราได้รับความนิยมเป็นอย่างดีมาโดยตลอด มียอดการจำหน่ายนำหน้าบริษัทอื่น ๆ มาโดยตลอด" ปองชัย ดำเนินพิริยะกุล กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

ทุกวันนี้ บริษัท ไทยบริดจสโตน ยังคงครอง MARKET SHARE ในตลาดยางรถยนต์สูงที่สุดในประเทศไทย คือประมาณ 40-42 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลขมาร์เก็ตแชร์นี้ ทางสุรจิต นันทะศิริผู้จัดการฝ่ายการตลาด กระซิบบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า น่าจะสูงกว่านี้

ทางด้านการตลาดนั้นบริดจสโตนมีแผนการตลาดของตัวเอง แต่จะให้บริษัท มิตซูบิชิ เป็นผู้แทนจำหน่ายให้ ฝ่ายการตลาดจะทำงานหนักหน่อย ตรงที่ต้องการทำการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ

ในขณะที่กำลังครองความเป็นจ้าวในอุตสาหกรรมยางราถยนต์ในประเทศไทอยู่นี้ ไทยบริดจสโตนก็เริ่มมองหาตลาดเมืองนอก โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าของเงินเยนกำลังแข็งอยู่นี้ ยิ่งนับเป็นโอกาสที่ดูเหมือนจะหาได้ยาก

แล้วโอกาสทองของบริษัทไทยบริดจสโตน จำกัด ก็มาถึงจริง ๆ เมื่อบริษัท เอ็มเอ็มซีสิทธิพล จำกัด ได้รับงานชิ้นใหญ่ผลิตรถยนต์นั่งให้กับบริษัทไครสเลอร์แคนาดา จำนวน 1 แสนคันโดยทะยอยส่งเป็นเวลา 6 ปี และทำการเซ็นสัญญากันไปแล้วเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมานี้เอง

ไทยบริดจสโตนได้รับการทาบทามจากสิทธิผลทันที ในการผลิตยางรถยนต์ป้อนหใกับรถที่จะผลิตกับไครสเลอร์แคนาดาโดยเริ่งส่งมอบตั้งแต่ปี 2531 ที่จะถึงนี้

บริษัทไทยบริดจสโตน จำกัด ต้องปรับตัวเองอีกครั้งเพื่อรับกับงานชิ้นใหญ่ชิ้นนี้องค์กรก็จำเป็นต้องใหญ่ขึ้น โรงงานก็ต้องขยาย

"การขยายโรงงานใหม่กำลังวางแผนกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด กรรมการบริหารได้ตัดสินใจลงมาแล้วว่าจะต้องมีการทำการตลาดต่างประเทศขึ้นอย่างจริงจัง เพราะโรงงานที่จะขยายนี้ไม่เพียงแค่รองรับออร์เดอร์ของสิทธิพลเท่านั้น แต่ต้องมีการขยายไว้สำหรับตลาดต่างประเทศที่ไทยบริดจสโตนจะลุยกันเองด้วย" แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

แล้วก็คงต้องรอดูกันว่าคิววีเซอร์เคิล ในองค์กรที่ใหญ่โตอย่างไทยบริดจสโตนในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไรกันแน่

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us