Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา มิถุนายน 2552
Call Center โตตามกระแส Outsourcing             
 


   
www resources

โฮมเพจ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

   
search resources

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, บจก.
Call Center




ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเชื่อว่าจากแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้ที่คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างมาก ส่งผลกระทบให้ภาคธุรกิจต้องพยายามพยุงสถานะให้อยู่รอดท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้น โดยหลายธุรกิจหันมาปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงหรือปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

วิธีการหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือการหันไปใช้บริการบางส่วนจากผู้ให้บริการภายนอก (Outsourcing) ที่มีความเชี่ยวชาญและมีต้นทุนในการดำเนินการที่ต่ำกว่า โดยเฉพาะบริการคอลเซ็นเตอร์ (Call Center) ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างมากของธุรกิจในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management) ในยุคที่มุ่งเน้นกลยุทธ์ให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric Strategy) เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ตรงตามความต้องการมากที่สุด

ส่งผลให้เกือบทุกธุรกิจจะต้องมีบริการคอลเซ็นเตอร์ที่จะตอบข้อซักถามและรับฟังปัญหาเพื่อนำส่งต่อไปให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับวิกฤติเศรษฐกิจก็ยิ่งผลักดันให้หลายธุรกิจหันมาใช้บริการคอลเซ็นเตอร์จากผู้ให้บริการภายนอกมากขึ้น

บริการคอลเซ็นเตอร์ที่ได้รับความนิยมในการใช้บริการเป็นอย่างมาก เนื่องจากการให้บริการคอลเซ็นเตอร์เป็นงานที่เอื้ออำนวยและง่ายต่อการแยกออกไปดำเนินการภายนอก ขณะเดียวกันบริการคอลเซ็นเตอร์ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าทั้งในส่วนของลูกค้าใหม่ที่คอลเซ็นเตอร์สามารถชักจูงและดึงดูดลูกค้าให้มาสนใจซื้อสินค้าหรือบริการ รวมทั้งลูกค้าเก่าที่คอลเซ็นเตอร์จะดูแลและให้บริการหลังการขาย

ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ปัจจุบันเกือบทุกธุรกิจไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กก็จะต้องมีบริการคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งบริการคอลเซ็นเตอร์จะต้องใช้พนักงานจำนวนมากและหลายบริษัทก็ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง มีต้นทุนในการดำเนินงานสูง จึงเป็นที่มาให้หลายธุรกิจหันมาจ้างเอาท์ซอร์สในการให้บริการแทน

แนวโน้มการเติบโตของการจ้างเอาท์ซอร์สเพื่อให้บริการคอลเซ็นเตอร์มีแนวโน้มขยายตัวอย่างมาก โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเป็นจำนวนมากที่มีการจ้างบริการเอาท์ซอร์สจากประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (Cost Efficiency)

กรณีดังกล่าวเห็นได้จากมูลค่าธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ของประเทศอินเดียที่มีมูลค่าสูงมาก โดยมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 385,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากการที่บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ และยุโรปโอนย้ายหน่วยงานหรือหันมาใช้บริการคอลเซ็นเตอร์ของอินเดียเป็นศูนย์ให้บริการ ซึ่งถือว่ามีต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำกว่าในสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะค่าจ้างแรงงาน ขณะที่พนักงานชาวอินเดียก็มีพื้นฐานภาษาอังกฤษจึงไม่เป็นอุปสรรคในการให้บริการ

อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ในประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งมีมูลค่าสูงเช่นเดียวกัน โดยมีมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 245,000 ล้านบาท เนื่องจากฟิลิปปินส์เป็นประเทศหนึ่งที่ประชากรสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทข้ามชาติหันมาใช้บริการเอาท์ซอร์สจากธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ของฟิลิปปินส์ซึ่งมีค่าจ้างแรงงานที่ค่อนข้างถูก อีกทั้งรัฐบาลฟิลิปปินส์ยังสนับสนุนและส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ด้วย โดยมีการพัฒนาบุคลากรและวางแผนขยายธุรกิจดังกล่าวไปสู่เมืองอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยสมาคมปฏิบัติการทางธุรกิจของฟิลิปปินส์ (Business Processing Association of the Philippines: BPAP) ตั้งเป้าว่าในปี 2553 ธุรกิจคอลเซ็นเตอร์จะมีมูลค่าสูงถึง 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับประเทศไทยธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ก็มีแนวโน้มที่เติบโตมากขึ้น หลายธุรกิจได้ยกเลิกฝ่ายหรือแผนกคอลเซ็นเตอร์ในบริษัทของตน แล้วหันไปใช้บริการจากเอาท์ซอร์สแทน หรือบางธุรกิจก็หันไปใช้เอาท์ซอร์สคอลเซ็นเตอร์ในตั้งแต่เริ่มต้นเปิดให้ดำเนินการ โดยในกรณีที่ภาคธุรกิจจะดำเนินการให้บริการคอลเซ็นเตอร์เองจะต้องลงทุนทั้งบุคลากรและระบบไอที ทำให้ไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยที่ผ่านมาธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดกว่า 3,000-3,500 ล้านบาท

ในภาพรวมของตลาดพบว่าลูกค้ากว่าร้อยละ 70 จะเป็นภาคธุรกิจซึ่งมักจะนิยมใช้บริการคอลเซ็นเตอร์แบบครบวงจร ส่วนอีกร้อยละ 30 จะเป็นหน่วยงานภาครัฐโดยบางหน่วยงานก็จะใช้บริการอย่างครบวงจร ขณะที่มีบางหน่วยงานจะใช้บริการเพียงติดตั้งระบบ ส่วนด้านพนักงานบริการข้อมูลจะดำเนินการเอง

ขณะนี้ภาวะการแข่งขันในตลาดถือว่าเริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้นจากเมื่อหลายปีก่อนที่ยังมีผู้ให้บริการในธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ไม่มากนัก โดยในอดีตผู้ให้บริการในตลาดจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนอย่างชัดเจน ได้แก่ ผู้ให้บริการในกลุ่มธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ผู้ให้บริการในกลุ่มธุรกิจไอที และผู้ให้บริการธุรกิจคอลเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะเสนอบริการที่แตกต่างกันออกไปตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

แต่ในปัจจุบันเมื่อกระแสเอาท์ซอร์สซิ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนขององค์กร อีกทั้งการให้บริการในธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ก็มีความเกี่ยวเนื่องกัน ทำให้ผู้ให้บริการส่วนใหญ่หันมาให้บริการอย่างครบวงจร เพื่อขยายบริการและขยายกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้นด้วย และทำให้มีผู้ให้บริการเข้ามาแข่งขันในตลาดเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากโอกาสการเข้าสู่ตลาดยังพอมีอยู่ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ในปีนี้ภาวะการแข่งขันในตลาดภายในประเทศน่าจะมีแนวโน้มแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น

ส่วนตลาดต่างประเทศแม้จะเริ่มมีการขยายตลาดออกไปมากขึ้น แต่ก็ยังถือว่ามีจำนวนไม่มากนัก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอินเดียและฟิลิปปินส์ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในต่างประเทศ โดยผู้ให้บริการไทยที่ขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศอาจแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การให้บริการเอาท์ซอร์สคอลเซ็นเตอร์แก่ลูกค้าในต่างประเทศ และการเข้าไปลงทุนโดยตรงในการติดตั้งระบบและบริการอย่างครบวงจรในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เวียดนาม กัมพูชา เป็นต้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าในปีนี้ธุรกิจคอลเซ็นเตอร์อาจมีแนวโน้มที่ดีแตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องเผชิญวิกฤติจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจซบเซา โดยธุรกิจคอลเซ็นเตอร์จะได้อานิสงส์จากการที่ธุรกิจอื่นๆ ต้องปรับลดค่าใช้จ่ายลง จึงมีการหันมาใช้บริการเอาท์ซอร์สคอลเซ็นเตอร์มากขึ้น รวมทั้งการขายสินค้าและบริการผ่านทางคอลเซ็นเตอร์ก็มีมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ประกอบกับแม้หลายธุรกิจอาจหันมาใช้บริการเอาท์ซอร์สคอลเซ็นเตอร์มากขึ้นก็ตาม

แต่จากวิกฤติเศรษฐกิจก็อาจทำให้กำลังซื้อของภาคธุรกิจลดลงไปด้วย จึงคาดว่าจะส่งผลให้ผู้ให้บริการในธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ อาจต้องปรับลดราคาลงเพื่อแย่งชิงลูกค้าและเพื่อให้สอดคล้องกับ กำลังซื้อของลูกค้าที่ลดลงด้วย โดยคาดว่ามูลค่าตลาดของธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ในปี 2552 จะมีประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนประมาณร้อยละ 15-20 แม้จะเติบโตในระดับที่ต่ำกว่าอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยของธุรกิจนี้ที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 20-30

แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องอยู่ในภาวะหดตัว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us