เราต้องยอมรับกันว่าคนเป็นจำนวนมากที่เข้ารับการอบรมไม่สามารถที่จะเก็บนำเอาความรู้ที่ได้รับไปได้มากเท่าที่ควร
บ่อยครั้งที่ผู้เข้ารับการอบรมจะนั่งตัวสั่นอยู่ในเก้าอี้เมื่อถึงคราวถูกเชิญให้ออกไปพูดต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้น
เล่นอยู่กับนาฬิกาของตน หรือคอยดูเวลาตลอดเวลา แกล้งทำเป็นคอยจดคำบรรยาย
มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการและอภิปรายน้อยมาก ซึ่งบางครั้งพฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากการที่วิทยากรไม่มีความสามารถ
หรือเตรียมตัวมาน้อยทำให้การสอนไม่เป็นที่ดึงดูดใจและน่าสนใจของผู้รับการอบรมมากนัก
อย่างไรก็ตามในการเข้ารับการอบรมนั้นเพื่อให้บรรลุผลดีที่สุด ควรมีการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดี
ระหว่างวิทยากรจะต้องมีความรับผิดชอบในส่วนหนึ่งเพื่อให้เกิดความสำเร็จหรือล้มเหลว
ควรสร้างเป้าหมายในการเข้าอบรมให้ชัดเจน
โดยการตั้งเป้าต่อไปว่าต้องการที่จะเรียนรู้อะไร
หรือสามารถที่จะนำไปใช้ได้หลังจากการอบรม
ในที่สุดคุณก็จะรู้ว่าทำไมคุณจึงต้องเข้าอบรม
จากการวิจัยพบว่าปัญหาบางส่วนเกิดจากผู้เข้ารับการอบรมไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไร
ในการที่จะเลือกหรือได้รับให้มากที่สุดจากการเข้าอบรมของตน ซึ่งจากเหตุผลเหล่านี้จึงมีข้อเสนอแนะบางประการ
ที่อาจจะนำมาใช้เป็นข้อแนะนำสำหรับผู้ได้รับเลือกและกำลังจะเข้าอบรมในหลักสูตรต่าง
ๆ
1. พิจารณาถึงเหตุผลในการที่จะเข้าอบรม โดยดูว่าความจำเป็นของการเข้าอบรมอยู่ในระดับใด
คุณมีปัญหาเกี่ยวข้องที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ทั้งนี้เพราะขาดความรู้ความชำนาญ
คุณสามารถแก้ปัญหาโดยการกระทำที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระเบียบหรือนโยบาย
ก่อนที่คุณจะลงทะเบียนเข้าอบรมในคราวต่อไป ควรสร้างเป้าหมายในการเข้าอบรมให้ชัดเจนโดยการตั้งเป้าต่อไปว่าต้องการที่จะเรียนรู้อะไร
หรือสามารถที่จะนำไปใช้ได้หลังจากการเข้าอบรม ในที่สุดคุณก็จะรู้ว่าทำไมคุณจึงต้องเข้าอบรม
2. เลือกโครงการอบรมคราวต่อไปด้วยความระมัดระวัง โดยจำไว้ว่า จะต้องเป็นรายจ่ายของคุณ
ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการใช้จ่าย ควรถามตนเองว่า "การอบรมนี้จะช่วยเสริมสร้างความรู้ในส่วนที่คุณต้องการหรือไม่
"วิทยากรสามารถที่จะให้ข้อมูลในสิ่งที่ต้องการหรือไม่" ลักษณะของวิยากรที่ดีจะศึกษาถึงความต้องการของผู้เข้ารับการอบรมว่าคาดหวังที่จะได้รับอะไรบ้าง
ทั้งนี้เพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับหลักสูตรที่จะอบรม หน่วยงานที่จัดการฝึกอบรมจะมีหลักสูตรการอบรมที่จัดเตรียมไว้
ควรมาขอศึกษาดูก่อนและในการสมัครเข้าอบรม ควรดูหลักสูตรที่สามารถสนองความต้องการในแง่ของความรู้
ความเข้าใจ ระยะเวลาและเนื้อหา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ในการเลือกโครงการเข้าอบรมไม่ควรให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและวิทยากรมากนัก
เพราะเขาเหล่านี้มีชื่อเสียง เนื่องจากรู้เรื่องในสิ่งที่เขาจะพูดดีที่สุด
ในขณะเดียวกันไม่ควรที่จะละเลยวิทยาลัยชุมชน มหาวิทยาลัยหรือบริษัทฯที่ปรึกษาต่าง
ๆ ซึ่งบุคคลต่าง ๆ ในวงการเหล่านี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นวิทยากรอยู่แล้ว
นอกจากนั้นแล้วควรระวังและศึกษาให้ดีเกี่ยวกับโครงการที่โฆษณาว่าดีที่สุด
ถ้าเป็นไปได้ ควรเช็คเกี่ยวกับวิทยากรและหลักสูตรจากผู้ที่เคยเข้าอบรมแล้ว
3. เตรียมตัวให้พร้อมในการที่จะเข้าอบรม โดยการเตรียมกระดาษเปล่า 1 แผ่นโดยเขียนเหตุผลที่ต้องเข้ารับการอบรม
ตัวอย่างเช่น เป้าหมายในการเข้าอบรม สิ่งที่เพิ่มอาจเป็นรายการปัญหาที่สงสัยหรือหัวเรื่องที่ต้องการให้บรรยายนั้นครอบคลุมาถึงคำถามที่ต้องการคำตอบที่เจาะจง
ถ้าเกิดความสงสัย ให้ถามให้หายความข้องใจ อย่าเพียงแต่แกล้งนั่งฟังเฉย ๆ
และทำเป็นรู้เรื่องทั้งนี้ เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าความรู้ใหม่ประมาณ 50%
ที่คุณจะเรียนรู้มาจากผู้มีส่วนร่วมในการอบรมในหลักสูตรนั้นนั่นเอง
4. จัดเตรียมแผนการที่จะนำความรู้และความชำนาญใหม่ ๆ ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์
วิทยากรหลายคนจะจัดเวลาช่วงประโยชน์ วิทยากรหลายคนจะจัดเวลาช่วงหนึ่งในการอบรมของหลักสุตรเพื่อให้ผู้เข้ารับการบอรมได้จัดการ
"การวางแผนเพื่อดำเนินการ" ซึ่งในช่วงนั้นคุณจะมีโอกาสได้พัฒนาวางแผนโดยการนำความรู้ใหม่
ๆ ที่ได้รับในห้องอบรมมาปรับใช้ จงใช้เวลาช่วงนี้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด
ในกรณีที่ไม่มีการแบ่งเวลาดังกล่าวให้ คุณควรจัดทำด้วยตนเองหลังการอบรมใหม่
ๆ ทั้งนี้เพราะข้อมูลต่าง ๆ จะยังคงอยู่ในความคิดของคุณ ทำให้การจัดทำเป็นไปอย่างง่าย
ทั้งนี้เพราะคุณสามารถที่จะพัฒนาแผนนั้นได้ในระยะเวลาต่อมา
5. การนำความรู้ และความชำนาญที่ได้รับมาใช้ในงาน สิ่งที่มักเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
คือผู้เข้ารับการอบรมเมื่อกลับมาที่ทำงานมักจะนำเอกสารต่าง ๆ ที่ได้รับการอบรมเก็บเข้าไว้ในตู้เกสาร
ไม่มีการนำออกมาปรับใช้ การที่จะใช้ประโยชน์จากการฝึกอบรมให้มากที่สุดจะต้องมีการปฏิบัติทันทีหลังการอบรม
และที่ไม่ควรลืมคือการนำความรู้ที่ได้จากการอบรมได้ทราบด้วย การอบรมจะคุ้มค่าได้ประโยชน์ที่สุดเมื่อคุณสามารถที่จะนำความรู้ที่ได้รับมาให้ทุกคนทั้งผู้บังคับบัญชา
เพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาได้ทราบ
6. วิเคราะห์ความชำนาญและความรู้ของคุณเพื่อหาข้อบกพร่องที่ต้องการได้รับการปรับปรุงสิ่งที่ควรจำคือ
วัตถุประสงค์ของการเข้ารับการอบรมของคุณก็ เพื่อที่ช่วยพัฒนาความรู้ของคุณและปรับปรุงคุณให้เป็นพนักงานที่ดีมีความรับผิดชอบขึ้น
อย่างไรก็ตามถ้าคุณยังรู้สึกว่ามีปัญหาอยู่ จะต้องเริ่มถามตนเองก่อนว่า จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาเพื่อเตรียมการหรือ
ต้องการการอบรมเพิ่มขึ้น ชี้ให้ทุกคนได้ทราบถึงความจำเป็นในการอบรม
จากที่กล่าวมาทั้งหมดอาจจะสรุปได้ว่า "การฝึกอบรมอาจจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด"
ยกเว้นแต่คุณจะมีการเตรียมตัวในการฝึกอบรมให้พร้อมวางแผนที่จะลดเวลาและค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ และมีการนำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้ในหน่วยงาน