Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน11 มิถุนายน 2552
ผู้จัดการกองทุนเตือน ชี้หุ้นพุ่งแรงเสี่ยงลงแรง             
 


   
search resources

Investment
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์




ผู้จัดการกองทุนห่วงดัชนีหุ้นดิ่ง หลังกระแสเงินไหลเข้าดันดัชนีพุ่งไม่หยุด จนหุ้นไทยแรงเกินพื้นฐาน ชี้ระดับเหมาะสมอยู่ที่ 550 จุด ระบุปีหน้าความเสี่ยงสูง ท่ามกลางเศรษฐกิจฟื้นตัว ก่อนชูกลยุทธ์เลือกลงทุนหุ้นปันผลดี กระแสเงินสดสูง หลีกเลี่ยงความเสี่ยง เผยหลายกองทุนเข้าไม่ทัน กอดเงินสดแทน หวั่นโดดเข้าแล้วติดดอย

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ น่าเป็นห่วงว่า หากดัชนียังปรับขึ้นไปไม่หยุดจากกระแสเงินลงทุนไหลเข้ามา จะทำให้ปีหน้ามีโอกาสที่ดัชนีจะดิ่งลงอีกครั้ง ถึงแม้ว่าถึงเวลานั้นเศรษฐกิจจะฟื้นตัวแล้วก็ตาม ซึ่งจากการติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในช่วงเวลานี้ ยังไม่มีการหยุดพักฐาน แม้จะผ่านระดับ 600 จุดไปแล้ว เพราะโดยปกติ ตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับฐานทุกครั้งที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นมาที่ละ 100 จุด หรือหากมีการปรับขึ้นต่อต่อกันเกิน 3 เดือน ก็จะหยุดพักฐาน 1 ครั้ง ดังนั้น หากการปรับขึ้นในครั้งนี้ไม่มีการหยุดพักฐาน จะทำให้ปีหน้าดัชนีหุ้นจะปรับลดลง

ทั้งนี้ หากมีการปรับฐาน มองว่าการปรับฐานดังกล่าวน่าจะอยู่ที่ระดับ 10-15% จากระดับดัชนี 600 จุดในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม จากการที่เงินทุนต่างชาติยังไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดัชนียังปรับขึ้นไปต่อ ซึ่งเงินลงทุนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเอง ถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญ น่าจะเป็นแรงกดดันจากปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งทำให้นักลงทุนบ่างส่วนไม่มั่นใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

"ตอนนี้ดัชนีหุ้นไทยได้ผ่านระดับ 500 จุด ขึ้นมาอยู่ที่ 600 จุดแล้ว ซึ่งโดยปกติแล้วน่าจะมีการหยุดพักฐาน แต่สุดท้ายกลับไม่หยุด ซึ่งหากหลังจากนี้ ดัชนียังปรับขึ้นไปอีกไม่หยุด ก็มีโอกาสที่ดัชนีจะปรับลงแรงเช่นเดียวกัน"นายประภาสกล่าว

ทั้งนี้ การที่เงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นไปเกินกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น เพราะเป็นการปรับขึ้นจากการคาดการณ์ล่วงหน้าของนักลงทุนว่าทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น ซึ่งในขณะนี้มองว่าระดับดัชนีที่ 550 จุด น่าจะเป็นระดับที่เหมาะสมกับพื้นฐานในปัจจุบันมากกว่า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากนี้ ดัชนีน่าจะปรับฐานลงมาที่ระดับดังกล่าวอีกครั้ง นอกจากนี้ อาจจะเห็นการขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มหนึ่ง แล้วไปลงทุนในหุ้นอีกหลุ่มหนึ่งแทน

นายประภาสกล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ไม่สามารถใช้ P/E ในการตัดสินใจลงทุนได้ ถึงแม้ว่าขณะนี้ ค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 เท่า แต่ก็ยังมีบางเซกเตอร์ที่ยังไม่ถึง เช่น หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ที่ยังมีค่า P/E ต่ำอยู่ ดังนั้น การใช้การคาดการณ์กำไรในการตัดสินใจลงทุนน่าจะเหมาะสมกว่าในจังหวะเช่นนี้

ทั้งนี้ ความผันผวนที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ผู้จัดการกองทุนต้องติดตามพอร์ตการลงทุนของกองทุนหุ้นอย่างใกล้ชิด ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ จะต้องเน้นการเลือกหุ้นที่จะเข้าไปลงทุนให้ดี โดยกลยุทธ์การลงทุนของเราเอง ยังให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลดี และมีกระแสเงินสดสูงๆ เพราะหุ้นกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์ในช่วงที่เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น และถึงแม้ว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว จะไม่ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนหวือหวาเหมือนกองทุนดัชนี ที่ให้ผลตอบแทนสูงตามการปรับขึ้นของดัชนี แต่ในจังหวะที่ดัชนีปรับลดลง ก็จะไม่ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงมากเหมือนกันทุนดัชนีเช่นเดียวกัน

"หากมองถึงผลตอบแทนตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กองทุนหุ้นที่ล้อไปกับดัชนี จะเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนดี เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นไปค่อนข้างสูง ส่วนกองทุนหุ้นที่มีนโยบายการบริหารแบบ Active อาจจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่า เนื่องจากกองทุนส่วนใหญ่เข้าไม่ทัน เพราะประเมินพื้นฐานของตลาดมากกว่า แต่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ส่วนใหญ่ได้อานิสงส์จากเงินลงทุนไหลเข้ามากกว่า"นายประภาสกล่าว

เขากล่าวต่อว่า พอร์ตการลงทุนในกองทุนหุ้นของเอวายเอฟในปัจจุบัน มีสัดส่วนการถือเงินสดอยู่ประมาณ 4-5% ซึ่งถือว่าค่อนข้างเป็นการลงทุนเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตาม กองทุนหุ้นในตลาดบางกอง ยังคงสัดส่วนการถือเงินสดเอาไว้ค่อนข้างมาก เนื่องจากยังไม่กล้าเข้าไปลงทุน เพราะส่วนหนึ่งยังมองว่า ดัชนีมีโอกาสปรับฐานลงมาอีกครั้ง ซึ่งหากเข้าไปลงทุนตอนนี้ อาจจะเป็นการลงทุนในราคาที่สูงเกินไป   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us