Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน15 พฤษภาคม 2552
ดัชนีความเชื่อมั่นต่ำสุดรอบ87เดือน             
 


   
search resources

ธนวรรธน์ พลวิชัย
Economics




ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ต่ำสุดในรอบ 87 เดือน หลังเจอปัญหาการเมืองวุ่น ม๊อบเสื้อแดงป่วน ค่าครองชีพสูง น้ำมันแพง คาดแนวโน้มชะลอตัวจนถึงไตรมาส 3 และเริ่มฟื้นตัวไตรมาส 4 ภายใต้เงื่อนไขการเมืองนิ่ง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผล ส่วนกำลังซื้อบ้าน รถยนต์ ติดลบหนักสุดรอบ 50 เดือนและ 30 เดือนตามลำดับ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจประชาชนทั่วประเทศ 2,242 ตัวอย่าง เกี่ยวกับความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยประจำเดือนเม.ย.2552 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และส่วนใหญ่ลดลงต่ำสุดในรอบ 7 ปี โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. เท่ากับ 72.1 ต่ำสุดในรอบ 87เดือน ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปัจจุบัน 61.8 ต่ำสุดในรอบ 82 เดือน นับจากเดือนมิ.ย.2545 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต 74.1 ต่ำสุดรอบ 20 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ลดเหลือ 65.1 ต่ำสุดในรอบ 88 เดือน ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำลดเหลือ 64.5 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตลดเหลือ 86.7

สาเหตุที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงทุกรายการ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง หลังจากมีการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่พัทยา และกรุงเทพฯ กรณีเกิดการประท้วง ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบทางจิตวิทยาต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นักลงทุน และนักท่องเที่ยว ประกอบกับผู้บริโภคกังวลปัญหาค่าครองชีพ สินค้าราคาแพง และราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงภาวะการค้าต่างประเทศ การส่งออกที่หดตัวถึง 22.7%

ส่วนปัจจัยบวกมาจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท ซึ่งช่วยกระตุ้นจิตวิทยาในการบริโภค รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า และการประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยลง 0.25% แต่ที่สำคัญสุดคือการที่รัฐบาลใช้กระบวนทางสภา คลี่คลายปัญหาการเมืองได้รวดเร็วช่วยคลายความกังวลแก่ผู้บริโภคได้มาก

“ดัชนีผู้บริโภคเดือนนี้ยังอยู่ในช่วงขาลง แต่ข่าวดีก็คือดัชนีผู้บริโภคติดลบน้อยกว่าที่คาด เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองคลี่คลายอย่างรวดเร็ว ผ่านกระบวนการสภาและปราศจากการใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุ ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตติดลบน้อยกว่าปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าประชาชนคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐจะใช้ได้ผลในไม่ช้า แต่ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ปกติ และไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายอีก”นายธนวรรธน์กล่าว

นายธนวรรธน์กล่าวว่า ทิศทางความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ช่วงขาลงต่อไปถึงไตรมาส 3 และจะเริ่มฟื้นไตรมาส 4 ตามภาวะเศรษฐกิจโลก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมา แต่ตอนนี้ธุรกิจสินค้าคงทนจะต้องเผชิญปัญหายอดขายชะลอตัวอย่างมาก เพราะผลสำรวจดัชนีการซื้อบ้านต่ำสุดในรอบ 50 เดือน รวมถึงรถยนต์ก็ลดต่ำสุดในรอบ 30 เดือน เนื่องจากประชาชนยังขาดกำลังซื้อ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การเมืองยังเป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพราะดัชนีการเมืองเดือนเม.ย. ปรับลดลงมากถึง 2.5 จุด โดยสิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือ การยุบสภา หากมีการยุบหลังปฏิรูปการเมือง และผ่านงบประมาณปี 2553 รวมถึงพ.ร.ก.กู้เงิน 400,000 ล้านบาท เสร็จสิ้นก่อน คงไม่กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เพราะข้าราชการประจำสามารถใช้เงินตามระบบได้ แต่หากมีการยุบสภาที่เกิดจากความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาล และเกิดขึ้นก่อนพิจารณางบปี 2553 กับ พ.ร.ก.กู้เงินเสร็จ จะกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในประเทศ ให้ลบเกิน 5% แต่โอกาสเกิดยังมีน้อย โดยหอการค้ามองว่าการเมืองน่าจะคลี่คลายในไตรมาสสาม และจีดีพีน่าจะติดลบ 4.3% เท่านั้น

สำหรับสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งกระทำ นอกจากการเร่งสร้างสเถียรภาพทางการเมืองแล้ว คือ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐให้ได้ตามแผน โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กต์จะต้องเริ่มภายในไตรมาส 4 รวมถึงเร่งรัดให้องค์กรส่วนปกครองท้องถิ่น (อปท.) ต้องจ่ายเงินลงทุนลงท้องถิ่นให้เร็วสุด และเร่งกระตุ้นโครงการลงทุนของหน่วยรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ด้วย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us