ดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์พุ่งรับอานิสงส์ตลาดหุ้นไทยคึกคัก จากการคาดการณ์กำไรโบรกเกอร์ปรับตัวดีขึ้น ระบุดัชนีหุ้นกลุ่มโบรกเกอร์พุ่งเฉียด 50% ขณะที่บล.คันทรี่ กรุ๊ป ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 128% ตามด้วยบล.บัวหลวง 92% ด้านผู้บริหารบล. ฉวยจังหวะราคาหุ้นพุ่งแห่ขายทำกำไร นำโดยบิ๊กกิมเอ็งฯ มากสุดเกือบ 20 ล้านบาท ส่วนนักวิเคราะห์ แนะเก็งกำไรระยะสั้น เหตุเสี่ยงสูงราคาหุ้นเกินปัจจัยพื้นฐาน พร้อมเสนอหลีกเลี่ยงการลงทุนหากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันต่ำกว่าวันละ 2 หมื่นล้านบาท
ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น จากการที่นักลงทุนต่างประเทศได้กลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเป็นไปอย่างคึกคัก ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ ที่มีรายได้หลักจากค่าธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชัน) กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุน เพราะต่างคาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์จะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
จากการที่นักลงทุนได้ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนหุ้นในกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ ทำให้ดัชนีหุ้นในกลุ่มและราคาหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึง ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2552 ดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 48.71% ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกแห่ง ยกเว้น บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิกโก้ และบล.ยูไนเต็ด ที่ราคาหุ้นยังคงปรับตัวลดลง
สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่มีราคาการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับ คือ บล. คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 128% อยู่ที่ 1.12 บาท จาก 0.49 บาท อันดับ 2 บล.บัวหลวง (BLS) เพิ่มขึ้น 92.81% อยู่ที่ 13.40 บาท จาก 6.95 บาท อันดับ 3 บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) (KGI) เพิ่มขึ้น 85.14 % อยู่ที่ 1.37 บาท จาก 0.74 บาท อันดับ 4 บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (KEST) เพิ่มขึ้น 84.91% อยู่ที่ 14.70 บาท จาก 7.95 บาท อันดับ 5 บล.ซีมิโก้ (ZMICO) เพิ่มขึ้น 72.31% อยู่ที่ 2.24 บาท จาก 1.30 บาท
หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ได้ขายหุ้นออกมาในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจากการสำรวจในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน (6 ม.ย.) มีรวมทั้งสิ้น 6 บริษัท มูลค่าการขายรวม 28.35 ล้านบาท คือ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มูลค่าขายรวม 18.78 ล้านบาท ประกอบด้วย นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ขายหุ้นออกมาเมื่อวันที่ 25 พ.ค. จำนวน 3.4 แสนหุ้น ราคาหุ้นละ 12.50 บาท มูลค่า 4.25 ล้านบาท นายศุภชัย เอกกุล ขายหุ้นออกมาวันที่ 25 พ.ค. จำนวน 67,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 12.80 บาท มูลค่า 8.57 แสนบาท และขายออกมาวันที่ 6 พ.ค.จำนวน 117,200 หุ้น ราคาหุ้นละ 10.62 บาท มูลค่า 1.24 ล้านบาท รวมมูลค่า 2.10 ล้านบาท
นายจัด คินนี่ ขายหุ้นออกมาวันที่ 27 พ.ค. จำนวน 343,800 หุ้น ราคาหุ้นละ 12.40 บาท มูลค่า 4.26 ล้านบาท นายภูษิต แก้วมงคลศรี ขายหุ้นออกมาวันที่ 29 พ.ค. จำนวน 100,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 12.65 บาท มูลค่า 1.26 ล้านบาท ในวันที่ 1 มิ.ย. ขายหุ้นออกมาอีก 100,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 12.95 บาท มูลค่า 1.29 ล้านบาท ในวันที่ 2 มิ.ย.ขายหุ้นออกมาอีก 50,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 13.40 บาท มูลค่า 6.70 แสนบาท และในวันที่ 3 มิ.ย.ขายหุ้นออกมาอีก 45,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 13.50 บาท มูลค่า 6.07 แสนบาท รวมมูลค่า 3.83 ล้านบาท นายเหว่ย เฉิน หวาง ขายหุ้นออกมาวันที่ 27 พ.ค. จำนวน 343,800 หุ้น ราคาหุ้นละ 12.40 บาท มูลค่า 4.26 ล้านบาท นายเอมอร ปิณฑวิรุจน์ ขายหุ้นออกมาวันที่ 1 มิ.ย. จำนวน 5,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 13 บาท มูลค่า 65,000 บาท
บล.บัวหลวง มูลค่าขายรวม 1.6 ล้านบาท ประกอบด้วย นายกวีพันธ์ เอี่ยมสกุลรัตน์ ขายหุ้นออกมาวันที่ 12 พ.ค. จำนวน 100,000 หุ้น ราคาหุ้นละ12.60 บาท มูลค่า 1.26 ล้านบาท นายกำธร ศิลาอ่อน ขายหุ้นออกมาวันที่ 6 พ.ค. จำนวน 20,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 10.75 บาท มูลค่า 2.15 แสนบาท และในวันที่ 7 พ.ค.ขายหุ้นออกมา 10,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 13.30 บาท มูลค่า 1.33 แสนบาท รวมมูลค่า 3.48 แสนบาท
บล.บีฟิท ประกอบด้วย นายเดชา แปงคำ ขายหุ้นออกมาวันที่ 18 พ.ค. จำนวน 20,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 2.10 บาท มูลค่า 42,000 บาท และในวันที่ 19 พ.ค.ขายหุ้นออกมาอีก 280,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 2.10 บาท มูลค่า 5.88 แสนบาท รวมมูลค่า 6.30 แสนบาท
บล.ภัทร มูลค่าขายรวม 8.12 แสนบาท ประกอบด้วย นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ขายหุ้นออกมาวันที่ 21 พ.ค. จำนวน 25,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 16.30 บาท รวม 4.07 แสนบาท และขายออกมาวันที่ 3 มิ.ย.จำนวน 25,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 16.20 บาท มูลค่า 4.05 แสนบาท
บล.เอเซีย พลัส คือ นายพัชร สุระจรัส ขายหุ้นออกมาวันที่ 6 พ.ค. จำนวน 20,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 1.56 บาท มูลค่า 31,200 บาท และบล. คันทรี่ กรุ๊ป คือ นายฮองไซ ซิม ขายหุ้นออกมาวันที่ 29 พ.ค. จำนวน 6,446,000หุ้น ราคาหุ้นละ 0.87 บาท มูลค่า 5.60 ล้านบาท และวันเดียวกันขายหุ้นออกมาอีก 1,000,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 0.90 บาท มูลค่า 9 แสนบาท รวมมูลค่า 6.5 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากการที่ราคาหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ถือว่ามีความเสี่ยงที่สูง แต่นักลงทุนยังสามารถเข้ามาลงทุนหากมูลค่าการซื้อขายระดับ 2-3 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่จะเป็นลักษณะการเก็งกำไรระสั้นตามมูลค่าการซื้อขายของตลาดรวมเท่านั้น โดยหากวอลุ่มการซื้อขายปรับตัวลดลงต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท จะทำให้มีแรงเทขายหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ออกมา จากมีความเสี่ยงที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าในไตรมาส3/52 วอลุ่มการซื้อขายคึกคักต่อหรือไม่
“มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ไตรมาส 2/52 ปรับตัวดีขึ้น ทำให้คาดว่าผลประกอบการของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอวลุ่มการซื้อขายที่เฉลี่ยประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน เพื่อขึ้น 132% จากไตรมาส1/52 ที่เฉลี่ย 8.6 พันล้านบาทต่อวัน”
ด้านบล.ทรีนีตี้ ได้ประเมินผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ ว่า โบรกเกอร์น่าจะมีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นมากกว่ากว่าเท่าตัว จากไตรมาส1/52 จากการที่วอลุ่มเดือนเม.ย.-พ.ค.52 เฉลี่ยถึง 19,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/52 ถึง 130% และใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ราคาหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ปัจจุบันได้เกินราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐานแล้ว แต่จากการที่มูลค่าการซื้อขายที่ยังสูง โดยนักลงทุนสามารถเก็งกำไรในหุ้นหลักทรัพย์ระยะสั้นได้
|