|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ราคาเหล็กไต่ระดับจากที่ทำจุดต่ำสุดไว้ในไตรมาสแรก เหตุจีนใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ-ลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ส่วนไทยก็มีลงทุนภาครัฐเช่นกัน แต่คาดว่าหุ้นเหล็กจะได้รับอานิสงส์คงจะเป็นปลายปีเพราะต้นปีอาจขาดทุนจากสต๊อกได้
แม้ราคาเหล็กในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จะมีความผันผวนตามการเข้าซื้อสินค้าคงคลังในแต่ละช่วงเวลา แต่ความคาดหวังถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลกที่จะกระตุ้นอุปสงค์การใช้เหล็กประกอบกับเม็ดเงินบางส่วนสามารถเข้าสู่ภาคการก่อสร้างอย่างแท้จริง ทำให้ราคา Billet และ Slab ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญ ในการผลิตเหล็กของอุตสาหกรรมเหล็กเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็น 405และ 355ดอลลาร์ต่อตัน ตามลำดับ จากจุดต่ำสุดในไตรมาส1ของปีนี้ที่ 375 และ 295ดอลลาร์ต่อตัน ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ต่างเริ่มชะลอการขายสินค้าลง และเริ่มกำหนดราคาขายล่วงเพิ่มขึ้น ดอลลาร์สหรัฐ14-22 ต่อตัน โดย Baosteel ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของจีนได้กำหนดราคาขายเหล็กแผ่นรีดร้อนเดือนมิถุนายน 2552 ที่ระดับ 480 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
วิชชุดา ปลั่งมณี นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เกียรตินาคิน ประเมินว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กในปีนี้จะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น จากกระแสข่าวรัฐบาลจีนพยายามกระตุ้นการลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างจริงจัง ซึ่งจะส่งผลถึงอุปสงค์ของเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างอย่างเหล็กเส้น ขณะที่ผู้ประกอบการเหล็กในจีนได้ประกาศราคาขายเหล็กช่วงเดือนพฤษภาคม ที่อัตราเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนถึงความคาดหวังว่าราคาเหล็กจะไม่ปรับลดลงไปลึกอีกแล้ว
'จีนเริ่มมีการสั่งนำเข้าเหล็กล๊อตใหม่เข้ามาแล้ว เพราะสต็อกเก่าเริ่มหมด ทำให้เป็นผลดีกับผู้ประกอบการเหล็กที่จะได้ระบายสต็อกสินค้าใหม่ได้'
สำหรับในประเทศไทยก็ยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเมกกะโปรเจคต์และแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งด้วย อาทิ โครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วงสัญญา 1 ที่มีการอนุมัติราคาประมูลของ บมจ.ช.การช่าง(CK) ซึ่งจะต่อเนื่องถึงความคาดหวังถึงสัญญา 2-3 และภาพการก่อสร้างในกลุ่มอสังหา ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นต่อเนื่องในอนาคต อาทิ ศูนย์การค้า โครงการที่อยู่อาศัย เป็นต้น
อีกทั้งในเร็วๆ นี้กระทรวงคมนาคมเองเตรียมที่จะเสนอแผนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ต่อคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกเพื่อพิจารณาและอนุมัติโครงการใหม่จำนวน 26 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 40,650 ล้านบาท แต่ประเมินว่ากลุ่มเหล็กจะได้รับประโชยน์จากดีมานด์ใหม่ในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มเหล็กมองว่าเริ่มปรับตัวดีขึ้นชัดเจนตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2552 เป็นต้นไป เนื่องจากเชื่อว่าราคาเหล็กโลกจะเริ่มทรงตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถประมาณการต้นทุนและผลกำไรได้ แต่ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก มองว่ายังเสี่ยงต่อการขาดทุนจากการตั้งสำรองจ่ายหนี้ และสต็อกล็อตบางส่วน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ 'เก็งกำไร' ในหุ้น บมจ.ทาทา สตีล(TSTH) มีราคาเป้าหมายที่ 1.90 บาท เนื่องจากประกอบธุรกิจเหล็กเส้นที่ใช้ในการก่อสร้างทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากข่าวข้างต้น และ บมจ.จี สตีล(GSTEEL) ที่ราคาเป้าหมาย 0.60 บาท ส่วน บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ที่ราคาเป้าหมาย 0.48 บาท โดยให้เก็งกำไรตามภาพรวมตลาด
|
|
|
|
|