"ทีโอเอ" คุยพร้อมออกจากแผนปรับโครงสร้างหนี้ปีนี้แต่ยังไม่อยากออกจากแผนฯ
เพราะได้รับสิทธิประโยชน์จากดอกเบี้ยและภาษี ประกาศทุ่มงบลงทุน 500 ล้านบาท รุกหนักขยายการลงทุน
ทั้งใน และต่างประเทศ" ตั้งเป้าโกยยอดขายรวมกว่า 5,000 ล้านบาทปีนี้
นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย)
จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสีตรา ทีโอเอ เปิดเผยถึงความคืบหน้า ในการปรับโครงสร้างหนี้ว่า
ปัจจุบันบริษัทสามารถดำเนินการได้ตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ โดยมีมูลค่าหนี้ประมาณ
"10,000 ล้านบาท และหลังจากปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ทำให้บริษัทมีหนี้เหลืออยู่เพียง
2,000 ล้านบาทเศษ เท่านั้น และคาดว่าจะสามารถออกจากแผนการปรับโครงสร้างหนี้ได้ในช่วง
2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งถือว่า เป็นการออกจากแผนก่อนกำหนดเวลาที่กำหนด"แผนการปรับโครงสร้างหนี้มีกำหนดเวลา
10 ปี นับตั้งแต่ปี 2540-2541 ซึ่งขณะนี้บริษัทสามารถออกจากแผนได้เลย แต่ยังไม่มี
ความจำเป็นที่จะต้องรีบออกจากแผน เพราะถ้ายังอยู่ในแผนบริษัท ได้รับสิทธิประโยชน์จำนวนมาก
จากทั้งในด้านภาษี และดอกเบี้ย ดังนั้น จึงยังไม่ต้องการออกจากแผน ซึ่งสิทธิประโยชน์ต่างๆ
จะค่อยๆ หมด ไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ในช่วงนั้น บริษัทจึงจะขอออกจากแผนการปรับโครงสร้างหนี้"
สำหรับทิศทางการลงทุนจากนี้ไป บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งได้ตั้งงบ ประมาณในการขยายการลงทุนไว้ที่ประมาณ
500 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการตั้งโรงงานผลิตสีแห่งใหม่ ขยายโรงงานเก่า รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิต
โดยบริษัทในประเทศจีนมีแผนจะตั้งโรงงาน เพิ่มอีก 1 แห่ง ขณะนี้มีที่ดินแล้วตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้
ขณะเดียวกัน ก็อาจจะขยายโรงงานเดิมที่ตั้งอยู่ที่ มณฑลกวางตุ้ง นอกจากนี้บริษัทจะขยายโรงงาน
ผลิตที่ประะเทศเวียดนามด้วย ส่วนประเทศพม่า อยู่ะหว่างการอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงาน
คาด ว่าจะแล้วเสร็จและเดินเครื่องผลิตได้ในราวปลาย ปีนี้ สำหรับโรงงานในประเทศไทย
มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเรซิ่น เพิ่มขึ้นจากเดิมเท่าตัว
กรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าวอีกว่า นอกจากการขยายโรงงานแล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะขยายตลาดส่งออกด้วย
ซึ่งจะส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น และเป็นเจ้าตลาดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ โดยที่ผ่านมาได้ส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน
เวียดนาม พม่า เขมร ลาว บังกลาเทศ ศรีลังกา และ อินเดีย เป็นต้น ซึ่งในช่วงปีนี้ได้ส่งออกรวมทั้งสิ้น
มากกว่า 500 ล้านบาท และคาดว่าตลอดทั้งปีจะมียอดส่งออกรวมมากกว่า 1,000 ล้านบาท
หรือ คิดเป็นอัตราเติบโตขึ้นประมาณ 15-20%
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศจีนตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่า ภายในเวลา
2 ปีข้างหน้า จากการขยายโรงงานใหม่ และเพิ่มกำลังการผลิต ขณะเดียวกัน ก็ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดในประเทศเวียดนาม
ภายในเวลา 3-5 ปี ข้างหน้า โดยในปัจจุบัน ผู้นำตลาดในเวียดนาม คือผู้ผลิตสีระดับล่าง
ซึ่งในประเทศนี้ ส่วนใหญ่ผู้บริโภคนิยมใช้สินค้าราคาถูก ดังนั้น บริษัทจึงต้องอาศัยเวลาในการเป็นผู้นำตลาด
ซึ่งจะใช้วิธีการให้ผู้บริโภคเห็นว่า สีทีโอเอเป็นสีที่มีคุณภาพ แม้ว่าราคาจะถูกกว่า
แต่ในระยะยาวจะมีความคุ้มค่ามากกว่า
ด้านการขยายตลาดส่งออก บริษัทจะใช้วิธี การหาพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งในแง่ของการตั้งผู้แทนจำหน่าย
และการร่วมมือกับนักลงทุนข้ามชาติที่มีเทคโนโลยีที่ดี ทันสมัย เพื่อบริษัทจะได้โนว์ฮาวในการผลิตสินค้าของพันธมิตรด้วย
เช่น หากทีโอเอต้องการสีทาเรือที่ดีมีคุณภาพ ก็จะไป จับมือกับบริษัทผู้ผลิตสีทาเรือที่เป็นบริษัทยักษ์อันดับ
1 หรือ 2 ของโลก ทั้งนี้ การจับมือกับพันธมิตร บริษัทจะใช้กลยุทธ์การจับมือกับบริษัทผู้ผลิตที่ใหญ่เป็นอันดับที่
1 หรือ 2 ของโลกเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อให้การผลิตสีเป็นสีที่มีคุณภาพมากที่สุด
สำหรับตลาดในประเทศ คาดว่ายอดขายจะเติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 30% หากเทียบ กับปีก่อน
หรือคิดเป็นมูลค่ารวมเกือบ 4,000 ล้าน บาท ซึ่งรายได้หลักมาจากสี 4 ชนิด ได้แก่
ซุปเปอร์ ซิลด์ , ดูราคลีน , 7 อิน 1 และศูนย์ผสมสีระบบคอมพิวเตอร์ TOA Colour
World (ทีโอเอ คัลเลอร์ เวิลด์)
ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัททยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้ง 4 ชนิด ในช่วงที่ผ่านมา
ทำให้ยอด ขายของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนแบ่งตลาดในตลาดระบบพรีเมี่ยมมากถึง
40-50% จนถึงปัจจุบัน และจะพยายามรักษาส่วนแบ่งนี้ต่อไป รวมทั้งยังเป็นผู้นำตลาดทั้งตลาดระบบพรีเมี่ยม
และตลาดรวมด้วย