Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน18 พฤษภาคม 2552
“เอสเอฟ”หวังQ2-3ตลาดรวมฟื้น ผุดเอาท์ดอร์ซีนีม่าดูหนังเห็นทะเล             
 


   
search resources

เอสเอฟ ซีเนม่า ซิตี้, บจก.
Theatre




เครือเอสเอฟ เล็งผุดโรงหนังใหม่ในกรุงเทพฯอีกอย่างต่ำ 3-5 สาขา มั่นใจตลาดยังมีรองรับอีกมาก พร้อมเกาะติดไปกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็นหลัก เผยปีนี้วางแผนเปิดใหม่ 5 สาขา เปิดตัวไปแล้ว 3 แห่ง ล่าสุดเตรียมเปิดสาขาที่เซ็นทรัลพลาซ่าชลบุรีปลายเดือนนี้ ส่วนที่พัทยาเตรียมเปิดโฉมเอาท์ดอร์ซีนีม่า มั่นใจปีนี้แชร์เพิ่มเป็น 35%

นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส เอฟ ซิเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนของกลุ่มเอสเอฟว่า เอสเอฟวางเป้าหมายระยะยาวโดยไม่ได้กำหนดช่วงเวลาที่แน่นอนว่าจะต้องมีสาขาโรงหนังในทุกรูปแบบรวมกันของกลุ่มเอสเอฟในกรุงเทพฯได้อีกประมาณ 3-6 สาขา เนื่องจากยังมีทำเลที่เอสเอฟเองยังไม่มีสาขาเปิดบริการแต่เป็นทำเลที่มีศักยภาพของตลาดอย่างมาก

“เราเองไม่ได้จำกัดเวลาว่าจะต้องมีเท่านี้ภายในกี่ปี แต่เป็นเพียงเป้าหมายที่ทำให้เราต้องตื่นตัว ซึ่งเราเองให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพโรงหนังและบริการเป็นหลักมากกว่า รวมทั้งจะยังคงมุ่งเน้นการเปิดสาขาภายในศูนย์การค้าเป็นหลัก ไม่เน้นการเปิดแบบสแตนด์อโลน แต่ถ้าอนาคตมีที่ดินเหมาะสมก็อาจจะลงทุนก็ได้”

ปัจจุบันเอสเอฟมีโรงหนังในเครือทั้งหมดทุกแบรนด์รวมกัน 19 สาขา รวมทั้งหมด 160 โรง แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพฯจำนวน 11 สาขา

อย่างไรก็ตาม นายสุวิทย์ ยอมรับว่า ในช่วงหลังนี้จะพยายามลงทุนไปกับทางกลุ่มศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็นหลัก ซึ่งก็ได้มีการเจรจากันอย่างต่อเนื่องกับโครงการใหม่ๆที่จะเปิดขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้สรุปโดยนโยบายการลงทุนยังคงเหมือนเดิมคือ การแบ่งรายได้เป็นลักษณะจีพีให้กับเซ็นทรัล

ขณะที่แผนการลงทุนในปีนี้ของเอสเอฟ วางไว้ว่าจะเปิดใหม่อีก 5 สาขา ซึ่ง เปิดไปแล้ว 2 สาขาคือ ที่เซ็นทรัลเฟสติวัลบีชพัทยาเมื่อต้นปีจำนวน 10 โรงและโบว์ลิ่ง 16 เลน, ที่ฮาร์เบอร์มอลล์ แหลมฉบัง จำนวน 4 โรง เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว และล่าสุดในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ เตรียมเปิดสาขาที่เซ็นทรัลพลาซ่าชลบุรี จำนวน 7 โรง ส่วนอีก 2 สาขานั้น จะเปิดที่เซ็นทรัลขอนแก่น จำนวน 8 โรง โบว์ลิ่ง 14 เลน และคาราโอเกะด้วย เปิดปลายปีนี้ อีกที่คือ ในโครงการแหลมทองบางแสน ซึ่งเท่ากับว่าปีนี้เปิดในศูนย์การค้าเซ็นทรัลถึง 3 แห่ง

นอกจากนั้นในเร็วๆนี้จะเปิดบริการโรงหนังประเภทใหม่เพิ่มเติมที่เรียกว่า เอาท์ดอร์ซีนีม่า ที่โครงการเดิมคือ เซ็นทรัลเฟสติวัลบีชพัทยา จำนวน 30 ที่นั่ง ซึ่งจุดเด่นหลักๆคือ เป็นโรงหนังในศูนย์การค้าที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ด้วย ลงทุนเฉพาะโรงนี้ประมาณ 20 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการของเอสเอฟปีนี้คาดว่า จะสามารถจำหน่ายตั๋วได้ประมาณ 13 ล้านใบ และจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 35% และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 20% เพิ่มจากปีที่แล้วที่จำหน่ายได้ 10 ล้านใบ มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 32% และมีรายได้รวมประมาณ 1,200 ล้านบาท

นายสุวิทย์กล่าวถึงภาพรวมของตลาดอุตสาหกรรมหนังว่า ในไตรมาสแรกปีนี้ที่ผ่านไป ตลาดรวมและของบริษัทฯเองไม่ได้มีการเติบโตมากนัก เพราะยังอยู่ในภาวะที่ยังมีปัญหาทางด้านการเมืองอยู่ แต่ทั้งปีนี้แล้วคาดว่าตลาดรวมจะมีการเติบโตที่ดีกว่าปีก่อนๆ เนื่องจากว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 หนังที่จะเข้าฉายล้วนแต่เป็นหนังฟอร์มใหญ่และคาดว่าจะสามารถทำรายได้ได้ดีทั้งสิ้น ซึ่งคาดว่าไตรมาสที่ 2-3 นั้นจะสามารถดึงเงินในตลาดกลับคืนมาได้มากกว่า 30%

นอกจากนั้นยังเป็นผลมาจากการที่มีการเปิดโรงหนังสาขาใหม่จากผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นในภาพรวมส่งผลให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและกระตุ้นการเข้าดูหนังได้มากขึ้นด้วย โดยขณะนี้เฉลี่ยแล้วคนไทยดูหนังในโรงหนังประมาณ 2.25 เรื่องต่อคนต่อปี จากเดิมที่ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยไม่ถึง 2 เรื่อง ต่อคนต่อปี

โดยปีนี้คาดว่ามูลค่าตลาดรวมอุตสาหกรรมหนังจะมีประมาณ 3,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่กลับมาเท่าเดิมจากก่อนหน้านี้ 2 ปีที่มีมูลค่าตลาดเท่านี้ ส่วนปีที่แล้วภาพรวมตลาดมีประมาณ 3,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us