ไตรมาสแรกปี 52 การบินไทยพลิกล็อก กำไรสุทธิกว่า 7.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.6 พันล้านบาท หรือ 255% สวนกระแสที่ทีมผู้บริหารอ้างการปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯ ฉุดกำไรทรุดหนัก เหตุรับอานิสงส์ต้นทุนราคาน้ำมันลดลง 45% บวกกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกกว่า 4.6 พันล้านบาท ด้านผู้บริหาร โชว์แผนระยะสั้น 3 ปี ตั้งเป้าโตเฉลี่ยปีละ 3-8% พร้อมเตรียมกู้เงินจ่ายหนี้ระยะสั้น-เสริมสภาพคล่องปีนี้อีก 6 หมื่นล้านบาท หลังเงินสดหมุนเวียนลดเหลือแค่ 7 พันล้านบาท/เดือน นักวิเคราะห์แนะหลีกเลี่ยงลงทุนหุ้น “THAI”
นางงามนิตย์ สมบัติพิบูลย์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 7,868.57 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 4.63 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 2,216.09 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.30 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 5,652.48 ล้านบาท คิดเป็น 255.07%
ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับลดเทียวบินลงให้สอดคล้องกับปริมาณการเดินทางเข้า-ออกที่ลดลงจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 และเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งผู้โดยสารลดลงจากปีก่อน 20.3%
ขณะที่มีรายได้รวมทั้งสิ้น 41,270 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 14,581 ล้านบาท หรือ 26.1% ส่วนค่าใช้จ่ายไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ 36,365 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 14,144 ล้านบาท หรือ 28% สาเหตุสำคัญเนื่องจากราคาน้ำมันเครื่องบินโดยเฉลี่ยลดลง 45.2% และการควบคุมและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับผลกระทบจากวิกฤติการณ์ต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับยอดหนี้สินสกุลเงินตราต่างประเทศคงเหลือ ณ วันสิ้นงวด เป็นเงินบาท จำนวน 4,609 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 663 ล้านบาท ทำให้มีกำไรก่อนภาษีเงินได้ 8,064 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 4,807 ล้านบาท หรือ 147.6% และกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม (EBITDA) เท่ากับ 9,512 ล้านบาท
ด้านฐานะการเงิน ณ วันที่ 31 มี.ค.52 บริษัทและบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 260,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 51 จำนวน 817 ล้านบาท หนี้สินรวมทั้งสิ้น 206,582 ล้านบาท ลดลง 7,070 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 53,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,887 ล้านบาท
***บินไทยเล็งกู้6หมื่นล.-โตปีละ3-8%***
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคตนั้น บมจ.การบินไทย ระบุว่า บริษัทได้เตรียมแผนระยะสั้นช่วง 3 ปี (2552-2554) เพื่อความอยู่รอดและการเติบโตอย่างมั่นคง โดยปีนี้บริษัทมีแผนจะกู้เงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปชำระค่าเครื่องบินแอร์บัส A330-300 จำนวน 4 ลำ จ่ายคืนหนี้ระยะสั้น และเสริมสภาพคล่อง โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้ไว้ปีละ 3-8% และกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม (EBITDA) จะเพิ่มขึ้นเป็น 4 หมื่นล้านบาทในปี 2554 จากเป้าหมายปีนี้ที่ 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท
นายวัลลภ พุกกะณะสุต ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ. การบินไทย ออกมาระบุว่า การบินไทยเตรียมแผนจะกู้เงินจำนวน 2 หมื่นล้านบาท ภายในเดือนกรกฎาคม 52 นี้ เพื่อนำไปชำระหนี้ระยะสั้น และเสริมสภาพคล่อง โดยแผนการจัดหาแหล่งเงินได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่เรียบร้อย ก่อนจะที่จะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ แร็วๆ นี้
“การบินไทยจะกู้เงินก้อนแรกจำนวน 2 หมื่นล้านบาท ภายใน 2-3 เดือนนี้ หรือไม่เกินเดือนก.ค. 52 ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด จากแผนปีนี้จะกู้เงินทั้งหมดประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการกู้จากต่างประเทศ เพราะอัตราดอกเบี้ยถูกกว่า จากปัจจุบันการบินไทยมีกระแสเงินสดประมาณ 7 พันล้านบาทต่อเดือน ต่ำกว่าปกติที่จะต้องมีกระแสเงินสดประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน”
หุ้นคึกคักรับกำไรดีเกินคาดการณ์
สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบมจ. การบินไทย (THAI) วานนี้ (14 พ.ค.) ราคาหุ้น THAI ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวผลประกอบการที่ดีกว่าหลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้ โดยราคาหุ้นได้ปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 19.20 บาท ต่ำสุดที่ 16.90 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 17.10 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 0.10 บาท หรือ 0.59% มูลค่าการซื้อขายรวม 770.94 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ให้ความเห็นว่า ราคาหุ้นการบินไทยปรับขึ้นแรงในช่วงเช้า จากการที่บริษัทประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/52 ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยได้รับผลดีจากต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง บวกกับค่าเงินบาทเทียบกับเงินกู้ในสกุลต่างประเทศ ทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงถึง 4.6 พันล้านบาท
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/52 นั้น ยังต้องรอดูสถานการณ์อีกครั้ง เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจการบิน รวมทั้งยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ที่ระบาดอย่างรุนแรงทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยว และส่งผลโดยตรงต่อบมจ.การบินไทยด้วย
พร้อมกันนี้ ได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/52 ที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์ไว้นั้น ไม่ได้มาจากการบริหารงานอย่างมีประสิทธิของบริษัทเอง หลังจากปี 51 ที่ผ่านมาบริษัทประสบปัญหาขาดทุนสุทธิถึง 2.1 หมื่นล้านบาท และขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 12.58 บาท แต่กลับเกิดจากปัจจัยหลักๆ คือ ราคาน้ำมันที่โลกปรับตัวลดลงและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
“จากปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ค่อนข้างมาก จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้น THAI หรือควรเทขายทำกำไรหากราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น และราคาตลาดขณะนี้ได้ปรับตัวสูงกว่าราคาประเมินไว้ที่หุ้นละ 13-15 บาท”
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลการดำเนินงานของบมจ.การบินไทยในอนาคตนั้น จะถือเป็นบทพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการของทีมผู้บริหารการบินไทยที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ ว่าจะมีวิสัยทัศน์และศักยภาพนำพาการบินไทยพ้นวิกฤตในครั้งนี้ ไม่ใช่การปัดความรับผิดชอบให้กับเหตุการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะการชุมนุมปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือต้องรอปัจจัยบวกอื่นเข้ามาสนับสนุนเหมือนไตรมาส 1/52 ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการบมจ. การบินไทย ได้มีมติฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ชุมนุมปิดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง 20,000 ล้านบาท เนื่องจากทำให้การบินไทยเสียหายจากการที่บริษัทต้องยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมด และส่งผลให้อัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) จากช่วงนี้จนถึงครึ่งแรกของปี 2552 ลดลงเหลือแค่ 50% และจะทำให้ผลประกอบการในปีนี้ประสบภาวะขาดทุน.
|