Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2530
เชิดชัยอุตสาหกรรม อหังการ์บทใหม่ของธุรกิจภูธรแล้วจะไปได้สักกี่น้ำ             
 

   
related stories

วิชัย เชิดชัยเขาคงไม่เดินตกเวทีประวัติศาสตร์ !?
สุจินดา เชิดชัยคนที่วิชัยคงต้องรักไปจนวันตาย !!!

   
search resources

เชิดชัยอุตสาหกรรม
วิชัย เชิดชัย
Commercial and business
Vehicle




วิชัย เชิดชัย อายุ 55 ปี ความรู้จบชั้นประถมปีที่ 4

ความสำเร็จของเขากับ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" มิใช่เป็นเรื่องน่าปลายปลื้มเพียงกลุ่มคนแคบ ๆ ไม่กี่คนเท่านั้น ??

การพัฒนาธุรกิจของเขายังชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนทุนของธุรกิจภูมิภาคที่นับวันเริ่มจะปรับเปลี่ยนศักยภาพตัวเองไปสู่ความเป็นอินเตอร์มากขึ้น

ถึงจะเป็นความมั่นคงที่ค่อนข้างจะเปราะบางและน่าหวาดเสียวเพียงไร แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากมิใช่หรือ !?

อิทธิพลบารมีของคนคนนี้ ครอบฟ้าคลุมแผ่นดินเมืองโคราชและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ !!!

เขาเป็น 1 ใน 3 คหบดีของภาคนี้ที่ได้รับการยอมรับว่า "รวยจริง" ไม่ใช่รวยขี้ครอกหรือรวยขี้โอ่อย่างคนรวยบางคน ฐานะความมั่งคั่งของเขาไม่ได้วัดที่จำนวนเงิน โอ.ดี. ในธนาคาร หากสามารถรับรู้กันได้ถึงจำนวนเงินสด ๆ ที่ไม่ผิดอะไรไปกับขุนคลังอันยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยที่ดินราคาค่างวดมหาศาลอีกหลายร้อนพันไร่ !!

เพราะเป็นเรื่องจริงที่ไม่ต้องเสกสรรปั้นแต่ง พรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง "จำต้อง" มอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดชะตากรรมทางการเมืองของพรรคในภาคนี้ด้วยความเต็มใจยิ่ง ทั้งนี้แลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่ "จำต้อง" มอบให้เขาโดยไม่มีสิทธิปฏิเสธถ้าได้เป็นรัฐบาล !?

เขาไม่ใช่นักการเมือง แต่เขามีเงิน และในความไม่สมประกอบทางการเมืองเงินมิใช่หรือ ที่คือพระเจ้าโน้มน้าวเสียงประชาชนให้เป็นเสียงสวรรค์แก่นักการเมืองคนใดคนหนึ่งได้ทุกเมื่อ เงินมีความศักดิ์สิทธิ์และเที่ยงธรรมพอที่จะเขียนอัตชีวประวัติความสำเร็จให้นักการเมืองคนนั้นได้ไม่ยากเย็น

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนเมื่อเสียงปี่กลองทางการเมืองดังขึ้น จะได้เห็นนักการเมืองผู้หลงละโมบต่ออำนาจวาสนาบางคนคิดจะเรียนลัดพากันตบเท้าเข้าชิดกันแล้วเดินเข้าหาคนคนนี้อย่างมีสัมมาคารวะ พลางพร่ำธุรสวาจาร้อยแปดที่ไม่พ้นบทสรุปง่าย ๆ ว่า "เฮียต้องช่วยผมนะครับไม่งั้นแย่"

ว่ากันว่า ถ้าเขาตกปากรับคำใครว่า "ต้องได้" ถึงจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดจะต้องหมดกันกี่อัฐกี่เฟื้อง ลูกผู้ชายอย่างเขาจะไม่ยอมบิดพลิ้วสัญญา เขาเชื่อถือสัจจะมากพอ ที่จะทนยอมรับความขมขื่น ยอมรับคำปรามาสถากถางต่าง ๆ ในบางครั้งว่า "สิ่งที่เขากระทำลงไปนั้นเป็นการฝ่าฝืนกติกาสังคมอย่างไม่น่าพึงให้อภัย"

ครั้งหนึ่งเขายอมเป็นแม่แรงหนุนนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่า เป็นบุคคลที่ไม่สมประกอบบางประการ ใครต่อใครพากันกากบาทว่า นักการเมืองผู้นั้นจะต้องตกเวทีประวัติศาสตร์อย่างบอบช้ำที่สุด แต่เมื่อมีเขาเคียงข้างปรากฏว่า "ความผิดปกตินั่นหาได้ทำให้นักการเมืองผู้นั้นพบกับความผิดหวังไม่"

"เฮีย" เป็นคำเรียกที่เขาดูจะภาคภูมิใจที่สุด เขาไม่สนใจมากนักที่จะมีบางคนกล่าวขานกันว่า เขาเป็นนายทุน เป็น ENTREPRENEUR ทั้ง ๆ ที่ความจริงเป็นอย่างนั้นและอาจดูหนักแน่นมากยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้เมื่อเขาเริ่มขยายบทบาทตัวเองออกไปเป็น "ทุนนิยมข้ามประเทศ"

ภารกิจประจำวันของเขาเฉกเช่นพ่อค้าภูธรทั้งหลายที่ต้องทำงานเยี่ยงมดเยี่ยงหอยโข่ง ตื่นแต่เช้ากับอาหารเบา ๆ จากนั้นค่อยเวียนวนดูการทำงานของพนักงานภายในโรงงานต่าง ๆ ที่สุมทุมกันอยู่ในอาณาบริเวณเนื้อที่เป็นร้อย ๆ ไร่ริมถนนมิตรภาพ และถ้ามีเวลามากพอก็จะกลับมาขลุกอยู่ในห้องทำงานที่คราคร่ำไปด้วยพระพุทธรูปและพระเครื่องชื่อก้องต่าง ๆ ทั่วเมืองไทย

มันแทบจะกลายเป็นงานอดิเรกที่เป็นงานหลักของเขาไปเสียแล้ว พอ ๆ กับการที่เป็นมือโปรในวงไพ่นกกระจอกเป็นบางครั้งบางคราว !!??

ในดงนักเลงพระตั้งแต่ระดับแบกะดินยันนั่งห้างรู้ว่า เขาเป็นนักเจียระไนที่พราวแพรวในการดูว่าพระดีหรือไม่อย่างที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นักเลงพระคนนี้ด้านหนึ่งจะเป็นนักธุรกิจพันล้านเขาน่าจะเป็นนักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์เสียมากกว่า

เขาโปรดปรานมากกับการหาเช่าพระดี ๆ มาไว้บูชา หากจะต้องใช้จ่ายเงินมากกว่าเลข 5 หลักขึ้นไป เพื่อให้ได้มาซึ่งพระดี ๆ สักองค์หนึ่งก็พร้อมที่จะยินยอม

เขาจะเชื่อมั่นในกฤษดาภินิหารของพุทธคุณเหล่านั้นว่า จะปกป้องให้ตัวเขาและครอบครัวรอดพ้นจากภยันอันตรายซึ่งอาจมีบางคนมุ่งหมายปองร้ายได้หรือไม่นั้นไม่อาจตัดสินลงไปได้ ทราบแต่เพียงว่าเขาสอนให้เมียและลูกนับถือพระเพราะ "พระท่านจะช่วยให้รุ่งเรือง"

นอกจากจะมีพระดีเป็นที่สักการะยึดเหนี่ยวของจิตใจแล้ว ความโชคดีอีกอย่างหนึ่งที่เขาไม่อาจค้นหาได้อีกแล้วในชีวิตนี้ก็คือ การได้เมียที่ดีคนหนึ่งซึ่งมีค่ายิ่งกว่าเพชรน้ำงามเม็ดใด ๆ ทั้งสิ้น แน่ละ ถ้าดวงใจสองห้องจะมอบให้กับการงานที่เติบโตไม่หยุดยั้ง อีกสองห้องที่เหลือต้องเป็นของเมียที่รักอย่างยากที่จะไถ่ถอน !!

จากคนที่มือเปล่าเล่าเปลือยเมื่อสามสิบปีก่อน จากเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันตายพรุ่งเมื่อใด ? เขากลับก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งนี้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ความเชื่อมั่นกล้าได้กล้าเสียของตนเป็นที่ตั้ง และมั่นคงดั่งหินผาไม่รู้สึกกร่อนด้วยความ "หิน" ของเมีย !!!

พฤติกรรม "หิน" ทางการค้าของเมีย เขาขึ้นชื่อลือชาไปทั่วทุกหัวระแหง หินขนาดที่ว่าการที่คนงานจะขอเบิกเงินได้นั้นจะต้องให้งานแล้วเสร็จสมบูรณ์ 100% เสียก่อน ถ้าไม่เป็นอย่างนี้แล้วไม่ต้องมาพูดกัน หินขนาดที่ว่าเซลล์แมนบางคนถึงกับค้อมหัวให้โดยไม่ปริปาก

แต่ก็น่าแปลกที่ว่า ทั้งคนงานและเซลส์แมนต่างไม่มีใครถอนสมอไปจากรังธุรกิจของเขาและเมียได้ !?

ด้วยความ "หิน" ที่มีอย่างเหลือล้นภายในตัวเมียซึ่งทำให้ธุรกิจเติบใหญ่จนมีสินทรัพย์ในปัจจุบันไม่น้อยไปกว่าสองสามพันล้านบาท เป็นธุรกิจภูธรที่ไม่ต่ำต้อยน้อยหน้าและมีแววจะยิ่งใหญ่คับฟ้าได้อย่างแน่นอน เขาจึงพอใจมากหากจะมีใครยกย่องเมียที่รักให้เป็น "เฮีย" อีกคนของบริษัทฯ

ทั้ง ๆ ที่ความรู้ของคนทั้งคู่เพียงแค่จบชั้นประถม 4 ไม่ได้มีมรดกตกทอดมาให้สืบสาน ทว่าจากตัวธุรกิจจำต้องอาศัยความรอบรู้ความเชี่ยวชาญค่อนข้างสูง จนอาจจะดูเป็นวิชาการไปเสียด้วย แม้ว่าจะขาดแคลนการเรียนรู้ตามปริญญาบัตรทว่าประสบการณ์ และความหลักแหลมของมันสมองทำให้เขาไม่ลำบากอันใดเลยที่จะทำงานให้ได้ผลดีที่สุดออกมาจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก

เขาไม่ใช่วิศวกร ไม่ใช่นักประดิษฐ์ที่ผ่านการรับรองจากสถาบันใด ๆ ทั้งในและต่างประเทศ แต่เขาเป็นนักปฏิบัติที่เกิดขึ้นในสายเลือดและมีความยากจนเป็นตัวเพาะบ่มให้แก่กล้า ความสำเร็จที่ควรค่าแก่การชื่นชมจึงทำให้เด็กประถม 4 คนนี้ได้รับพระราชทานปริญญาวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปี 2528 และได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษในเวลาถัดมา

ธุรกิจของเขาเกี่ยวข้องกับรถยนต์ เขาเป็นเจ้าของกิจการเดินรถภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นผู้ได้รับสัมปทานรถไฟปรับอากาศของการรถไฟฯ เป็นผู้ถือหุ้นในสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง และที่สุดเขาเป็นเจ้าของอู่ต่อรถใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและเอเชียอาคเนย์ ซึ่งมีนักลงทุนจากต่างประเทศมาเกี้ยวให้ร่วมทุนต่อรถอยู่เป็นประจำ !!!

รถโดยสารที่วิ่งกันขวักไขว่บนท้องถนนกว่า 30% เป็นผลผลิตจากอู่ของเขา !!

เขา-วิชัย เชิดชัย หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า "เฮียไซ" เจ้าของและประธานกลุ่มบริษัทเชิดชัยอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจภูมิภาคที่ก้าวมาถึงช่วงต่อของการปรับศักยภาพตัวเองให้เป็นกลุ่มธุรกิจระดับอินเตอร์ในภาวะปัจจุบัน !!!

วิชัยมักลำดับความเป็นมาของชีวิต กว่าที่จะพลิกนาทีมาสู่ความรุ่งเรืองในปัจจุบันให้ใครต่อใครฟัง ด้วยท่าทีที่เปี่ยมล้นด้วยความสุขอยู่บ่อยครั้งว่า เขารู้จักคำว่า "ต่อสู้" มาตั้งแต่เด็กเมื่ออายุได้ 15 ปีก็ต้องเร่ร่อนจากบ้านเกิดที่ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ไปทำซุงล่องแพขายอยู่ที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี แต่กิจการไปได้ไม่ดีนักจึงต้องย้อนกลับมาขับเรือยนต์รับจ้างโดยสารที่บ้านเกิด

ความที่เป็นคนราศีพิจิกซึ่งถูกครอบงำด้วยความกรุ่นของอารมณ์ที่กระเหี้ยนกระหือรือต่อการเสี่ยงภัยและไม่หยุดนิ่ง พร้อมที่จะฝากความตายของชีวิตไว้กับวันหน้ายังที่หนึ่งที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ทำให้เด็กหนุ่มวัยกำดัดอย่างเขาต้องมีอันพเนจรร่อนเร่ไปเป็นเด็กรับจ้างกรีดยางพาราที่เบตง จ.นราธิวาส

ที่นี่วิชัยบอกว่า เป็นตักศิลาที่ทำให้เขาได้เรียนรู้การต่อตัวถังรถ โดยอาศัยเวลาว่างจากงานกรีดยางแล้วออกไปเร่ขายไก่กลับมาสุมหัวร่วมกันต่อตัวถังรถกับเพื่อน ๆ ชีวิตในช่วงนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสิ้นบุญเตี่ยทำให้ต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดอีกหน

ตอนนั้นอายุได้ 23 ปี เป็นช่วงที่มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตมากมายหลายอย่าง เป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับความตกระกำลำบากอย่างแสนสาหัสด้วยการไปรับจ้างเป็นคนงานแบกอ้อยเข้าโรงหีบอ้อย ต้องทำงานแบบข้ามวันข้ามคืนด้วยค่าแรงตอบแทนเพียงวันละ 100 บาท

การทำงานภายในโรงหีบอ้อยให้วิชารู้จักคำว่า "วินัย" และ "ความเด็ดขาด" เนื่องจากระยะนั้นเป็นช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลกำลังเริ่มต้นไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ความต้องการแรงงานมีมากแต่เนื่องจากงานค่อนข้างหนัก ทำให้คนงานส่วนใหญ่ไม่สามารถทนทานได้ ขอลาออกไม่เว้นวันเมื่อรูปกาณณ์เป็นอย่างนี้ ทำให้โรงงานต้องใช้วิธี "กร้อนผม" คนงานทั้งหมดเพื่อป้องกันการหนีกลับบ้าน

จริงอยู่มันเป็นเรื่องที่ทารุณกรรมจิตใจอย่างมากมาย แต่เพื่อให้งานต่อเนื่องความเด็ดขาดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ต้องนำมาใช้ และประสบการณ์ที่เขาพบมานั่นเอง ทำให้การปกครองคนงานภายในโรงงานต่าง ๆ ของเชิดชัยอุตสาหกรรมปัจจุบันยึดถือเอาความเด็ดขาดเป็นบรรทัดฐานค่อนข้างสูง !!!

"เป็นเรื่องที่น่าศึกษามากว่าคนงานของอู่เชิดชัยนั้นว่าไปแล้วเจอกับการปกครองที่เข้มงวดมาก อย่างเรื่องเงินเดือนนี่เรื่องเบิกก่อนแทบไม่ต้องพูดถึงกัน บางทีงานเสร็จแล้วยังไม่ได้รับค่าแรงก็มี ก็เคยมีเรื่องร้องเรียนประท้วงเหมือนกัน แต่แล้วก็ซาไป คนงานก็ทนอยู่กันมาหลายปี" นักธุรกิจท่านหนึ่งของโคราชกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

สำหรับตัววิชัยนั้นบอกว่า ช่วงเวลาที่ทำงานในโรงหีบอ้อยเป็นช่วงที่เหนื่อยยากที่สุด รายได้แม้ว่าจะได้ค่อนข้างดี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสุขภาพที่ย่ำแย่ดูแล้วไม่คุ้มกันนัก จึงทำให้เกิดการตัดสินใจย้ายแหล่งทำมาหากินอีกครั้ง คราวนี้เขาระเหเร่ร่อนขึ้นมาปักหลักที่โคราชสมัยที่กองทัพอเมริกันกำลังยาตราเข้ามาเต็มอัตราศึก

การมาอยู่ราช เขาคิดว่า "ขอยึดเอาที่นี่เป็นเรือนตาย เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่ขอถอยหนีอีกแล้ว" ดังนั้นจึงขายทุกสิ่งทุกอย่างที่บางปะกง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เรือ ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ เก็บเงินสะสมได้ประมาณ 40,000 บาทแล้วเลยขึ้นมาที่โคราชทันที

กิจการแรกกับความหวังใหม่ที่โคราช ได้แก่ การรับจ้างบรรทุกของในนาม "วันดีขนส่ง" แต่ทำไปทำมากลายเป็นวันร้ายไปเสียฉิบ ทุนรอนที่ลงไปมีแต่จะหายสาบสูญไม่ได้กลับคืน ที่สุดก็ต้องขายรถที่มีอยู่แล้วหันมาทำขนมไข่ขาย แต่อย่างว่าอาชีพขายขนมไข่ มันไม่เมามันทำได้ไม่นานก็ทนความเย้ายวนของการเล่นรถอีกไม่ได้ จำต้องหวนกลับไปหาอีกครั้งพร้อมรับจ้างทำเฟอร์นิเจอร์ไปในตัวอีกด้วย

เหมือนบาปกรรมแต่ปางก่อนยังตามมาเยาะเย้ยถากถาง ประสบการณ์ชีวิตที่เขาบันทึกลงไปในช่วงนี้ก็คือ การล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าอีกครั้งและหนักหนาเสียจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ดีที่ยังไม่สิ้นกำลังใจทำให้กัดฟันลุกขึ้นมาสู้ด้วยการหันไปทำฟืนส่งรถไฟ

อาชีพคนขายฟืนทำท่าไปได้ดีสามารถมีเงินเก็บนำไปซื้อรถบรรทุกได้คันหนึ่งแล้วนำมาต่อตัวถังเองเพื่อใช้บรรทุกฟืน ปรากฏว่าตัวถังที่ต่อขึ้นเป็นที่ถูกอกถูกใจของหลาย ๆ คนมาว่าจ้างให้เขาต่อตัวถังอย่างมากมายเลยทำให้ต้องเลิกขับรถบรรทุกฟืนหันมารับจ้างต่อตัวถังเพียงอย่างเดียว

และนั่นเป็นก้าวแรกที่เขาบอกว่า ทำให้กลายเป็น "เชิดชัยอุตสาหกรรม" เจ้าของอู่ตัวรถที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและเอเชียอาคเนย์ในเวลานี้ !!!

การฉกฉวยความสำเร็จในปัจจุบันเพื่อเพิ่มเติมสีสันความทุกข์ยากแต่หนหลังนั้นเป็นปกติวิสัยที่พึงคิด และเลือกที่จะปฏิบัติกันอย่างชาชินเสียแล้วสำหรับพ่อค้าบางคนความพิกลพิการบางอย่างของระบบทำให้ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้แจ่มชัด นานวันเข้าเลยกลายเป็นข้อยกเว้นที่กลายเป็นข้อมูลให้พ่อค้าบางรายนำพาความไม่สมจริงสมจัง 100% นั้นไปสมอ้างแสวงหาใบประกาศเกียรติคุณจนเป็นเรื่องราวฉาวโฉ่ !!!

กรณีของวิชัย เชิดชัย กับ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" อาจเป็นความจริงที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ดังกล่าว เพราะ "ผู้จัดการ" ได้รับทราบจากคนเก่า ๆ ของโคราชที่รู้ต้นสายความเป็นมาของคน ๆ นี้เล่าให้ฟังว่า "ในความเป็นจริงเขาเป็นนักต่อสู้ตัวยงคนหนึ่ง เขาเคยถูกดูถูกมากมายแต่ก็ลบล้างมันไปได้"

มีเพียงข้อมูลเพิ่มเติมบางอย่างที่วิชัยอาจไม่ได้พูดถึงนั่นก็คือ ความสำเร็จที่กลายมาเป็นเจ้าของอู่ต่อรถใหญ่ที่สุดได้นั้นเล่ากันว่า หลังจากที่เขารับจ้างบรรทุกของส่งขายในตลาดก็สามารถเก็บเงินได้ไม่น้อย และได้ร่วมกับพี่ชายคนหนึ่งทำไม้ขายโดยมีโรงงานทำไม้ แปรรูปไม้ อยู่บริเวณวัดทุ่งสว่าง ซึ่ง "เชิดชัยค้าไม้" ซึ่งปัจจุบันโรงงานทำไม้ดังกล่าวยังคงดำเนินงานอยู่เป็นปกติ

ความเป็นพ่อค้าไม้ของวิชัยโด่งดังไม่แพ้ไพบูลย์ รัตนเศรษฐ์ หรือองอาจ ตั้งสถิตย์ชัย สองพ่อค้าไม้ชื่อดังภาคอีสาน ซึ่งถูกล่าสังหารถึงกับต้องใช้ทหารและตำรวจนับร้อยคุ้มกันแทบทุกตารางนิ้วของห้องพยาบาลชื่อเสียงการทำไม้ของ "เชิดชัยค้าไม้" ดังเป็นพลุแตก ป่าเกือบทุกป่าของภาคอีสาน วิชัยเคยได้ไปถึง เคยได้ไปสัมผัสและเคยได้รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้ไม้มีคุณค่าแก่ชีวิตของตน !?

วิชัย ไพบูลย์ และองอาจ หรืออาจจะรวมเอาเสี่ย ล. พ่อค้าไม้ของอุบลราชธานีอีกคน ต่างมีวิถีชีวิตความรุ่งเรืองไม่ผิดแผกแตกต่างกัน ทุกคนกลายเป็นผู้มีอันจะกินจากการค้าไม้ได้ในชั่วพริบตา จุดหักเหอยู่ที่ว่าวิชัยเมื่อพบความสำเร็จระดับหนึ่งเขาตัดสินใจที่จะเลิกรากับมัน ขณะที่ทั้ง 3 คนที่เหลือยังคงเวียนว่ายอยู่ในดงไม้ท่ามกลางเสียงโจษจันไม่รู้สร่างซา !!!

"ความที่เป็นคนมีฝีมือเรื่องต่อตัวถังรถอยู่บ้าง จึงทำให้เขาเกิดความคิดที่จะนำไม้แปรรูปมาทำมาหากินอย่างสะอาดหมดจดอีกอย่างตอนนั้นโคราชยังไม่มีคนทำด้านนี้เลย จะต่อตัวถังรถแต่ละทีต้องไปว่าจ้างถึงบ้านโป่ง จึงเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่วิชัยคิดจะลงทุนกิจการประเภทนี้อย่างจริงจัง" คนรุ่นเก่าของโคราชบอกให้ฟัง

แต่การต่อตัวถังรถของวิชัยในระยะแรก ๆ ยังไม่เป็นที่นิยมชมชอบมากเท่าไร เพราะฝีไม้ลายมือยังสู้ช่างแถวบ้านโป่งไม่ได้ ตัวถังรถที่ต่อออกไปใช้การได้เพียง 1 ปี มักได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากว่า ตัวถังไม่มีความแข็งแกร่งดีพอ

สิ่งหนึ่งที่ได้เปรียบของ "อู่เชิดชัย" เห็นจะเป็นตรงที่ราคาถูกกว่าเนื่องจากเจ้าของนั้นมีโรงงานทำไม้อยู่ในมือ และอีกเรื่องก็คือ การให้เครดิตสามารถผ่อนชำระได้เป็นงวด ๆ ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้อู่ต่อตัวรถแถวบ้านโป่งไม่เคยยินยอมอ่อนข้อให้ลูกค้า ทุกอู่เรียกเก็บเป็นเงินสดเลยทีเดียว

ความปราดเปรื่องกล้าได้กล้าเสียอย่างนี้ จึงทำให้ "อู่เชิดชัย" ได้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถบรรทุกอย่างมากมาย โดยเฉพาะรถสิบล้อและหกล้อซึ่งมีมากที่สุดในภาคอีสาน "ความเป็นคนใจนักเลงของเขาทำให้กิจการเติบโตอย่างน่าพึงพอใจ และข้อดีนี้เขายังรักษามาจนถึงปัจจุบัน" แหล่งข่าวท่านหนึ่งกล่าว

ความรุ่งโรจน์สุดขีดของ "อู่เชิดชัย" ว่าไปแล้วเกิดขึ้นจากความกล้าเสี่ยงกับความใหม่ ๆ ที่ไม่มีคนหาญคิดที่จะทำ อย่างเช่น การต่อตัวถังรถซึ่งเดิมทีต่อกันเป็นโครงไม้นั้น ตัววิชัยคิดว่าน่าจะพัฒนามาต่อเป็นโครงการเหล็กที่มีความทนทานกว่า นอกจากนี้ ยังมีการคิดค้นแบบตัวถังแปลกใหม่ ๆ ออกมาไม่ขาดระยะ ทำให้เป็นที่พออกพอใจของเจ้าของรถเป็นอันมาก ทำให้ได้ลูกค้าเพิ่มมาอีกกลุ่มหนึ่งคือ พวกรถยนต์โดยสาร

อีกสาเหตุหนึ่งที่อาจเป็นตัวแปรความคิดของวิชัยให้หันมาสนใจตัวถังเป็นโครงเหล็ก อาจเป็นเพราะว่าการต่อเป็นโครงไม้ผลผลิตที่ออกมาค่อนข้างล่าช้า เพราะมีปัญหาเรื่องไม้ไม่แห้งกับมีไม้ไม่เพียงพอความต้องการ การต่อโครงด้วยไม้ไม่แห้งจะทำให้เกิดเสียงดังเพราะไม้ยังไม่หดตัว กอปรกับรัฐบาลยุคนั้น (2500) มีคำสั่งห้ามผู้ต่อรถใช้โครงการที่เป็นไม้เนื่องจากเป็นอันตรายได้โดยง่าย

เพราะ "เสี่ยง" ในการเป็นผู้ปูพื้นฐานโครงตัวถังด้วย "เหล็ก" ก่อนคนอื่น เลยทำให้ "อู่เชิดชัย" พุ่งพรวดขึ้นมาในโลกอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างทันทีทันควัน และในช่วงนี้เองที่วิชัยได้รู้จักกับสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากซึ่งเป็นคนที่เข้านอกออกในกับผู้ใหญ่ในส่วนราชการต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

สองผัวเมียสองประสานเลยสามารถเกาะติดการต่อตัวถึงรถให้กับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้อย่างสบาย สบาย !!!

วิชัยยังได้ชื่อว่า เป็นนักเล่นที่ดินตัวฉกาจคนหนึ่ง ฐานะที่เริ่มมีอันจะกินจากการรับจ้างต่อตัวถังรถทำให้เขาเริ่มหันมาเป็นนายทุนปล่อยเงินกู้ โดยมีที่ดินเป็นหลักทรัพย์ค้ำจำนอง ก็ด้วยกลวิธีแยบยลต่าง ๆ นานาในไม่ช้าจึงกลายเป็น "ราชาที่ดิน" ของเมืองโคราช และด้วยมูลเหตุนี้ ประกอบกับความมีฝีมือในเรื่องต่อตัวรถอยู่แล้ว จึงทำให้บริษัท อีซูซุ จำกัด เกี้ยวให้เข้าร่วมเป็นผู้ต่อตัวถังรถให้แก่อีซูซุในราวปี 2503

"ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานต่อตัวถังรถในขณะนี้สมัยก่อนราคาถูกมาก ขณะที่คนอื่นไม่สนใจเพราะเป็นที่นอกเมือง ทว่าวิชัยกลับกว้านเอามาหมด กระทั่งญี่ปุ่นได้มาเห็นทำเลจึงชักชวนให้เข้าหุ้นตั้งโรงงาน งานนี้รู้ ๆ กันว่า เขาฟังสองต่อเลยทีเดียว" แหล่งข่าวท่านเดิมกล่าว

วิชัยร่วมกับ "ตรีเพชรอีซูซุ" ตั้งบริษัทเชิดชัยอีซูซุบัสบอดี้ จำกัด ขึ้นมาโดยรับต่อตัวถังรถบัสแบบโมโนค๊อต ซึ่งเป็นกรรมวิธีใหม่มากในยุคนั้น แรก ๆ ทางญี่ปุ่นส่งช่างเทคนิคเข้ามาควบคุมแล้วก็ค่อย ๆ วางมือลงไป รถที่ต่อออกไปนั้นทางตรีเพชรฯ รับขายให้ทั้งหมด การว่าจ้างระยะแรกเป็นแบบคันต่อคัน

ต่อมาทางญี่ปุ่นมีความมั่นใจมากขึ้น จึงสนับสนุนให้ขยายการผลิต และลำดับถัดมา "อู่เชิดชัย" จึงรับทั้งต่อและขายเสียเองโดยยังซื้อแซสชีส์จากตรีเพชรอีซูซุเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ตามด้านตลาดต่างประเทศทางตรีเพชรฯก็ยังเป็นหัวเรียวหัวแรงคนสำคัญเช่นเดิม

เดือนมีนาคมที่ผ่านมา วิชัยกับตรีเพชรอีซูซุร่วมเฉลองความสำเร็จอันน่าโอ่อ่าด้วยการต่อตัวถังรสบัสคันที่ 1,000 แต่จะมีใครรู้บ้างว่าในความน่าชื่นตาบานนั้น ก็แฝงไว้ด้วยความอกตรมของ "อีซูซุ" ไม่น้อยเลย…

เหตุที่ต้องเป็นเช่นนั้นก็เพราะข่าวคราวที่ว่าทาง "อู่เชิดชัย" พร้อมที่จะร่วมลงทุนกับ "โบวี่" ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ของเนเธอร์แลนด์ด้วยการตั้งโรงงานต่อตัวถังรถบัสใหญ่ที่สุดในเอเชียด้วยทุนก่อตั้งขั้นแรก 100 ล้าน แม้ว่าประพฤติปฏิบัติดังกล่าวจะอยู่นอกเหนือสัญญาวิชัย-อีซูซุ

แต่ถ้าเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเมื่อใด คนที่เจ็บก็ไม่พ้น "อีซูซุ" !!!

"อีซูซุเขาเคยได้รับบทเรียนมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวที่อู่เชิดชัยรับต่อตัวถังรถบัสให้กับวอลโว่ 200 คัน ซึ่งวอลโว่รับสัญญาต่อจาก ขสมก. อีกทอดหนึ่ง ครั้งนั้นอีซูซุต้องเป็นฝ่ายสูญเสียไปไม่น้อย แน่ละว่าถ้าวิชัยร่วมมือกับโบวี่จริง ๆ กรมก็ตกที่อีซูซุอีก เอาผิดก็เอาไม่ได้ ไปจ้างอู่อื่นฝีมือก็สู้ไม่ได้ สรุปแล้ว งานนี้คนที่สบายตัวนอนฟันคนเดียวก็คือ ตัววิชัยพ่อค้าที่มีความรู้เพียงแค่ ป.4" แหล่งข่าวในวงการยานยนต์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

และข่าวที่ค่อนข้างเป็นจริงบอกเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทรถยนต์ชื่อดังในเกาหลีใต้ได้เดินทางมาดูและร่วมวางแผนอย่างเงียบ ๆ กับวิชัยนั่นคือ เป้าหมายสำคัญของวิชัยที่จะยกฐานะของกลุ่มเชิดชัยอุตสาหกรรมให้เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมระดับอินเตอร์ให้จงได้

เขาทำการค้าอย่างแนบเนียนและไม่ใช่คนที่จับปลาหลายมือ แต่ทุกมือที่คว้าปลาเข้ามาได้ ต้องมีความมั่นใจมากกว่า "มันย่อมไม่มีทางดิ้นหลุด" เหมือนที่เขาจับอีซูซุมาได้นั้นแหละ !!??

น่าตั้งข้อสังเกตมากว่าการร่วมลงทุนของวิชัยกับบริษัทต่างชาตินั้น สิ่งที่เขาพึงระมัดระวังมากที่สุดก็คือ เรื่องสัญญาผูกมัดตัวเขาจะไม่ยอมให้สัญญาหนึ่งสัญญาใดมาครอบจนไม่สามารถที่จะดิ้นไปผูกสมัครรักใคร่กับรายอื่นได้อีก คนที่จะร่วมลงทุนด้วยนั้นต้องแสดงตัวเองว่า "แฟร์" ที่สุดเมื่อนั้นเขาจึงจะโอเค

"อย่างรายโบวี่นั้นเรื่องเงินลงทุนทางนั้นก็จัดหามาให้ แต่เรื่องสถานที่ตั้งโรงงานต้องเป็นที่ดินของวิชัยเขาและควรอยู่ในเมืองโคราชด้วย เพราะที่นั่นวิชัยมีความพร้อมที่จะให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ" แหล่งข่าวกล่าวให้ความเห็น

การขยายตัวของ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" หากมองว่าสุ่มเสี่ยงกับนับว่าอักโขอยู่ หนึ่ง - ในแง่ของความสัมพันธ์หลากหลายถึงจะมีผลดีของการเคลื่อนทุนที่ไม่ต้องออกแรงมากนัก แต่ภาวะดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอาการเลือกที่รักมักที่ชังจนอาจเป็นผลเสียได้ในระยะยาว

สอง - การปรับเปลี่ยนศักยภาพครั้งนี้เดินมาถึงจุดปรับโค้งของระบบธุรกิจครอบครัวเช่นเดียวกัน เนื่องจากความชราภาพทั้งของวิชัยและภรรยา ทำให้ทายาทต้องก้าวเข้ามารับช่วงแทน ซึ่งขณะนี้ตัวแทนอย่างกฤตินีและอัสนี เชิดชัย ก็ยังไม่พรักพร้อมนัก

แน่นอนละว่า ศึกสายเลือดใน "เชิดชัย อุตสาหกรรม" ที่เป็นปัญหาหญ้าปากคอกของระบบธุรกิจแบบครอบครัวอาจจะไม่เกิดขึ้นกับ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" แต่ปัญหาหนักกลับตกตรงที่ว่า "ภาวะการสร้างผู้นำใหม่" ให้เข้ามารับช่วงต่อได้อย่างเหมาะสมกลมกลืนนั่นต่างหาก

"อัสนั้นเขาน่าจะเป็นตัวแทนของครอบครัวได้ แต่ที่ผ่านมายังไม่อาจสามารถสำแดงความเก่งได้เทียมพ่อและแม่เลยแม้แต่ครึ่งเดียว การได้เป็น สจ. ก็เพราะแรงหนุนจากพ่อเป็นสำคัญ อีกอย่างอัสนีเป็นคนที่ค่อนข้างมีปัญหาส่วนตัวมาก ส่วนกฤตินีถึงจะผ่านการศึกษาค่อนข้างสูงแต่โลกภายนอกยังแคบอยู่ กลับมาก็ทำงานที่ครอบครัววางฐานไว้ให้แล้วผิดกับลูกคนรวยรายอื่น ๆ " นักธุรกิจคนหนึ่งของโคราชให้ทัศนะกับ "ผู้จัดการ"

กฤตินี เชิดชัย - เป็นลูกสาวคนโตสำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาการบัญชี (เกียรตินิยมอันดับ 2) และจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยอินเดียน่า รัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา กฤตินีมีความคล้ายคลึงกับพ่อมากในเรื่องความสุขุมเยือกเย็นที่หลายครั้งยากจะดูออก

อัสนี เชิดชัย - ลูกชายคนรองสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิชัยปรารถนามากที่จะให้ลูกชายคนนี้ก้าวไปมีวิถีชีวิตที่โด่งดังทางการเมือง ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดนครราชสีมา กล่าวกันว่า เขาหมดเงินเพื่อผลักดันลูกชายเข้าสภาฯ ไปหลายล้านบาท

วิชัยยังมีบุตรชายอีก 2 คน คือ อัสพงษ์ เชิดชัย กับสุรวุฒิ เชิดชัย ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ การรับช่วงต่อของลูก ๆ นับเป็นภาระที่หนักอึ้งเสียนี่กระไร เพราะเป็นช่วงต่อที่ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" กำลังขยายตัวอย่างเต็มที่ ความแข็งแกร่งที่แฝงไว้ด้วยความเปราะบางอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของทุก ๆ คน โดยเฉพาะกับวิชัย

ถ้าเขาทำได้สำเร็จอิสรยศมิใช่เพียงปรากฏแก่ตระกูล "เชิดชัย" ในฐานะที่เป็นกลุ่มธุรกิจภูมิภาคซึ่งขยับขยายไปสู่โลกกว้างเท่านั้น หากยังเป็นแบบอย่างดีงามที่ควรค่าแก่องค์กรธุรกิจทั้งหลายจะบันทึกไว้เป็นตัวอย่างเพื่อการศึกษาอีกด้วย

ยังไง ๆ ก็หวังว่าสคริปบทนี้คงไม่สะดุดตกหลุมเสียก่อนล่ะ !!

ประเด็นที่น่าจับตามองก้าวขยับกับการวัดอัตราเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจภูมิภาครายนี้อีกประการหนึ่งคือว่า เท่าที่ผ่านมา "เชิดชัยอุตสาหกรรม" ที่เติบโตเป็นตัวเป็นตนมีกิจการในกำมือหลายบริษัทไม่ว่าจะเป็นเชิดชัยอุตสาหกรรม เชิดชัยอีซูซุบัสบอดี้ เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ กิจการราชสีมายานยนต์ เชิดชัยเดินรถ เชิดชัยดีเซลราง หรือแม้แต่เชิดชัยเฟอร์นิเจอร์

ทุกกิจการเหล่านี้ ความบกพร่องที่เห็นได้ชัดก็คือ ภาวะขาดแคลนผู้บริหารอาชีพ (PROFESSIONAL MANAGER) ที่ผ่านมาเติบโตหรือล้มเหลว "ยำ" อยู่ในกำมือของวิชัยกับภรรยาทั้งหมด ยิ่งเรื่องการเงินด้วยแล้วคุมเข้า-ออกยิ่งกว่านักโทษ แต่ทั้งคู่ก็ต้อง "เจ็บ" กับความเข้มงวดในการทำบริษัทเงินทุน"

นั่นเป็นความพลาดพลั้งที่วิชัยและภรรยาได้รับ สำคัญแต่เพียงว่าเขาจะได้ไตร่ตรองมันหรือไม่เท่านั้น !?

สำหรับวิชัยหลายคนเชื่อว่า เขาใจกว้างพอที่จะรับความคิดใหม่ ๆ ดังจะเห็นว่าได้เข้ามามีส่วนร่วมกับหอการค้าจังหวัดมากขึ้นถึงกับ "ลุ้น" ตำแหน่งประธานฯ ทั้งๆ ที่เพิ่งเข้ามาได้เต็มที่ไม่ถึงขวบปี การคาดการณ์ผิดครั้งนี้บอกให้เขารู้ว่า ในองค์กรที่พัฒนาระดับหนึ่งแล้วนั้น "เงิน" ไม่อาจซื้อหาความสำเร็จได้เสมอไป

"ลำดับที่ 21 ที่ได้รับบอกให้เฮียไซรู้ว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตควรจะเป็นอย่างไร เขาคงไม่ปิดกั้นตัวเองเหมือนอย่างที่ผ่านมา เขาเริ่มซึมซับทฤษฎีบริหารใหม่ ๆ ไปไม่น้อย สิ่งเหล่านี้หากนำไปประสานกับธุรกิจที่มีอยู่ ความสำเร็จของแกจะเป็นตัวชูโรงบทบาทพ่อค้าภูธรได้เป็นอย่างดี" กรรมการหอฯ ท่านหนึ่งกล่าว

สิ่งที่น่าคำนึงอย่างมากเห็นจะเป็นศรีภรรยาของวิชัย เป็นที่รับรู้กันในวงการพ่อค้าเมืองโคราชว่า "เจ๊เกียว" ภรรยาของวิชัย นอกจากจะมีความ "หิน" ที่ไม่เหมือนใครแล้ว ยังมีความ "อึด" ค่อนข้างสูง อึดในความหมายที่รักความเป็นคนเดียวโชว์อย่างยึดมั่น

ความจำเป็นของผู้บริหารอาชีพกับการขยายตัวของธุรกิจเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจระดับไหน เมืองกรุงหรือบ้านนอก การจัดระบบที่ขจัดความลักลั่นให้สมดุลกับการเติบโตของธุรกิจ ภาระเหล่านี้การทำธุรกิจแบบครอบครัว อาจ "ตัน" เกินไปเสียแล้ว

"เชิดชัยอุตสาหกรรม" ในทศวรรษที่กำลังจะมาถึงคงเป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี !!??

พัฒนาการอย่างหนึ่งของธุรกิจภูมิภาคที่กำลังเป็นประเพณีนิยมนั่นก็คือ การสร้างความเข้มแข็งโดยผูกมัดกับหนทางทางการเมือง ทุกคนเกิดสำนึกที่ว่าการเมืองเป็นเรื่องของนกมีหู หนูมีปีก ที่จะทำให้ความฝันทางการค้าเป็นจริงหรือเติบใหญ่ขึ้นมาได้

พ่อค้าภูธรหากไม่เล่นการเมืองด้วยตนเอง ก็มักส่งเสริมให้ลูกหลานเข้าไปมีวิถีชีวิตผูกพัน หรือไม่ก็ต้องเป็น "นักการเมือง" ที่สามารถสั่งกันได้ด้วย "อำนาจเงิน" และ "อิทธิพลบารมี"

"เชิดชัยอุตสาหกรรม" ก็อยู่ในข่ายนี้แม้ว่าตัวของวิชัยจะไม่ใช่นักการเมืองสมบูรณ์แบบ แต่ไม่อาจจะบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไปได้ว่า ทุกยุคสมัครการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นสนามเล็กหรือใหญ่ เขาได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากมาย โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองอย่างพรรคชาติไทยที่วิชัยเป็นแม่เหล็กทางการเงินให้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ธุรกิจของ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" เติบโตมาได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความอนุเคราะห์ทางการเมืองที่มีให้เขาตลอดมาหลายสิบปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พรรคชาติไทยเป็นรัฐบาล !!!

วิชัยมีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับ พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทยและรองนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ความรักใคร่กลมเกลียวของคนทั้งคู่เชื่อมโยงโดยผ่าน ชุล ชัยฤทธิชัย ทนายความชื่อดัง กล่าวกันว่า แท้จริงที่ พล.ต.ชาติชัย ได้รับเลือกตั้งนั้น หากไม่ได้วิชัยแล้วชาติชายก็มีสิทธิ "ปิ๋ว" ได้ไม่ยากนัก !?

"เครดิตส่วนตัวของท่านรองนายกฯ กับคนโคราชเสื่อมถอยไปมากในระยะหลังดีที่ว่า ยังมีเฮียไซเป็นฐานคะแนนใหญ่ที่เงินถึงจึงลอยตัวผ่านการทดสอบไปได้" นักการเมืองของจังหวัดคนหนึ่งบอกเล่ากับ "ผู้จัดการ"

ถึงกระนั้นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา สายสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เกือบมีอันขาดสะบั้นเสียแล้ว เมื่อชาติไทยประกาศจะกวาดพื้นที่เมืองโคราชให้ได้มากที่สุด ความหวังนี้วิชัยยอมรับและพร้อมช่วยเหลือทุกด้านโดยเฉพาะเรื่องการเงิน แต่พอหาเสียงไปได้ระยะหนึ่ง ปรากฏเงินจากพรรคขาดหายไปดื้อ ๆ เล่นเอาวิชัย "ยัวะมาก"

"จะเอายังไงกันขืนให้จ่ายคนเดียวก็ฉิบหาย" คนอารมณ์เยือกเย็นอย่างเขาอดไม่ได้ที่จะคายความเคืองโกรธออกมากับคนสนิทเป็นอาการโกรธที่ไม่ค่อยพบบ่อยนักในตัวนักธุรกิจผู้นี้ การช็อตอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ถึงกับทำให้วิชัยประกาศที่จะหันไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์แทน

ทั้งนี้ พร้อมให้ความช่วยเหลือทุกรูปแบบ หนุนส่งให้พรรคการเมืองพรรคนี้ได้เป็นพรรครัฐบาล

"ท่าทีของเฮียไซที่แสดงออกมา ทำให้คุณชุบต้องวิ่งประสานรับรองชาติชายเป็นการด่วน ในที่สุดก็ตกลงกันได้ เฮียไซและกลุ่มการเมืองท้องถิ่นของเขาจึงกลับมาสนับสนุนพรรคชาติไทยตามเดิม" แหล่งข่าวกล่าว

การหวนกลับมาช่วยเหลือไม่ผิดหวังเสียด้วย เมื่อบรรหาร ศิลปอาชา คนที่วิชัยและภรรยาเคารพนับถือได้เป็น รมว.คมนาคม สัมปทานการเดินรถไฟปรับอากาศทั่วประเทศ 6 สาย ก็มีอันตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเชิดชัยดีเซลราง จำกัด ที่มีวิชัย เชิดชัย เป็นหัวเรือใหญ่อย่างเหมาะเจาะ !!??

เรียกว่าดำเนินงานกันไปเลยเจ้าเดียว ซึ่งกิจการเดินรถไฟปรับอากาศนี้ นับวันจะเป็นดาวรุ่ง และเป็นตัวทำเงินให้กับเชิดชัยอุตสาหกรรมอย่างที่ไม่คาดคิด… คนที่เคยเข้าร่วมประมูลสัมปทานในครั้งนั้นบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่าต้องยอมรับความฉลาดของวิชัยที่เข้าใจปัญหาธุรกิจการเมืองได้อย่างดีไม่มีที่ติ !!!

อาการลักลั่นของเขา ยังเห็นได้แจ่มแจ้งอีกกับงานการเมือง นอกจากจะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนของพรรคชาติไทยหลายคนแล้ว ครั้งหนึ่งวิชัยยังสนิทชิดชอบกับนักการเมืองที่เคยเป็นเจ้าของคดีอื้อฉาวรถทัวร์เถื่อน 19 คัน "ทั้ง 19 คันออกไปจากอู่เชิดชัยทั้งสิ้น" นั่นเป็นบทสรุปสั้น ๆ ของเรื่องนี้

ดีที่คดีเงียบไปพร้อมกับอำนาจวาสนาที่หลุดลอยของนักการเมืองผู้นั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว คงไม่สืบสาวราวเรื่องที่อาจพ่วงเอาอู่เชิดชัยติดร่างแหไปด้วย

วิชัยเป็นคนโชคดีจริง ๆ ในเรื่องนี้ยามดังเขาดังคู่ ยามดับเขาอยู่นักการเมืองไป !! นี่แหละคนเก่งจริง !!

ดูเหมือนว่าวิชัยจะหลงเสน่ห์การเมืองว่า มีส่วนเกื้อกูลให้การค้ารุ่งโรจน์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากจะเป็นฐานคะแนนให้พรรคชาติไทย ยังหันมาสร้างกลุ่มการเมืองระดับท้องถิ่น "กลุ่มประสานมิตร" โดยยอมรับภาระเป็นท้องพระคลังส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทั้งสมาชิกสภาเทศบาลและสมาชิกสภาจังหวัด

แต่การลงเล่นการเมืองสังกัด "กลุ่มประสานมิตร" นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ คนอย่างวิชัยมีความเข้มงวดพอตัว ดังนั้นทุกคนที่มาลงจะต้องลงขันของตัวเองส่วนหนึ่ง และถ้าใครไม่มีจริง ๆ สามารถนำหลักทรัพย์มาจำนองไว้กับวิชัยได้ ซึ่งปัจจุบันทำให้เกิดคดีฟ้องร้องกันขึ้นระหว่างอดีตผู้จัดการแบงก์กสิกรไทยกับผู้บริหารของกลุ่ม

ทุกอย่างเป็นไปอย่างสมใจนึก "กลุ่มประสานมิตร" ชนะเลือกตั้งทั้งสองสนามอย่างขาดลอย สามารถเข้าไปเป็นฝ่ายบริหารทั้งสภาเทศบาลและสภาจังหวัดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของเมืองโคราช และนับจากวันนั้นเป็นต้นมาไปจนกว่าจะครบกำหนด 4 ปี

ความเป็นไปของเมืองโคราชถูกกำหนดเอาไว้แล้วด้วยความคิดของเขา-วิชัย เชิดชัย

อดีตคนขายขนมไข่ที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักธุรกิจที่ครบถ้วนกระบวนยุทธ์คนหนึ่งของประเทศ !!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us