|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ธปท.แถลงตามน้ำ คาดการณ์แนวโน้มทำกำไรระบบแบงก์ไตรมาส2 วูบ เหตุสินเชื่อชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะที่สินเชื่อที่ค้างชำระ 1-3 เดือน เพิ่มขึ้น 4% หรือเพิ่มขึ้น 1.49 หมื่นล้านบาทจากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม-ภาคผลิต เป็นแนวทางเดียวกับยอดเอ็นพีแอลในระบบ สั่งแบงก์จับตาความสามารถในการชำระหนี้และคุณภาพสินทรัพย์
น.ส.นวพร มหารักขกะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการทำกำไรของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ขึ้นอยู่กับการดำเนินธนาคารพาณิชย์ว่าจะขยายธุรกิจ ซึ่งยอมรับว่าสินเชื่อที่ลดลงเป็นแรงกดดันรายได้ของระบบธนาคารในอนาคตหดหายไปบ้าง หลังจากไตรมาสแรกกำไรจากการดำเนินงานลดลง 1.6 พันล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายที่ลดลงในช่วงเดียวกันช่วยพยุงให้ระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 2.3 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสก่อน
“แม้ภาคธุรกิจยังมีอุปสงค์ด้านการลงทุนอ่อนพอควร ทำให้ขณะนี้ความต้องการกู้ไม่มากนัก รวมถึงเงินกู้การค้าระหว่างประเทศลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกด้วย แต่ขณะนี้ในระบบมีปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเอื้ออำนวยในการปล่อยกู้มากกว่าการประเมินในช่วงไตรมาสก่อนไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพคล่องที่สูงขึ้น เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ในระดับสูง และการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินที่ดีขึ้นตามลำดับ รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศและสัญญาณจากภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้น จึงเหลือเพียงความเชื่อมั่นของภาคเอกชนเท่านั้น”
แม้กระบวนการส่งผ่านนโยบายการเงินผ่อนคลายมีผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมน้อย แต่ช่วยส่งเสริมระบบธนาคารพาณิชย์ในแง่ของการปล่อยสินเชื่อได้ เนื่องจากให้ระบบมีสภาพคล่องเพียงพอกับความต้องการสินเชื่อของภาคเอกชนได้ และเมื่อความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้ทำให้สภาพคล่องโดยรวมลดลงเร็ว ขณะเดียวกัน ธปท.เองกำกับดูแลให้ธนาคารพาณิชย์บริหารความเสี่ยงที่ดี ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความแข็งแกร่งและมั่นคงเห็นได้จากเงินกองทุนต่อสินเชื่อเสี่ยงสูงถึง 14.9% โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ระดับ 11.8% ในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ ซึ่งเกิดจากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เกิน 1 เดือน แต่ยังไม่เกิน3 เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 4%ของสินเชื่อรวม หรือเพิ่มขึ้น 1.49 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและการผลิตต่างๆ ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปล่อยสินเชื่อโดยรวมในระบบ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในและต่างประเทศหดตัว ทำให้ความสามารถชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลงตาม จึงต้องจับตามการความสามารถในการชำระหนี้และคุณภาพสินทรัพย์ต่อไป
ส่วนสินเชื่อที่ปล่อยออกไปแล้วกลายเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ที่ระดับ 5.5% แต่เมื่อหักเงินสำรองแล้วเอ็นพีแอลสุทธิอยู่ที่ระดับ 3.1% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนวงเงิน 1.89 หมื่นล้านบาท โดยภาคธุรกิจในด้านก่อสร้างอยู่ที่ 13.0% จากไตรมาสก่อน 12.1% อสังหาริมทรัพย์ 11.6% จาก 11.0% ภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 9% จาก 8.4% บริการ 7.8% จาก 7.1% ในไตรมาสก่อน พาณิชย์ 6.4% จากไตรมาสก่อน 5.7% สาธารณูปโภค 3.3% จาก 3.1% และธุรกิจการเงินทรงตัวอยู่ที่ 0.6% ทั้งไตรมาสนี้และไตรมาสก่อน
ขณะที่ภาคอุปโภคบริโภคด้านที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน 3.6% บัตรเครดิต 3.1% จากไตรมาสก่อน 2.9% รถยนต์ 2.3% จากไตรมาสก่อน 2.1% และสินเชื่ออื่นๆ 4.9% ทรงตัวจากไตรมาสก่อน ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลลดลง 3.5% จากไตรมาสก่อน 3.6%
น.ส.นวพรเปิดเผยว่า ธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ชะลอลงมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งการเข้าถึงสินเชื่อและมียอดเอ็นพีแอลเพิ่มสูงกว่าด้วย ซึ่งขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อไม่ได้พิจารณาเฉพาะเรื่องเอ็นพีแอลอย่างเดียว แต่พยายามจะวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ให้มากที่สุด
ไตรมาสแรกของปีนี้ สินเชื่อโดยรวมชะลอตัวกว่าไตรมาสก่อน โดยสินเชื่อขยายตัว 5.8% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เทียบกับสิ้นปี 51 ขยายตัวถึง 11.4% โดยสินเชื่อภาคธุรกิจชะลอตัวลงมากเหลือ 3.2% จากความต้องการสอนเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเงินลงทุนจากภาคเอกชนชะลอ่ตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวเพิ่มขึ้น 14.1% อย่างไรก็ตาม สินเชื่อโดยรวมยังขยายตัวดีกว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทย
ขณะที่เงินฝากขยายตัวชะลอตัวเช่นกันเหลือ 4.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้ลูกค้าหันไปลงทุนในตั๋วแลกเงิน (B/E) และหลักทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เมื่อรวมการระดมเงินฝากและB/E แล้ว อัตราการขยายตัวชะลอลงเหลือ 6.7% ดังนั้น การที่สินเชื่อชะลอตัวมากกว่าเงินฝากส่งผลให้สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากและB/E ลดลงอยู่ที่ระดับ 84.1%
|
|
|
|
|