|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
การประกอบธุรกิจของเล่นเด็กในตลาดโลกขณะนี้ ไม่ได้ง่ายและสบายเหมือนกับสมัยก่อน เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ประเมินว่าของเล่นเด็กเป็นสินค้าที่มีอันตรายต่อลูกหลาน มากกว่าจะเป็นสิ่งที่เพิ่มพูนความสุขให้แก่ลูกหลานของตน
นอกจากอุปสรรคจากความเชื่อและความกังวลของพ่อแม่แล้ว ผู้ประกอบการของเล่นเด็กชั้นนำของโลกยังมีปัญหาและอุปสรรคอีกอย่างน้อย 3 ประการคือ ประการแรก อุตสาหกรรมของเล่นเด็ก มีความจำเป็นต้องใช้พลาสติกเป็นจำนวนมาก จนกล่าวได้ว่าเป็นธุรกิจที่ใช้พลาสติกมากที่สุดในโลกธุรกิจหนึ่ง การสูงขึ้นของระดับราคาน้ำมันจึงส่งผลกระทบให้ราคาพลาสติกที่เป็นวัตถุดิบของธุรกิจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ความสามารถในการปรับเพิ่มราคาขายไม่มากนัก
ประการที่สอง พฤติกรรมของลูกค้าเด็กสมัยนี้ เปลี่ยนแปลงจากสมัยก่อนมาก และพยากรณ์ความต้องการได้ยากกว่าเดิม การผลิตของเล่นเด็กออกมาแต่ละครั้ง แม้ว่าจะผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนาและการกลั่นกรองมาหลายต่อหลายชั้นแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จทางการตลาดหรือไม่
ประการที่สาม เด็กสมัยนี้มีความเป็นผู้ใหญ่เร็ว และเป็นเด็กไซเบอร์ที่นิยมใช้ชีวิตอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตมากกว่า จึงทำให้ช่วงอายุที่ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานอยู่กับการเล่นของเล่นเด็กแคบลงเหลือเพียงไม่กี่ปี แถมอายุการเล่นของเล่นแต่ละชิ้นยังสั้นลง เพราะความเบื่อง่ายอีกด้วย ผู้ประกอบการที่จะอยู่รอดในธุรกิจของเล่นเด็กได้จึงเป็นกิจการที่ต้องมีความสามารถในการทำกำไรสูงมากเท่านั้น และอาจจะมีการรวมตัวหรือควบกิจการอีกในอนาคต
ประเมินจากผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ของโลกอย่างเช่น แมทเทล ก็ไม่สามารถธำรงรักษายอดการจำหน่ายเอาไว้ได้ แม้ว่าจะพยายามโปรโมตการครบรอบ 50 ปีของบาร์บี้ไปในไตรมาสแรกที่ผ่านมาก็ตาม ขณะที่ฮาสโบรก็มีผลประกอบการรวมย่ำแย่กว่าความคาดหมายของตลาดมาก
ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กรรมาธิการระหว่างประเทศด้านอุตสาหกรรมของเล่นเด็กหรือไอซีทีไอ ระบุว่าตลาดของเล่นเด็กของโลกยังคงมีการเติบโตโดยรวม โดยในปี 2008 ธุรกิจนี้มีมูลค่าทางการตลาดรวม 75,700 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.3% จากปี 2007 และจากผลการจัดงานแสดง มิดเดิล อีสท์ ทอยแฟร์ ในดูไบซึ่งเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในโลกงานหนึ่ง สะท้อนว่าราว 60% ของประชากรเด็กที่มีวัย 0-14 ปี เป็นผู้ที่อยู่อาศัยในเอเชียรองลงมาคือในแอฟริกา 21% ยุโรปมีเพียง 6% ส่วนที่เหลืออยู่ในอเมริกาเหนือ และละตินอเมริกาใต้ 4% และ 9% ตามลำดับ
ประเด็นเกี่ยวกับการควบรวมกิจการของอุตสาหกรรมของเล่นเด็กนั้น ดูเหมือนว่าจะมีการคาดการณ์กันว่าระหว่างแมทเทลกับฮาสโบรอาจเกิดการเจรจาขึ้นเมื่อใดก็ได้ เพราะเมื่อปี 1996 ทั้งสองบริษัทก็เคยมีการหารือเกี่ยวกับการรวมกิจการกันมาแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่ไม่ถึงจุดสุดท้าย เพราะถูกมองว่าการรวมกิจการของ 2 บริษัทน่าจะสร้างอำนาจผูกขาดทางการตลาด และไม่เป็นผลดีต่อการแข่งขัน แต่การที่ทั้ง 2 บริษัทล้วนแต่มีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลงไปมากในปัจจุบัน อาจทำให้อุปสรรคของทางการที่มองว่าเกิดการผูกขาดทางธุรกิจหรือไม่หมดไป
นอกเหนือจากการพิจารณาปัดฝุ่นแผนการควบรวมกิจการระหว่างกันแล้ว ผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดของเล่นเด็กมองว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ของโลก กำลังตัดสินใจจะนำเอาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาช่วยเสริมจุดแข็งทางธุรกิจ หรือการก้าวไปสู่การผลิตของเล่นเด็กที่พึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น
ข้อดีของการนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนประกอบของของเล่นเด็กเพิ่มขึ้น คือประการแรก ทำให้สินค้าใหม่ๆ เกิดขึ้นในตลาดได้เร็วขึ้น และมุ่งที่จะเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มไฮเทคได้ด้วยการตั้งระดับราคาที่แพงขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นตัวสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างหนึ่ง และนำไปสู่การทำกำไรต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ประการที่สอง การมีส่วนประกอบของเทคโนโลยีในแบรนด์ของเล่นเด็ก จะมีส่วนช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์บางแบรนด์ ที่กำลังถูกมองว่าเป็นแบรนด์เก่า สะท้อนสินค้าของเล่นเด็กที่ล้าสมัยได้
ทั้งนี้ แม้แต่ตุ๊กตาบาร์บี้ก็ถูกแมทเทล เจ้าของลิขสิทธิ์นำมาดัดแปลงโดมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เช่นกัน เพื่อให้ภาพของสาวบาร์บี้พ้นจากการเป็นของเล่นยุคคุณป้า เข้ากับบุคสมัยอินเทอร์แอคทีฟเทรนด์
|
|
|
|
|