ซิตี้กรุ๊ป บริษัทแม่ซิตี้แบงก์จากแดนมะกัน คาดเงินฝรั่งไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่
(Emerging markets) รวมทั้งหุ้นไทยต่อเนื่อง ขณะที่ผู้จัดการกองทุนยุโรปห่วงบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยเตรียมใช้กลยุทธ์รับมือ
หากเศรษฐกิจโลกและเอเชียไม่เติบโตตามคาด ขณะที่ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI)
ปรับเพิ่มจนถึง ปัจจุบัน 170.55% จากวันฐาน (2 ก.ย. 2545) มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพิ่มกว่า
1,393% จากสิ้นปี 2544 ขณะที่บริษัทจดทะเบียนใน MAI กำไรเพิ่มเกือบ 1,000%
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าววานนี้
(16 ก.ค.) จากลอนดอนว่าผลเดินทางโรดโชว์ในอังกฤษครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนต่างชาติใน
ยุโรป ซึ่งมีมุมมองที่ดีกับตลาดหุ้นไทย เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจริง รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเติบโตต่อเนื่อง
นายกิตติรัตน์กำลังนำคณะเดินทางเสนอข้อมูล (โรดโชว์) นักลงทุนต่างชาติที่อังกฤษ
โดยนำบริษัทจดทะเบียน 9 แห่งพบผู้จัดการกองทุน 35 สถาบันจะเดินทางโรดโชว์ในสหรัฐอเมริกา
17-18 ก.ย.นี้
การโรดโชว์รอบนี้ เขากล่าวว่าทำให้รับรู้ว่า ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ สนใจการพัฒนาและการ
ทำงานตลาดหุ้นไทย พวกเขาต่างรับรู้ว่าระหว่างสำนักงานก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์
ร่วมมือผลักดันกฎเกณฑ์หลักธรรมาภิบาลที่ดี 15 ข้อ ในตลาดทุนไทย รวมทั้งสนใจการที่ตลาดหลักทรัพย์ตั้ง
กองทุนลงทุนหุ้น
คาดเงินฝรั่งไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจโลกกำลังจะปรับตัว ขณะที่นาย Jim Cowles หัวหน้าฝ่ายการลงทุนหลักทรัพย์
(Head of Equity) ซิตี้ กรุ๊ป (City Group) บริษัทแม่จากซิตี้แบงก์ แสดงความเห็นว่า
เงินส่วนใหญ่จะไหลเข้าตลาดทุนรวมถึงตลาดหุ้น เอเชียต่อเนื่องจะทยอยเข้า ขณะที่ตลาดตราสารหุ้นกู้
จะอ่อนตัวลง เนื่องจากผลตอบแทนต่ำลง
ตลาดหุ้นที่เงินจะไหลเข้า จะเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) โดยทวีปยุโรป
ได้แก่ ตลาดหุ้นโปแลนด์ หรืออาจไหลเข้าบางประเทศแถบอเมริกาใต้ ส่วนเอเชียตะวันออก
ตลาดหุ้นน่าสนใจ ได้แก่ เกาหลีใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายประเทศ รวมทั้งตลาดหุ้นไทย
กองทุนตะวันตกที่ร่วมรับฟังโรดโชว์ครั้งนี้ 80% ลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้ว 20%
ยังไม่ได้ลงทุน ขณะที่บริษัทที่นำไปโรดโชว์ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Market
Capitalization) เพียง 13% ของมูลค่าตลาดรวม หากกองทุนตะวันตกจะลงทุน ก็ใช้เงินไม่สูง
จึงน่าจะได้รับความสนใจบ้าง เมื่อโรดโชว์ นายกิตติรัตน์กล่าวว่าต้องมีความหวังว่า
กองทุนเหล่านี้ จะลงทุนหุ้นไทยเพิ่ม
กองทุนสน PTT-SHIN-EGCOMP
บริษัทจดทะเบียนไทยที่ได้รับความสนใจจากผู้จัดการกองทุน ซึ่งร่วมประชุมหลายครั้ง
ได้แก่ บริษัท ปตท. (PTT) ภายใน 2 ร่วมประชุม 16 ครั้ง บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น
(SHIN) 14 ครั้ง บริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCOMP) มากกว่า 10 ครั้ง
บริษัทขนาดกลาง ได้แก่ บริษัท อาปิโก้ ไฮเทค (APICO) ได้รับความสนใจ มีข้อเสนอให้ตลาดหลัก
ทรัพย์นำบริษัทขนาดกลางร่วมในการโรดโชว์ครั้งต่อไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทที่ร่วมโรดโชว์ครั้งนี้ ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บริษัท
เงินทุนทิสโก้ (TISCO) บริษัท แสนสิริ (SIRI) บริษัท ชิโนไทย เอ็นจิเนียริ่ง ((SINO)
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย (GMMM)
เขากล่าวว่าตลาดหลักทรัพย์มีแผนจะจัดโรดโชว์ในประเทศไทย เพื่อเสนอข้อมูลนักลงทุนสถาบัน
ได้แก่ กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการอีกด้วย
MAI ฉลอง 2 ปี ดัชนีทะยานกว่า 170%
ทางด้านนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานกรรมการบริหารศูนย์ระดมทุน และตลาดหลัก
ทรัพย์ใหม่ เปิดเผยว่าตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (Market for Alternative Investment :MAI)
จะดำเนินงานครบ 2 ปี 17 ก.ย.นี้ ตั้งแต่ปี 2544 จนถึง 15 ก.ย. การซื้อขายหุ้นตลาด
MAI ได้รับความสนใจจาก ผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เห็นได้จากมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น จากวันละไม่ถึง 10 ล้านบาท ถึงประมาณ
10 เท่า เพิ่มเป็นประมาณวันละกว่า 100 ล้านบาท โดยปี 2544 มูลค่าเฉลี่ยต่อวัน 8.13
ล้านบาท ขณะที่ปีนี้ โดยเฉพาะช่วงก.ค. ส.ค. และก.ย. มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน
101.40 ล้านบาท 155.26 ล้านบาท และ 124.25 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนดัชนีตลาด MAI สูงขึ้นอย่างมากจาก 2 ก.ย. 2545 ซึ่งเป็นวันแรกที่เริ่มใช้ดัชนีตลาด
MAI ที่ 100 จุด สูงขึ้นเป็น 270.55 จุด ณ 15 ก.ย. เพิ่มถึง 170.55%
ความสนใจผู้ลงทุนที่มากขึ้น ส่วนหนึ่งจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนใน MAI โดยปี
2545 บริษัทจดทะเบียนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปี 2544 ถึง 991.74% จากขาดทุน 16.70
ล้านบาท เป็นกำไร 148.92 ล้านบาท ช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ บริษัทใน MAI กำไรรวม กัน
60 ล้านบาท นางสาวโสภาวดีกล่าว
ประธานกรรมการบริหารศูนย์ระดมทุนฯ กล่าว ว่าตลอด 2 ปีเวลาที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ใหม่
เน้น พัฒนาคุณภาพบริษัทใน MAI ให้หลากหลาย ทั้งขนาด และประเภทธุรกิจ โดยร่วมกับพันธมิตรกว่า
10 แห่ง อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กองทุนเพื่อ
ร่วมลงทุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เป็นต้น
เพื่อเชิญชวนสมาชิกพันธมิตรดังกล่าวระดม ทุนผ่าน MAI ณ 15 ก.ย. MAI มีบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้น
9 บริษัท รวมมูลค่าหลักทรัพย์จดทะเบียนตาม ราคาตลาด 6,374.47 ล้านบาท เป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก
สิ้นปี 2544 ที่ 426.95 ล้านบาทถึง 1,393.02%
บริษัทที่จดทะเบียน ระดมทุนผ่าน MAI แล้ว ถึง 1,028 ล้านบาท โดยบมจ.แมชชิ่งสตูดิโอนำเงินที่ระดมได้จากการจดทะเบียน
ซื้อเครื่องมือต่างๆ ทำให้ขยายกำลังผลิตภาพยนตร์โฆษณาเพิ่มมากกว่า 20%บมจ. สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์
เป็นอีกบริษัทประสบความสำเร็จ จากการนำเงินที่ระดมได้เปิด ศูนย์การค้าแบบเปิด
ที่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้บริการมากขึ้น ปีนี้ บริษัทจดทะเบียนใน MAI ย้าย ไปซื้อขายตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2 บริษัท ได้แก่ บมจ. ทราฟฟิคคอร์นเนอร์โฮลดิ้งส์ และ บมจ. ไดโดมอน
ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ถือเป็นแหล่งระดมทุนเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดกลางที่ต้องการเติบโตอย่างแท้จริง
เพราะไม่มีภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ทำให้บริษัทคล่องตัวบริหารเงินมากขึ้น
ขยายธุรกิจไม่มีขีดจำกัด ยังทำให้บริษัทได้รับการยอมรับกว้างขวาง เนื่องจากภาพลักษณ์ดีขึ้น
ซึ่งเป็นมูลค่าเพิ่ม ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยิ่ง นางสาวโสภาวดีกล่าว
ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างขออนุญาต และจะขายหุ้นประชาชนทั่วไปเพื่อเตรียมจดทะเบียนใน
MAI อีก 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท มาสเตอร์ แอด บริษัท ไทยมิตซูวา และบริษัท อาร์.
เค. มีเดีย รวมบริษัทที่จะจดทะเบียนปีนี้ จะมี 10-15 บริษัท ส่วนบริษัทที่แต่งตั้งที่ปรึกษาการเงินแล้ว
และเตรียมตัวจดทะเบียนอีกกว่า 30 บริษัท
ประธานกรรมการบริหารศูนย์ระดมทุนฯ กล่าว ว่าสิ่งที่ MAI จะมุ่งมั่นต่อไป คือเป็นแหล่งเงินทุนระยะยาว
SMEs อย่างแท้จริง โดยจะทำงานร่วมกับ พันธมิตร และหน่วยงานวิชาชีพต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลเตรียมความพร้อมกับ
SMEs ต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้น
โดยมีทีมงานที่พร้อมจะให้คำแนะนำผู้ประกอบ การ SMEs ทุกรายที่สนใจ จึงเชื่อมั่นว่า
MAI จะยังคงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ SMEs ที่มองการณ์ไกล เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน
ที่สนใจร่วมลงทุนกิจการของผู้ประกอบการที่มุ่งมั่นสร้างธุรกิจเติบโตและก้าวหน้า
การตั้งเป้าหมายจำนวนบริษัทจดทะเบียนใน MAI ปี 2547 อยู่ระหว่างเสนอคณะผู้บริหารและคณะ
กรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่ออนุมัติต่อไป