Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2530
ปูนใหญ่…หยุดไม่ได้ !?!             
 

   
related stories

ปูนใหญ่ "ผ่าตัด"สยามคราฟท์ สงครามการบริหารที่ยิ่งใหญ่
ในที่สุดก็เหลือเพียงตำนาน
ผู้บริหารปูนใหญ่มาถึงยุควิศวะ จุฬาฯบวกเอ็มบีเอ สหรัฐฯ

   
www resources

โฮมเพจ เครือซิเมนต์ไทย

   
search resources

เครือซิเมนต์ไทย
สมหมาย ฮุนตระกูล
Cement




เป็นคำตอบที่แจ่มชัดที่สุดในบรรดาข้อสงสัยทั้งปวงถึงท่าที และอนาคตของเครือซิเมนต์ไทย อันหมายถึงการรุกคืบไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง หรืออย่างที่พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้จัดการใหญ่ตอบคำถาม "ผู้จัดการ" ว่า "คงจะไปเรื่อย ๆ อย่างระมัดระวัง" โดยเฉพาะ 5 ปีจากนี้ไปปูนใหญ่วางแผนไว้ว่า จะต้องทุมเงินอีกไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อการนั้นด้วยเหตุผลง่าย ๆ "เพื่อให้ DEBT-EQUITY RATIO อยู่ในระดับ 3 : 1" (พารณ) หรือ "มิฉะนั้นจะมีปัญหา CASH GENERATION" (ทวี บุตรสุนทร) และ…

แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้นล้วนมีแรงจูงใจอันเนื่องจาก หนึ่ง - เหตุผลทางธุรกิจ สอง - จากความแนบแน่นสายสัมพันธุ์ธุรกิจ ซึ่งพอจะยกกรณีตัวอย่างเพื่ออธิบายให้เห็นแรงจูงใจนั้นทั้งกลยุทธ์ในการเทคโอเวอร์ด้วย

"….บริษัทเซรามิคอุตสาหกรรมไทยเป็นกรณีเทคโอเวอร์ครั้งที่สอง หลังจากสยามคราฟท์ บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นปี 2522 ในยุคสมหมาย ฮุนตระกูล ด้วยทุนจดทะเบียน 20 บ้านบาทในครั้งแรก และเพิ่มทุนเท่าตัวในเดือนตุลาคมปีเดียวกันเมือ่รับซื้อกิจการบริษัทโรยัลโมเสคเอ็กซ์ปอร์ตอุตสาหกรรมของกลุ่มโรยัล ไม่นาน

กลุ่มโรยัลเจ้าของเดิมคือ อุดม สังขทรัพย์ และพลตรีประมาณ อดิเรกสารผลิตกระเบื้องปูนขนาดใหญ่ที่สระบุรี ที่ใหญ่กว่านั้นเพราะกู้เงินธนาคารจำนวนมหาศาลจากธนาคารแหลมทอง ไทยพาณิชย์ กรุงไทย ไอเอฟซีที และไฟแน้นซ์อีกหลายแห่ง ในปี 2520 กิจการประสบปัญหาอันนำมาของความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่าง เจ้าหนี้ - ลูกหนี้ เจ้าหนี้ไม่ไว้วางใจผู้บริหาร ประกาศไม่ยอมให้เงินกู้งวดสุดท้ายตามที่ตกลงกันไว้ สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนมีเพียงไอเอฟซีที เท่านั้นมีแก่ใจอุ้มต่อทุ่มเงินอัดฉีดเข้าไปอีกนับพันล้านบาทแต่ก็ไร้ผลโรยัลโมเสคเอ็กซ์ปอร์ต เป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มซึ่งมีทั้งหมด 4 โรงมีกำลังการผลิตเหลือเพียงเตาเดียวในทีสุดก็บรรดาเจ้าหนี้ (โดยเฉพาะธนาคารไทยพาณิชย์) ก็ขอให้ปูนเข้ารับซื้อกิจการผ่อนส่งราคาถูกส่วนอีก 3 โรงก็เจ้าหนี้รายอื่นก็ยึดเอาไปด้วยวิธีคล้ายคลึงกัน

โครงสร้างเครือซิเมนต์ไทยมาแล้ว จนกล่าวว่าเขารู้จักเครือซิเมนต์ไทยดีกว่าอีกหลายคน ซึ่งทำงานในเครือปูนซิเมนต์มานับสิบๆ ปี

โครงสร้างใหม่คือการรวมศูนย์การบริหารงานและการควบคุมไว้ ณ แห่งเดียวกันโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทปูนซีเมนต์ไทยทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้ง คัมปะนีไปด้วย ถือหุ้นในบริษัทอื่นเกือบทั้งหมด ขณะนี้บริษัทปูนซิเมนต์ไทยเป็นศูนย์กลางและมีอีก 4 บริษัทอันได้แก่ บริษัทกระเบื้องกระดาษไทย บริษัทผลิตภัณฑ์และวัสดุก่อสร้างค้าสากล ซิเมนต์ไทย และบริษัทเหล็กสยามเป็นดาวบริวาร ยุทธวิธีการขยายตัวของเครือซิเมนต์ไทยที่ได้วางรากฐานจากยุคสมหมาย ฮุนตระกูล จนถึงปัจจุบันเพื่ออธิบายพฤติกรรมองค์กรได้หลายวิถีทาง

ตั้งบริษัทใหม่ขยายกิจการ

วิถีนี้เป็นวิธีง่ายที่สุด พารณ อิศรเสนาฯก็เห็นด้วยเช่นนี้ โครงสร้างผู้ถือหุ้นก็เป็นไปตามแนวโครงสร้างปี 2515 ส่วนใหญ่เป็นกิจการที่พัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์จากเดิมให้กว้างออกไป ซึ่งถูกมาใช้ในระยะแรกอย่างมาก รวมไปถึงการ "แตกตัว"บริษัทจากหนึ่งเป็นสอง ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น ๆ ล่าสุดคือ เอสซีที คอมพิวเตอร์ แตกหน่อจากค้าสากลฯ รับผิดชอบขาย PC ของ IBM "หากเป็นกิจการต้องอาศัยเทคโนโลยีสูงก็จะเป็นถ่ายทอดมาโดยตรง ไม่ถึงขั้นร่วมทุน" แหล่งข่าวว่า

อีกประเด็นหนึ่งเป็นจุดตั้งจากการมองการณ์ไกล เป็นโครงสร้างการที่ศึกษาความเป็นไปได้และมีความพร้อมอย่างดี โดยเฉพาะการขยายตัวด้านการค้าระหว่างประเทศ ตั้งบริษัทค้าสากลฯ บริษัทเอสจีซีคอร์เปอเรชั่น (ปานามา) ในฮ่องกงสำหรับการลงทุนในต่างประเทศ

ที่น่าสังเกตุคือเติมช่องว่างให้ครบวงจร ต่อเนื่องจากกิจการในกลุ่มเดียวกัน โดยเฉพาะในกลุ่มจักรกล เมื่อเริ่มต้นด้วยบริษัทนวะโลหะ ผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่สำหรับมอเตอร์ไซค์เพิ่มเติม

เทคโอเวอร์

การเข้าซื้อหุ้นบริษัทอื่นๆ จำนวนมาก และมีบทบาทเข้าควบคุมการบริหารงานด้วยนั้น เครือซิเมนต์ไทยดำเนินกลยุทธ์นี้ค่อนข้างมาก และเป็นที่ครึกโครม รวม ๆ กันแล้วประมาณ 20 บริษัท ในจำนวนนี้ยกระดับไปอีกขั้น โดยเครือซิเมนต์ไทยตั้งบริษัทใหม่ขั้นรัลโดนกิจการอื่นเข้ามาในรูปของโรงงานเครื่องจักร และอื่น ๆ

ลักษณะการขยายกิจการเช่นนี่ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางแนวตอบโต้ของพนักงานระดับสูงออกสู่สาธารณชนมักอ้างว่า"เพราะได้รับการร้องขอ" จึงเป็นแรงจูงใจในการเทคโอเวอร์ แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ธุรกิจใหม่เช่นนี้มักจะกลมกลืนไปกับแนวทางที่เครือซิเมนต์ไทยวางไว้เสมอ"เนื่องจากมีคนขอร้องหลายราย เลือกไว้บางรายเฉพาะที่อยู่ในสายธุรกิจ" นักสังเกตการณ์คนหนึ่งสรุป

ปี 2527 ปีเดียวเครือซิเมนต์ไทยเข้าเทคโอเวอร์ถึง 5 บริษัทอันเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จวบกับปลายปีนั้นรัฐบาลลดค่าเงินครั้งใหญ่ ธุรกิจประสบปัญหาในการปรับตัวกันมาก สำหรับปูนซิเมนต์มีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับจากกรณีสยามคราฟท์ทั้งเป็นสถาบันธุรกิจที่เติบโตอย่างเข้มแข็งมีชื่อเสียง จึงได้รับความไว้วางใจโดยเฉพาะบรรดาธนาคารเจ้าหนี้ธุรกิจที่มีปัญหาทั้งหลาย

ธุรกิจวิกฤติที่เข้าสู่อ้อมอกปูนใหญ่นั้นมีโครงสร้างการเป็นเจ้าของทั้งเป็นบริษัทร่วมทุนจากต่างประเทศ ซึ่งผู้ร่วมทุนต่างประเทศเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงต้องขายหุ้นส่วนของตนออกไปเช่น บริษัทยางไฟร์สโตน(ประเทศไทย)บริษัทอามิเทจแชงค์ส บริษัทอแซโซซิเอทเต็ด แบตเตอรี่ แมนูแฟคเจอริ่ง เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งเป็นของคนไทย เช่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอนยิเนียริง(ไออีซี) กระดาษสหไทย แพนซัพพลาย ฯลฯ แหล่งข่าวในปูนใหญ่กล่าวว่า เฉพาะเจ้าของกิจการคนไทยนั้น เครือซิเมนต์ไทยจะเลือกสรรเป็นพิเศษในขณะที่กิจการเดิม ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ เครือซิเมนต์ไทยให้ความสนใจมากกว่า "แตกตัว "เป็นอีกบริษัทหนึ่ง - บริษัทนวโลหะดำเนินกิจการเหล็กหล่อรูปพรรณ และการถลุงเหล็ก

การ "แตกตัว" เป็นยุทธวิธีเบื้องแรกของเครือซิเมนต์ไทยใช้ในการขยายกิจการ

ในเวลาเดียวกันนั้นบริษัทเหล็กสยามได้รับเทคโนโลยี สมัยใหม่เข้ามาจากญี่ปุ่นครั้งแรกในปลายปี 2523 สำหรับการหล่อเหล็กแท่งส่วน นวโลหะแผ่ขยายรับเทคโนโลยีจากทั้งเบลเยี่ยมและญี่ปุ่น ในปี 2524 (เป็นผลงานต่อเนื่องจากยุคสมหมาย ฮุนตระกูล) "มากอตโต แห่งเบลเยี่ยม เพื่อผลิตลูกบดซิเมนต์ คูโบต้าแห่งญี่ปุ่นเพื่อผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก และทากาโอกาซึ่งเป็นบริษัทในเครือโตโยต้ามอเตอร์ส ผลิตจานห้ามล้อรถบรรทุก" ข้อมูลจากปูนใหญ่เองระบุ

การ"แตกตัว" ในยุคนี้เป็นการต่อเนื่องโดยพุ่งเป้าในอุตสาหกรรมเครือจักรกล ในเวลาเดียวก็เปิด"การร่วมทุน" เป็นครั้งแรกของเครือซีเมนต์ไทยกับคูโบต้าผลิตเครื่องยนต์ดีเซล เพื่อการเกษตรและภายใต้การส่งเสริมของบีโอไอในสัดส่วนไทย/ญี่ปุ่น 60/40 ในปี2521 ใช้ชื่อบริษัทสยามคูโบต้าดีเซล อันเป็นสนามสำคัญของพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้จัดการใหญ่คนปัจจุบันได้แสดงฝีมือในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการแห่งแรกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้นในยุคนี้ได้วางรากฐานกลุ่มการค้าเอาไว้ ถึงแม้เหตุการณ์ผ่านมาพิสูจน์ว่าไม่แตกหน่อเติบโตเท่าที่ควรจะเป็นอันเกิจจากสมหมาย ฮุนตระกูล ได้นำความคิด "โซโกะ โซฉะ" จากญี่ปุ่นมาตั้งบริษัทค้าสากลซิเมนต์ ในจังหวะที่ประเทศไทยเปิดให้การส่งเสริมบริษัทการาค้าระหว่างประเทศขึ้นมา ตั้งแต่ปี 2521 จนถึงปัจจุบัน "เรา STRUGGLEมา 8 ปี ค้าสากลฯขาดทุนติดต่อกัน 5 ปีเต็ม ปีที่แล้วเพิ่งได้กำไร" พารณ ยอมรับกับ "ผู้จัดการ"

"เราบุกอย่างสุดฝีมือแล้วการออกไปต่างประเทศเป็นสิ่งใหม่สำหรับประเทศเรา ประสบการณ์เป็นสิ่งใหม่สำหรับประเทศเรา ประสบการณ์น้อย ไม่เหมือนเกาหลี ญี่ปุ่นไต้หวัน เขาทำมาก่อน ซึ่งมีกองเรือพาณิชย์สนับสนุน ของเราไม่มี เราพยายามอย่างมากเท่าที่กำลังคน กำลังเงินของเรามีอยู่ มันยากมากเลย ยากมากๆๆๆ" เขาเน้นเสียงแสดงเจตนาอย่างแน่วแน่ แต่ยังไม่บรรลุตามตั้งใจ มีคนถามว่าสมหมาย ฮุนตระกูลทำเช่นนั้นได้อย่างไร หลายคนบอกว่ามิใช่เพราะสมหมายคนเดียวในขณะเดียวกันก็อาจค้นหาคำตอบจากความเป็นสมหมายได้บ้างเช่นกัน สมหมาย ฮุนตระกูล ปี 2519 อายุ 58 ปีเข้าไปแล้ว แต่กำลังวังชา และประสบการณ์ของเขาตอนนั้น ยากจะหาคนทัดเทียม เขาผ่านงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมาเป็นเวลานานถึง 30 ปี เป็นผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ 2 เดือนในปี 2515 ก่อนดำรงตำแหน่งประธานกรรมการไอเอฟซีที ก่อนจะมาดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ปูนซิเมนต์ไทย

"เขามีประสบการณ์ในสวนของการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศมาอย่างดีคนหนึ่ง" ผู้รู้ให้เหตุผลปรพการแรกทำให้ประสบการณ์ของเขาตกผลึกที่เครือซิเมนต์ไทย อีกทั้งสมหมาย ฮุนตระกูล ได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากผู้ถือหุ้นใหญ่ (สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) และประการสำคัญเขาเดินในกรอบการเมืองอย่างถูกจังหวะก้าว

เพราะไอเอ็มเอฟ. ปล่อยเงินกู้ก้อนใหญ่ 18 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2512 โดยบริษัทในเคเรือซิเมนต์ไทยเป็นผู้ค้ำประกันกันเองในฐานะเจ้าหนี้ไอเอ็มเอฟจงผลักดันให้เครือซิเมนต์ไทยปรับโครงสร้างบริหารงาน แหล่งข่าวยืนยันว่าขณะนั้นชุมพล ณ ลำเลียง ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสปัจจุบันกำลังทำงานอยู่ที่นั่น และเขาได้รับมอบหมายให้ศึกษาโครงสร้างของปูนซิเมนต์ไทยเสียด้วย

ปี 2515 มีคนอย่างน้อย 2 คน เข้ามาเป็ฯพนักงานใหม่ของปูนซิเมนต์ไทยและมีบทบาทในการปรับโครงสร้างใหม่พอดี คนแรก - เสนาะ นิลกำแหง ผู้มีประสบการณ์กับริษัทต่างชาติในประเทศไทย(ลิเวอร์บราเธอร์) และชุมพล ณ ลำเลียง ผู้เคยศึกษา

" ความใหญ่ เป็นอันตราย"

พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา

"ผู้จัดการ" ตั้งปุจแากับผู้จัดการนใหญ่เครือซีเมนต์ไทยเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมนี้เกี่ยวกับการขยายตัวสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ของปูนใหญ่ พารณอิศรเสนา ณ อยุธยายอมรับเป็นครั้งแรกว่ายุคของเขา (1 มกราคม 2528-ปัจจุบัน)เครือซีเมนต์ไทยขยายตัวสู่ธุรกิจใหม่มากที่สุด

ซึ่งเป็นการต่อเนื่องจากยุคของสมหมาย ฮุนตระกูล และจรัส ชูโต

หากประเมินบทบาทผู้จุดเชื้อปะทุและวางรากฐานการขยายตัวแล้ว ต้องยกเครดิตนี้ให้สมหมาย ฮุนตระกูล ที่ใครๆให้สมญานำหน้าว่า ซามูไร …..ให้ภาพเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่นเพราะเขาเป็นนักเรียนเก่าของญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นยกย่องและภาคภูมิใจมากๆ

สมหมาย ฮุนตระกูล เป็นผู้จัดการใหญ่ (2519-2523) ณ จุดเริ่มต้น ปูนใหญ่ได้ขยายตัวไปในสองทาง หนึ่ง สู่ธุรกิจที่ไม่ได้ตั้งใจหรือ อยู่นอกเหนือธุรกิจเดิมเนื่องจากความจำเป็นที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้แก่การเข้าบริหารบริษัทสยามคราฟท์(โปรดอ่านล้อมกรอบ) แม้ว่าจุดเริ่มต้นผลักดันไให้ปูนใหญ่เข้าผูกพันกับสยามคราฟท์จะมีมาปลายยุค บุญมา วงษ์สวรรค์ เป็นผู้จัดการใหญ่ก็ตามแต่การตัดสินใจอย่างเป็นทางการในการเข้าอุ้ม ซึ่งติดตามมาด้วยแผนการกอบกู้กิจการอันยาวนานนั้นในยุคสมหหมาย ฮุนตระกูล จัดทำพิมพ์เขียวขึ้น ถือเป็นรากฐานกลุ่มเยื้อกระดาษในเวลาต่อมา แนวนี้รวมไปถึงการแยกตัวจากกลุ่มปูนซีเมนต์ไปสู่กลุ่มวัสดุก่อสร้างอย่างชัดเจน สอง - ธุรกิจแนวใหม่ซึ่งเป็นรากฐานกลุ่มการค้า กลุ่มเครื่องจักรกล ปัจจุบันอันเป็นไปตามเจตจำนงของเครือซีเมนต์ไทยที่ก่อสร้างในยุคนั้น

ยุคนี้มิเพียงเครือซีเมนต์ไทยเติบโตอย่างรวดเร็วในแง่สินทรัพย์ และยอดขาย (จาก 3,465 ล้านบาทเป็นปี 2519 เป็น 8,039 ล้านบาทในปี 2523 และจาก 3,525 ล้านบาท ในปี 2519 เป็น 9,774 ล้านบาท ในปี 2523 ตามลำดับ) หรืออาจจะกล่าวได้ว่า 4 ปี ยุคสมหมายประวัติศาสตร์บันทึกว่าปูนใหญ่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงสุด ยิ่งกว่านั้นคือได้เปิดเทคโนโลยีกว้างขวางมาจากหลายแห่งทะลักเข้ามา เครือซิเมนต์ไทยได้เรียนรู้ และ รู้จักใช้เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้อันเป็นความภูมิใจของคนปูนในเวลาต่อมาว่า"เราเข้าไปแก้วิกฤติการธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งเราไม่มีความชำนาญมาก่อน และประสบความสำเร็จเพราะคนของเรารู้จักบริหารเทคโนโลยีจากต่างประเทศ" ผู้บริหารคนหนึ่งกล่าวไว้

ทั้งนี้ยังไม่รวม "ความกล้าหาญ" ของสมหมาย ฮุนตระกูลที่เข้ามาแตะระบบบริหารงานเครือซิเมนต์ไทยดั่งเดิม "สิงแรกที่ผมมีความรู้สึกเมื่อเข้าร่วมงานก็คือ ปูนซิเมนต์ไทยดำเนินกิจการในรูปแบบของกิจการในรูปแบบของกิจการยุโรปที่มาทำในตะวันออก คือผู้จัดการใหญ่ หรือผู้จัดการทั่วไปในสมัยนั้น เป็นผู้ชี้นำทุกสิ่งทุกอย่างไม่แต่ในบริษัทปูนซิเมนต์ไทยเท่านั้น แต่รวมไปถึงบริษัทในเครือด้วยซึ่งไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม หากปรารถนาที่จะขยายงานให้กว้างขวางออกไป ผู้จัดการแต่ละบริษัทในเครือซิเมนต์ไทยควรต้องรับผิดชอบการบริหารในบริษัที่ตนดำเรงตกฃำแหน่งอยุ่ โดยให้ประสานสอดคล้องกับนโยบายหลักที่กำหนดไว้" สมหมาย ฮุนตระกูลกล่าวไว้อย่างตรงไปตรงมาในหนังสือปูนซิเมนต์ไทย 70 ปี

บางคนวิเคราะห์ว่าเป็นแรงปะทะการจำกัดตัวเองของปูนซิเมนต์ไทยในขณะนั่นที่รุนแรงพอใช้?

ก่อนปี 2519 หรือ 63ปีจากการก่อตั้งบริษัทปูนซิเมนต์ไทย การขยายตัวของธุรกิจมุ่งไปในแนวตั้งขยายผลิตภัณฑ์จากรากฐานเดียวกันให้มากขึ้น คือสินค้าต่อเนื่องหรือใช้ปูนซิเมนต์เป็นพื้นฐาน และต่อเนื่องมาเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการก่อสร้าง รวมถึงบริษัททำหน้าที่ด้านการจำหน่าย มีแปลกออกไปเพียงบริษัทเหล็กสยาม (ปี 2510) ซึ่งแต่เดิมเป็นแผนกหนึ่งของปูนซิเมนต์ไทย มีประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี 2485 เนื่องจากได้รับสัมปทานทำเหมืองแร่เหล็กที่ลพบุรีและนครสวรรค์พร้อม ๆ กับการสร้างเตาทดลองถลุงเหล็ก พัฒนาการอย่างเชื่องช้ากว่าจะเปิดแผนกหล่อเหล็กรูปพรรณก็ปาเข้าไปปี 2509 ซึ่งมาการแยกตั้งบริษัท เมื่อสมหมายเข้ามา แทบจะเรียกว่าเป็นงานชิ้นแรก ๆ ของเขา "…กิจการหลอมเหล็กของบริษัทเหล็กสยาม..ประสบการขาดทุนเป็นอย่างมากและเป็นเวลานานพลอยทำให้ผลกำไรซึ่งพอจะได้จากกิจการอื่นไ ในเครือฯต้องตกต่ำลงไป" เขากล่าวไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน ด้วยเหตุนี้สมหมายจึงดำริจะพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ในขั้นแรกเพื่อทดแทนการนำเข้ามาใช้ในกิจการของเครือซิเมนต์ไทย จากบริษัทเหล็กสยามก็

การแก้ไขปัญหาของปูนใหญ่ในกิจการนี้ปมเงื่อนอยู่ที่การพัฒนาเทคโนโลยี อันเป็นตัวอย่างที่ดีในการผสมผสานเทคโนโลยี อันเป็นตัวอย่างที่ดีในการผสมผสานเทคโนโลยีจากหลายแหล่ง อังกฤษ ญี่ปุ่น และอิตาลี มาพัฒนาการผลิตกระเบื้องโมเสค ซึ่งในระยะ 2 - 3 ปีมานี้เป็นสินค้าแข่งขันกันอย่างสูง ผลประกอบการไม่สู้ดีนัก ไม่เป็นไปตารแผนการฟื้นฟูทั่วไปของเครือซิเมนต์ไทยซึ่งส่วนใหญ่กำหนดระยะเวลาเพียง 5 ปี "ปีนี้เราจะเบรคอีเว่น หลังจากขาดทุนมาตลอด" ทวีบุตรสุนทรผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสกล่าวกับ "ผู้จัดการ" เท่าที่ตรวจหลักฐานงบการเงิน ณ สิ้นปี 2528 ขาดทุนสะสมอยู่ถึง 71.7 ล้านบาท

..เป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ปูนเข้าไปเทคโอเวอร์ ผลประกอบการไม่เป็นไปตามแผน" คนปูนเองกล่าว

อินเตอร์เนชันแนล เอนยิเนียริ่ง(ไอิรผงร) มีประวัติยาวนานมาก ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสงครามระเบิดขึ้นญี่ปุ่นบุกเเเข้ามาในประเทศเจ้าของกิจการซึ่งเป็นอเมริกันจึงถอนตัวออกจากประเทศไทยไปจนถึง ปี 2495 เฮอร์แมน เฟรด โชลท์ส เจ้าของกิจการคนเดิมก็หวนกลับมาใหม่ ร่วมมือกับพระยาศรีวิจารวาจา (พี่ชาย สมหมาย ฮุนตระกูล) ตั้งบริษัทอีกครั้งมีหนักงานเก่าหลายคนถือหุ้นร่วมทั้งเทียม กาญจนจารี บริษัทมีทุนจะทะเบียน 10 ล้านบาทมาคราวนี้ โชลท์สไม่เอาการเอางานเหมือนก่อน การบริหารจริง ๆ จึงตกอยู่ในมือคนไทย จนปี 2512 เขาก็ขายหุ้นให้คนไทยทั้งหมด โดยเฉพาะเทียม กาญจนจารี ประหยัดอังศุสิงห์ กิจการนำเข้าเครื่องจักรกล เครื่องมือสื่อสาร โทรคมนาคม ในระยะแรกก็ดำเนินไปด้วยดี แต่ในราวปี 2522 ไออีซี ไม่สามารถชิงความเป็นดีลเลอร์เครื่องจักรคาเตอร์พิลลาร์ (CATER PILLAR) ซึ่งครองตลาดประเทศไทยมานานไว้ได้ อันถือได้ว่าเป็นการพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ของไออีซีทีเดียว กิจการเริ่มมีปัญหา ด้วยสายสัมพันธ์ที่ดีในปี 2526 ธนาคารไทยพาณิชย์และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าถือหุ้น ในปีถัดมา (ปี 2527) ปูนซิเมนต์ไทยก็เข้าถือหุ้น 25%

"เจ้าของเก่าไม่ต้องการให้กิจการเก่าแก่ต้องล้มไป" ผู้รู้เผยแรงจูงใจขอให้ปูนเข้าแก้ไขวิกฤติการณ์" โดยมีข้อแม้ว่าจะไม่เปลี่ยนชื่อ ทั้ง ๆ ตกลงขายให้ราคาถูกกว่าบางรายเสนอมาในเวลาเดียวกันด้วย" อันเป็นที่ทราบกันว่ากิจการหลายแห่งเครือซีเมนต์เข้าไปถึงหุ้นใหญ่และบริหารได้เปลี่ยนชื่อเป็นส่วนใหญ่มักจะมีคำว่าสยามนำหน้าแต่ ไออีซีวันนี้ยังคงเป็นไออีซี

ไทยอินดัสเตรียลฟอร์จจิงส์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของปูนซีเมนต์ไทยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2516 ถือหุ้นถึง 50% ร่วมทุนกับ เบอร์ลี่ยุคเกอร์และ ออสเตรียเลียนเนชั่นแนว อินดัสตริส์ครั้งแรกเลือกโนว์ฮาวจากเยอร์มัน จากทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาทเพียงปีเศษ ๆ ต้องเพิ่มทุนเพิ่ม 20 ล้านบาทจนถึงประมาณปี 2521 สถานการณ์ย่ำแย่มาก ๆ ฝรั่งต่างชาติถอนตัวออกหมดทิ้งหนี้เอาไว้จำนวนมากธนาคารไทยพาณิชย์ต้องเข้ารับซื้อหุ้นส่วนนั้นไว้ทั้งหมดในฐานะเจ้าหนี้ ในที่ประชุมมีการเสนอให้ปูนซิเมนต์ไทยบริหารงานตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2521 แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ อันเนื่องจากปัญหาหนี้สินกับธนาคารไทยพาณิชย์ต่อมาธนาคารไทยพาณิชย์ได้ฟ้องล้มละลายบริษัทเจรจาประนอมหนี้โดยขอชำระเพียง 25% ใน 1ปี แบ่งชำระเป็น 4 งวดโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเจ้าหนี้เห็นว่าน้อยเกินไปมีการเจรจาต่อรองจนได้ 28% หรือประมาณ 20 ล้านบาท ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้ของบริษัทก่อนล้มละลายเมื่อต้นปี 2528 เป็นว่ารอดการล้มละลายไปได้ ในตอนนั้นปูนซิเมนต์ไทยโดยบริษัท นวโลหะได้เข้าซื้อกันทั้งหมดประมาณกลางปี 2528จึงเริ่มการดำเนินการใหม่

กิจการผลิตภัณฑ์เหล็กทุบ ลูกหมากรถบรรทุก ตะขอ ขาสตารท์มอเตอร์ไซร์ ของบริไทยอินดัสเตรียลฟอร์จจิ่งส์ ที่ปทุมธานี ปัจจุบันดีขึ้นตามลำดับหลังจากได้รับเงินอัดฉีดเข้าไปใหม่

อีกกรณีที่ผู้ถือหุ้นต่างชาติกลุ่มเดียวกันบ. สยามบรรจุภัณฑ์ซึ่งก่อตั้งในปี 2514 ด้วยความริเริ่มและถือหุ้นโดยเบอร์ลิ่ยุกเกอร์และออสเตรีย คอนโซลิเดเต็ดอินดัสตรีพอเริ่มมีปัญหากิจการ ปูนซิเมนต์ไทยก็เข้าไปในปี 2522ทั้งชักนำฮอนชูเปเปอร์ของญี่ปุ่นเข้าไปด้วยในฐานะเจ้าของเทคโนโลยีอุตสาหกรรมกระดาษและเพิ่มทุนอย่างมากจาก 9 ล้านบาทเป็น 80 ล้านบาทในปี 2524 เบอร์ลี่ยุกเกอร์กับออสเตรียได้ถอนตัวอย่างสิ้นเชิงในปีนั้นด้วย

บริษัทท่อธารา จดทะเบียนวันที่ 20 มีนาคม 2527 ด้วยทุน 60 ล้านบาท (นำไปฝากธนาคารกสิกรไทย) ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนี้ได้ทำสัญญากู้เงินระยะยาวกับธนาคารในประเทศ 4 แห่งเป็นจำนวนเงิน 165 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดิน อาคาร โรงงาน เครื่องจักรจากบริษัทท่อใยหินที่เขตราดกระบัง ด้วยอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ การชำระหนี้จะสินสุดในปี 2535 ถึง 2537 ในขั้นแรกเพื่อแก้ปัญหาสินค้าผลิตออกมาจะมีปัญหาด้านตลาด ในวันที่ 9 ตุลาคม ปีเดียวกันได้ทำสัญญาขายผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ให้กับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย และบริษัทกระเบื้องกระดาษไทยเป็นเวลา 3 ปีซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อสิ้นเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านไปนี้ ซึ่งคาดกันว่าต้องสัญญากันต่อไป

บริษัทไทยวนภัณฑ์ จดทะเบียนเป็นบริษัทใหม่เอี่ยมหลังจากบริษัทท่อธาราเพียง 1 เดือน ด้วยเงินทุนเริ่มแรก 1 แสนบาท ต่อมาวันที่ 4 ตุลาคมปีเดียวกันได้เพิ่มทุนเป็น 85 ล้านบาท อันเป็นที่เข้าใจกันว่าบริษัทใหม่ที่เพิ่มทุนรวดเร็วมากมายขนาดนี้ คือการตั้งบริษัทไปรับซื้อกิจการอื่น ซึ่งปกติบทเรียนที่ผ่านมาของเครือซิเมนต์ไทยจะรับซื้อกิจการบริษัทต่อบริษัท แต่รายไทยวนภัณฑ์ได้ซื้อโรงงานไม้อัดของบริษัทศรีมหาราชาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ศรีราชา ซึ่งพินิต วงศ์มาสา กรรมการผู้จัดการบริษัทไทยวนภัณฑ์เปิดเผยกับ " ผู้จัดการ"ซื้อเฉพาะโรงงาน ส่วนที่ดินนั้นบริษัทศรีมหาราชาให้เช่าในอัตราที่ถูกมาก ขณะเดียวกันก็ซื้อที่ดินและโรงงานทั้งหมดของบริษัทไทยทักษิณป่าไม้ ย่านถนนปู่เจ้าสมิงพรายของอภิวัฒน์ นันทา

ภิวัฒน์ (น้องชายสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการจัดการธนาคารแหลมทองคนปัจจุบัน) ในราคาที่แจ้งต่อกระทรวงพาณิชย์ 15 ล้านบาท แต่พินิต วงศ์มาสา บอกว่า "คงไม่ถูกเช่นนั้น" โรงงานของไทยทักษัณมีอายุมาแล้ว 25ปี ซึ่งดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกันมาอยู่ด้วยกันในปลายปี 2527 นั้นบริษัทได้จ้างบริษัทในใต้หวันให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับความชำนาญพิเศษ ทักษะเพื่อดำเนินธุรกิจด้านไม้ยางพารา ไม้ยางสลับชั้น และผลิตภัณฑ์อื่นที่ทำจากไม้ เป็นเงินประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อมาในเดือนมีนาคม 2528 บริษัทใต้หวันได้เข้าถือหุ้นในบริษัทไทยวนภัณฑ์ 45 %

โรงงานนี้เพิ่งเปิดได้ประมาณ 2 ปี พินิต วงศ์มาสา กรรมการผู้จัดการมั่นใจจะสามารถพลิกทำกำไรก่อนเวลาอย่าง 5 ปี แน่นอน

บริษัทกระเบื้องทิพย์เกิดขึ้นระยะไล่เลี่ยกับริษัทไทยวนภัณฑ์มาก จนถึงกลางเดือนกันยายน 2527 บริษัทได้เพิ่มทุนจาก 1 แสนบาทเป็น 50 ล้านบาท ตามสูตรเข้ารับซื้อกิจการผลิตกระเบื้องมุงหลังคา จากบริษัทซุปเปอร์แมน ย่านถนนสุขสวัสดิ์ สมุทปราการ ซึ่งได้ตกลงซื้อขายกันต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2528 (อย่างเป็นทางการ) โดยเครือซิเมนต์ไทยได้เข้าไปดำเนินกิจการราวๆ ปลายเดือนตุลาคม ปี 2527แล้ว

บริษัททั้ง 3 ท่อธารา ไทยวนภัณฑ์ และกระเบื้องทิพย์อยู่ในกลุ่มวัสดุก่อสร้างโดยบริษัทไทยวนภัณฑ์ดำเนินกิจการขนาดค่อนข้างใหญ่ การบริหาร จึงเหมือนบริษัทในเครือซิเมนต์ไทยทั่วไป ส่วนบริษัทท่อธาราและกระเบื้องทิพย์ นั้นบริษัทกระเบื้องกระดาษไทยซึ่งดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกันมาก ทำหน้าที่คล้าย ๆ กับบริษัทแม่เพราะถือหุ้นจำนวนมาก

ร่วมทุนกับต่างประเทศ

เป็นแนวทางพื้นฐานของนักลงทุนไทยที่แสวงหาเทคโนโลยีสูงขึ้น ซึ้งต้องใชั้เวลาถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้นพอสมควรเป็นเป้าหมายสำคัญ เครือซิเมนต์ไทยก็เช่นกัน ในครั้งแรกร่วมทุนกับญี่ปุ่นตั้งบริษัทสยามคูโบต้าผลิตและจำหน่ายเครื่องยนต์การเกษตรในปี 2521 ก็ต้องถือเป็นอุตสาหกรรมก้าวหน้าเพื่อพัฒนาการผลิตพื้นฐานของสังคมไทย กลุ่มเยื่อและกระดาษก็แสวงหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากการร่วมทุนกับใต้หวันและญี่ปุ่น "เทคโนโลยีใต้หวัน หาได้ง่ายช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีส่วนของญี่ปุ่นก็ถือว่าดีกว่า" ผู้บริหารกลุ่มนี้กล่าว

ในช่วงปี 2529 ถึงปัจจุบันนี้เป็นแนวที่เครือซีเมนต์ไทยกำลังจะก้าวไปลงทุนอาศัยเทคโนโลยีมากขึ้น การร่วมลงทุนจากต่างประเทศจึงเกิดขึ้นถี่ เริ่มตั้งแต่บริษัทไทยอาร์ที ผลิตหลอดภาพทีวีด้วยร่วมทุนกับมิตซูบิชิ และสำคัญอย่างยิ่ง บริษัทสยามโตโยต้าอุตสาหกรรม บริษัทร่วมทุนกับโตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์ใใหญ่ที่สุดในญี่ปุนเป็นประกาศการร่วมทุนครั้งยิ่งใหญ่มากดครงการหนึ่งสำหรับอนาคตอุตสาหกรรมรถยนต์อันจะเกิดขึ้นในประเทศไทย

การเติบโตอย่างก้าวร้าวของปูนใหญ่ถูกตั้งคำถามว่ามีแรงจูงใจมาจากอะไร?

"การขยายตัวเพื่อความอยู่รอดและความมั่นคงของเครือซีเมนต์ไทยกระจายความเสี่ยง ไม่อาศัยอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี มีผลกระทบถึงกิจการก็ไม่กระทบทั้งหมด" พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา กล่าวถึงแรงจูงใจนั้นกับ" ผู้จัดการ"

ทวี บุตรสุนทร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส กล่าวว่า การขยายตัวของเครือซีเมนต์ไทยเป็นความจำเป็นของธุรกิจ เนื่องจากระยะใกล้เครือซีเมนต์ไทยขยายตัวอย่างมากโดยเฉพาะการแก้ไขวิกฤตการณ์กิจการต่างๆ และจากประสบการณ์ของปูนใหญ่เอง ได้กำหนดเป็นแผนฟื้นฟู หรือดำเนินธุรกิจใหม่ว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 5 ปี ก็จะยืนอยู่ได้อย่างสง่าผ่าเผย " โปรเจ็คต่างๆ มันได้ผล CASH IN FLOW มันมาก ซึ่งไม่ใช้กำไรแต่เป็นเงินสดที่มาจากการขายสินค้า CASH GENERATION มากเกินไปต้องปรับให้พอดีด้วยการลงทุน

แนวคิดนี้เป็นหัวใจของการบริหารธุรกิจสมัยใหม่ เรียกกันว่าการบริกหารหนี้สิน (LIABILITY MANAGEMENT) พารณ กล่าวว่า ตัวเลขการลงทุนกำหนดไว้จากนี้ไป 5 ปีประมาณหนึ่งหมื่นล้านบาท พิจารณาจากสัดส่วนของหนี้สินกับส่วนของผู้ถือหุ้น (debt-equity ratio ) หรือความสามารถในการก่อหนี้ 3 ต่อ 1 เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจะพบ debt-equity ratio ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 3 ต่อ 1 เสมอมาท่ากับว่าแนวนโยบายการลงทุนของเครือซิเมนต์ไทยจากนี้ไปมีลักษณะรุกมากขึ้น

อภิพร ภาษวัธน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทไทยโพลีเอสทีลีน เจ้าของโครงการผลิตเม็ดพลาสติกมูลค่า 2300 ล้านบาทกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าแนวการลงทุนของเครือซิเมนต์ไทย เป็นการไต่บันไดการวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมของโลก ซึ่งกำลังวิ่งไล่หลังกับไต้หวัน เขาชี้ว่าเครือซิเมนต์ไทยเริ่มลงทันในกิจการที่ใช้เทคโนโลยีไม่สูงนักปูนซีเมนต์

เข้าสู่การถลุงเหล็ก ผลิตเยื้อและกระดาษ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล ต่อจากนี้ก็คือการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้นตามลำดับ ได้แก่ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอิเล็คทรอนิคกส์

ดังนั้นเครือซิเมนต์ไทยย่อมหยุดไม่ได้ หากหยุดก็เท่ากับว่าการพันาอุตสาหกรรมของไทยก็หยุดไปด้วย

กลุ่มปูนซิเมนต์และวัสดุทนไฟ เติบโตไปเรื่อยตามฐานอันแข็งแรง กลุ่มวัสดุก่อสร้างอันเป็นกลุ่มที่ DYNAMIC อย่างสูง เพราะมีสินค้าจำนวนมาก ตลาดกว้างขวาง แม้ว่าปูนซิเมนต์ไทยจะมีสินค้าพื้นฐานอยู่แล้วยังจำเปป็นต้องพัฒนาอยู่ไม่หยุด ผู้จัดการใหญ่ปูนใหญ่คนปัจจุบันยอมรับกับ " ผู้จัดการ" เป็นกลุ่มที่ต้องใช้กลยุทธ์ทางด้านการตลาดมากที่สุด ยิ่งเมื่อ อมเรศ ศิลาอ่อน ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส วึ่งกล่าวกันว่าเป็นเซียนการตลาดมุ่งดำเนินแผยเชิงรุกมารับผิดชอบตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม นี้เป็นต้นไปด้วย จากนี้อุตสาหกรรมด้านนี้ คงมีเรื่องราวสนุก ตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกมากมาย กลุมเยื้อกระดาษเป็นความภาคภูมิใจของผู้บริหารระดับสูงของปูนเกือบถ้วนหน้า ซึ่งถือได้ว่าสถาปนากลุ่มอันแข็งแรงที่สุดรองลงมาจากกลุ่มหลักปูนซิเมนต์และวัสดุทนไฟทีเดียว

กลุ่มเครื่องจักรกล พารณ อิศรเสนา บอกว่ายังคงค่อยเป็นค่อยไป ยังไม่รีบร้อนบางคนคาดว่าหลังจากเครือซิเมนต์ไทยทะยานร่วมทุนกับโตโยต้าผลิตเครื่องยนต์รถปีกอัฟคราวนี้หมายถึงกำลังจะบุกคืบหน้าไปอีกขั้ยนั้น พารณ กล่าวว่า " เราค่อยๆ ไป ยังไม่รีบร้อน ตอนนี้เพียงผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่"

กลุ่มการค้าเป็นกลุ่มยังต้องใช้ความพยายามอีกมากในทัศนะของพารณ ซึ่ง ดุสิต นนทะนาคร กรรมการผู้จัดการค้าสากลซีเมนต์ใหม่กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่ากลุ่มนี้สถาปนาเพื่อเป็นช่องทางสำหรับอนาคตเพื่อปรับความสมดุลอุสหกรรมต่างๆ ของปูนในประเทศ โดยเฉพราะอย่างยิ่งในกรณีผลิตล้นเกินความต้องการภายในประเทศ

ปี 2530 แท้จริงแล้วเป็นปีที่เครือซีเมนต์ไทยกำลังปูพื้นฐานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี หรืออุตสาหกรรมพลาสติก

บริษัทแปซิฟิกพลาสติคส์ (ประเทศไทย) ก่อตั้งเมื่อมีนาคม 2518 โดยมี DOW CHEMICAL NV. NETHER-LAND ถือหุ้น 100% จากทุนจดทะเบียนครั้งแรก 10 ล้านบาท ดำเนินการผลิตเม็ดพลาสติคโฟลีสไตรีน โดยได้รับการส่งเสริมระบุว่า ต่อไปนี้ต้องมีหุ้นของคนไทยไม่ต่ำกว่า 40% อันเป็นสาเหตุสำคัญในเวลาต่อมาที่เครือซีเมนต์ไทยได้เข้าร่วมทุนด้วย

ภายหลังได้บัตรส่งเสริมในปีเดียวกันนั้น แปซิฟิกพลาสติคส์ได้เพิ่มทุนรวดเร็วเป็น 64 ล้านบาท ตามมาด้วยโรงงานผลิตเม็ดพลาสติค ซึ่งเป็นวัสดุดิบผลิตภาชนะพลาสติค ที่บางนา จากนั้นอีก 7,500 ตัน/ปี ปัจจุบันยอดขายอยู่ในระดับ400 ล้านบาท ส่วนกำไรในปีที่ตกต่ำ ประมาณ 10 ล้านบาท และสูงประมาณ 40 ล้านบาท ในปีปกติ จนถึงต้นเดือนมีนาคม 2530 เครือซีเมนต์ไทยก็เข้าถือหุ้น 48 % เทียน อัชกุล กรรมการ พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และที่ขาดไม่ได้สำหรับบุกเบิกกิจการใหม่ๆ คือ ชุมพล ณ ลำเลียง ทั้งสามคนเข้าเป็นกรรมการใหม่ทันทีในบริษัทแปซิฟิก พลาสติคส์ (ประเทศไทย)

แหล่งข่าวกล่าวว่า หากแปซิฟิก พลาสติคส์ไม่เปิดโอกาสให้คนไทยถือหุ้นความเป็นไปในการขยายกิจการก็ไม่มี ครั้นเลือกก็เลือกเครือซีเมนต์ ซึ่งเป็น" พารท์เนอร์ "ที่ดีที่สุด

กลางเดือนพฤษภาคมนี้ บริษัทไทยโฟลีเอททีลีนก้าวหน้าถึงจุดสำคัญได้ทำสัญญาซื้อเทคโนโลยีการผลิตเม็ดพลาสติคชนิดลีเนียร์ โลวเดนซีตี้ โพลีเอททีลีน กับบริษัทบีพีเคมีคอล อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งอังกฤษและร่วมมือเซ็นสัญญากากจัดหาเครื่องจักรกับบริษัทมิตซุยเอนยิเนียริ่ง แอนด์ชิปปิ้งและมิตซุยแอนด์โก แห่งญี่ปุ่นโครงการนี้คาดกันว่า ปี 2532 คงจะเสร็จซึ่งใกล้ความจริงมากแล้ว

ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมิถุนายนนี้ อมเรศ ศิลาอ่อน ออกแถลงการณ์ข่าวครั้งสุดท้ายก่อนพ้นหน้าทีรับผิดชอบสายบริการกลางด้วยประกาศ ซื้อหุ้นของบริษัท คัสตอม-แพค บริษัทนี้ก็คือผู้ผลิตสินค้าสำเร็จรูปต่อเนื่องจากวัตถุดิบของบริษัทแปซิฟิก พลาสติคส์ (ประเทศไทย)นั่นเอง คัสตอมแพคเคยเป็นกิจการในเครือของไวท์กรุ๊ปก่อตั้งเมื่อปี 2521 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท ปูนใหญ่เข้าถือหุ้นจำนวน 40% เท่ากับไวท์กรุ๊ป

การเดินทางอย่างครบวงจรในอุตสาหกรรมผลิตพลาสติกของเครือซิเมนต์ไทยได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

ในรายงานประจำปีบริษัทปูนซิเมนต์ไทยปี 2529 รูปเล่มสวยงามตามเคยภาพปกแสดงจินตนาการถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน 6 กลุ่มเป็นรูปหกเหลี่ยม หกรูปก่อฐานเป็นโครงสร้างสามเหลี่ยมใหญ่ในบรรดารูปหกเหลี่ยมเล็กหกรูปนั้นห้ารูปแจ่มชัดแก่บุคคลทั่วไปแล้ว แสดงถึงกลุ่มอุตสาหกรรมของเครือซิเมนต์ไทยตั้งแต่กลุ่มปูนซิเมนต์วัสดุทนไฟ กลุ่มวัสดุกระดาษ การค้า ส่วนสุดท้ายภาพจงใจโชว์ให้เห็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอย่างชัดเจน

ทั้งนี้กลุ่มนี้ยังไม่สถาปนาอย่างไม่เป็นทางการก็ตาม

ส่วนจะมองไกลออกไปอีกว่าเครือซิเมนต์ไทยจะขยายอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิคนั้นยังไม่แจ่มชัด "เรื่องอิเลคทรอนิคเราจะต้องดูก่อนว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดีถ้าปิโตรเคมีเราต้องเอา" พารณกล่าวอย่างหนักแน่น

แม้ว่าเครือซิเมนต์ไทยเริ่มกรุยทางสู่อุตสาหกรรมพอสมควร ตั้งแต่โครงการผลิตจอภาพทีวีซึ่งได้เซ็นสัญญากับมิซูบิชิเป็นที่เรียบร้อย หรือใกล้เคียงกันโครงการผลิตคอมเพรสเซอร์ ชิ้นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าก็อยู่ในระยะเข้าด้ายเข้าเข็มก็ตาม

ในการสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการกับพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยาผู้จัดการใหญ่เครือซิเมนต์ไทยเมื่อต้นเดือน กรกฎาคม นี้กับ "ผู้จัดการ" เขาได้กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในอนาคตไว้แจ่มชัดมาก

"นโนบายหลักของเราจะไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมที่เป็น LABOR INTENSIVE เพราะเราเป็นบริษัทที่จ่ายค่าแรงค่อนข้างสูงโดยจะเน้นการลงทุนที่เป็น CAPITAL INTENSIVE และ MODERN TECHNOLOGY ใน 6 - 7 อย่างที่ดำเนินการอยู่แล้ว"

เขาเน้นอีกว่าจะเป็นฝ่ายรุกมากขึ้นมิใช่รอให้ใครมาขอให้เข้าไปช่วยเช่นที่ผ่านมา "ประสบการณ์ของเราเห็นว่าการเข้าไปกู้สถานการของบริษัทที่แย่หนักมากสู้ตั้งอุตสาหกรรมที่ใหม่ไม่ได้" เขากล่าวอย่างแจ่มชัด

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us