|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค. ต่ำสุดรอบ 8 ปีครึ่ง เหตุคนไทยกังวลปัญหาน้ำมันเริ่มกลับมาแพง การเมืองไม่มีเสถียรภาพ จีดีพีหด ส่งออกติดลบ แนะรัฐบาลเร่งอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่โดยด่วน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจประชาชนทั่วประเทศ 2,238 ตัวอย่าง เกี่ยวกับความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยประจำเดือนพ.ค.2552 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และส่วนใหญ่ลดลงต่ำสุดรอบ 8 ปีครึ่ง โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.เท่ากับ 71.5 ต่ำสุดในรอบ 90 เดือน ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปัจจุบัน 61.1 ต่ำสุดในรอบ 84 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต 73.4 ต่ำสุดรอบ 92 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมลดเหลือ 64.3 ต่ำสุดในรอบ 90 เดือน ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำลดเหลือ 63.8 ต่ำสุดรอบ 89 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตเหลือ 86.2 ต่ำสุดรอบ 123 เดือน
สาเหตุที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงทุกรายการ มาจากราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้นลิตรละ 2.40-2.80 บาท ส่งผลให้ผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพสูงขึ้น แต่รายได้ไม่เพิ่มสอดคล้องตาม นอกจากนี้ ยังวิตกกับเสถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล และคนยังกังวลต่อตัวเลขเศรษฐกิจที่ตกลงกว่าคาดการณ์อย่างมาก ทั้งจีดีพีไตรมาสแรกจากคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ลดถึง 7.1% รวมถึงยอดการส่งออกที่หดตัว 25.2% และการแข็งค่าของค่าเงินบาทที่เพิ่มต่อเนื่อง
“ความกังวลต่อสถานภาพการจ้างงานถือเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ประชาชนไม่กล้าใช้สอย และเชื่อว่าภาวะขาดแคลนกำลังซื้อในประเทศจะเกิดขึ้นชัดเจนตลอดไตรมาสสองถึงไตรมาสสาม ซึ่งระหว่างนี้ยอดขายสินค้าของภาคธุรกิจน่าจะลดลงตามด้วย จำเป็นต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยการจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาดออกมากระตุ้นกำลังซื้อ”นายธนวรรธน์กล่าว
นายธนวรรธน์กล่าวว่า แม้ตอนนี้นักวิชาการและภาคธุรกิจจะเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแล้ว จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีน รวมถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ กับคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น แต่ในภาคประชาชนยังไม่เกิดขึ้นและไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในเร็วๆ นี้ โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลรอบแรก ทั้งเช็กช่วยชาติ 2,000 บาท ต้นกล้าอาชีพ หรือมาตรการลดค่าครองชีพให้ใช้รถเมล์ รถไฟ ประปา ไฟฟ้าฟรี ยังไม่มีประสิทธิภาพแรงพอ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจได้ ซึ่งรัฐจำเป็นต้องอัดฉีดมาตรการระลอกใหม่ โดยเฉพาะการรับมือกับปัจจัยลบจากน้ำมันที่จะแพงขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
“ปัญหาการเมืองเดือนนี้คลายตัวลง แต่คนเริ่มห่วงราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่า 3 เดือนข้างหน้า ราคาน้ำมันตลาดโลกอาจทะลุ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะกระทบราคาขายปลีกภายในและกำลังซื้อผู้บริโภค และประเมินเบื้องต้นว่า หากน้ำมันเพิ่มลิตรละ 1 บาท จะกระทบต่อการใช้จ่ายประชาชน 2,100 ล้านบาท และทุก 1 เดือน น้ำมันจะเพิ่มลิตรละ 2 บาท จะกระทบต่อการใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระที่รัฐบาลต้องคำนึง และหาแนวทางการแก้ไขไม่ให้ดัชนีผู้บริโภคตกต่ำไปกว่านี้”นายธนวรรธน์กล่าว
สำหรับสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งกระทำ นอกจากการเร่งสร้างเสถียรภาพทางการเมืองแล้ว จะต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ทั้งพ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท และงบประมาณประจำปีให้ได้ตามแผนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กต์จะต้องเริ่มภายในไตรมาส 4 รวมถึงเร่งรัดให้องค์กรส่วนปกครองท้องถิ่น (อปท.) ต้องจ่ายเงินลงทุนลงท้องถิ่นให้เร็วสุด และเร่งกระตุ้นโครงการลงทุนจากหน่วยรัฐวิสาหกิจ ซึ่งหากรัฐทำได้ เชื่อว่าการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้น่าจะอยู่ที่ -3.5% ถึง -4.5% ได้ โดยขณะนี้จีดีพีไทยผ่านจุดต่ำสุดไตรมาสแรกที่ลบ 7.1% มาแล้ว ขณะที่ไตรมาสสองน่าจะลบเหลือ –4% ถึง -5% และเริ่มกระเตื้องในไตรมาสสามจนกลับมาบวกได้ 1-2% ในไตรมาสสุดท้าย
|
|
|
|
|