Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน13 พฤษภาคม 2552
โบรกฯเห็นพ้องเป้าดัชนีใหม่535จุด             
 


   
search resources

Investment
Stock Exchange




สมาคมนักวิเคราะห์ เผย ผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ล่าสุดปรับเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้เป็น 535 จุด จากเดิม495 จุด ถือเป็นการปรับขึ้นในรอบกว่า 1ปี พร้อมคาดจีดีพีติดลบมากขึ้น 3.6% จากการบริโภค ส่งออก ท่องเที่ยว จากความวุ่นวายทางการเมืองช่วงเทศกาลสงกรานต์ “สมบัติ” ชี้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าเร็ว หนุนค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป จี้แบงก์ชาติเข้ามาดูแล ด้านดัชนีหุ้นวานนี้ปิดบวกเพิ่ม9.36 จุด มูลค่าซื้อขาย 2.4 หมื่นล้าน จากแรงซื้อกลุ่มพลังงาน-แบงก์ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เริ่มฟื้นตัว

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า ผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ครั้งที่2/2552 ได้มีการปรับเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้เฉลี่ยเป็น 535 จุด จาก 495 จุด เนื่องจาก นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลกรวมทั้งของไทยที่สร้างความมั่นใจเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดดัชนีสูงสุดปีนี้จะอยู่ที่ 582 จุด จากเดิม527 จุด โดยไตรมาสที่ดัชนีจะแตะจุดสูงสุดของปีนี้ นักวิเคราะห์สัดส่วน 53% คาดว่าน่าจะเป็นในช่วงไตรมาส4/52 รองมา 33%คาดว่าจะอยู่ในไตรมาส2 ส่วนอีก 7% มองว่าจะเป็นไตรมาสที่3 และดัชนีต่ำสุดของปีนี้จะอยู่ที่ 391 จุด จากสำรวจครั้งก่อนที่ 348 จุด โดยคาดว่าแตะจุดต่ำสุดในไตรมาส1/52 ขณะที่นักวิเคราะห์อีก 27% เชื่อว่าจะอยู่ในไตรมาส3/52

“ผลสำรวจนักวิเคราะห์ ครั้งนี้ ได้มีการปรับเพิ่มดัชนีตลาดหุ้นไทย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกกว่า 1 ปี จากปีที่ผ่านมานักวิเคราะห์มีการปรับลดเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยมาตลาด” นายสมบัติ กล่าว

ขณะเดียวกัน เลขาสมาคมนักวิเคราะห์มองว่าค่าเงินบาทขณะนี้มีการแข็งค่าเร็วเกินไป จากที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาลงทุนในประเทศ หลังจากที่สถานการณ์ในต่างประเทศเริ่มดีขึ้น เพราะประเทศต่างๆมีการออกมาตรการหลากหลายมากระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดหุ้นขานรับ โดยเห็นได้ชัดว่าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้มียอดซื้อสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีต่างชาติกลับมาเป็นยอดซื้อสุทธิแล้ว 2 พันล้านบาท แต่นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุนที่ปรับตัวขึ้นเร็วในครั้งนี้ ซึ่งต้องรอประเมินอีกครั้งว่าเม็ดเงินที่เข้ามาจะเป็นเม็ดเงินลงทุนระยะยาวหรือไม่ และจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไปนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ควรที่จะมีการดูแลที่ไม่ให้ค่าเงินแข็งค่าเร็วมากนัก

สำหรับการสำรวจการคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) นักวิเคราะห์คาดว่าจีดีพีปีนี้จะติดลบเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 3.6% จากการประเมินครั้งก่อนที่คาดว่าจะติดลบ 1.8% เพราะ เกิดเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมการทองเที่ยว การส่งออก การบริโภคในประเทศ ซึ่งนักวิเคราะห์ คาดจีดีพีสูงสุดปีนี้จะติดลบเพียง1.5% และมีผู้ที่คาดการณ์จีดีพีปี 2552 ไว้ต่ำสุดที่ ลบ 5.7%

โดยนักวิเคราะห์ 45% คาดว่าจีดีพีรายไตรมาสของปี 52 จะติดลบ 3 ไตรมาส นักวิเคราะห์ 25% มองว่าจะติดลบ 4 ไตรมาส ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์อีก 20% มองว่าจะติดลบ 2 ไตรมาส และอีก 5 %เชื่อว่าจะติดลบ 1 ไตรมาส ขณะที่ไตรมาสที่คาดว่าจะติดลบมากที่สุด คือไตรมาสแรกของปีนี้คิดเป็น 60% โดยประเมินว่าจะอยู่ที่เฉลี่ย ลบ 6.0% และนักวิเคราะห์ 40 %เชื่อว่าจะหดตัวมากสุดในไตรมาสที่2 ที่เฉลี่ยลบ 6.3%

ส่วนนักวิเคราะห์48% คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะถึงจุดต่ำสุดภายในครึ่งแรกของปี 2552 ในขณะที่อีก 35% มองว่าครึ่งหลังของปี 2552 จึงจะถึงจุดต่ำสุด โดยมี 4% คาดว่าจะต่ำสุดในระหว่างไตรมาส2 และไตรมาส 3 และอีก13 %คาดว่าจะต่ำสุดในปี 2553 โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวได้ ในครึ่งหลังของปี 2552 คิดเป็น 30% นักวิเคราะห์ร้อยละ 9 เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นในระหว่างไตรมาสสี่ปีนี้ และไตรมาสแรกปี2553 ในขณะที่มีนักวิเคราะห์ 26% ที่มองว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในครึ่งแรกของปี 2553 โดยมีนักวิเคราะห์ 4% คาดว่าฟื้นตัวได้ในช่วงกลางปี 2553 ส่วนอีก 13% คาดฟื้นตัวในปี 2553 โดยไม่ระบุช่วงเดือน และอีก 4% มองว่าฟื้นตัวในปี 2554 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ที่เหลือไม่คาดการณ์ช่วงเวลาฟื้นตัว

อย่างไรก็ตามสมมติฐานหลักที่นักวิเคราะห์ใช้ประกอบการทำบทวิเคราะห์ในปี 2552 โดยปัจจจัยบวกคือ สถานการณ์เศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงภาวะตลาดหุ้น และปัญหาระบบสถาบันการเงินของสหรัฐ และยุโรป มีผู้ตอบ 74 %แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย มีผู้ตอบ 70% อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ มีผู้ตอบ 61% ผู้ตอบเท่ากันสองปัจจัยที่30% คือ กระแสเงินทุนไหลเข้าไทย และราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดีกว่าที่คาดมีผู้ตอบ 26%

สำหรับปัจจัยลบ คือ ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ รวมถึงเสถียรภาพรัฐบาลและปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่าง ๆ มีผู้ตอบ 78 % สถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดและอาจไม่ยั่งยืน รวมถึงปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรป มีผู้ตอบ 57%ปัจจัยทางเศรษฐกิจภายในประเทศ มีผู้ตอบ 26 % ประกอบด้วยเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่หดตัวลง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในบางกลุ่มน้อยกว่าที่คาดการณ์ อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น มีผู้ตอบ 22 % การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 ที่อาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ มีผู้ตอบร้อยละ 17

นายสมบัติ กล่าวว่า ระดับความเชื่อมั่นของนักวิเคราะห์ต่อความมั่นคงทางการเมืองนั้น นักวิเคราะห์ตอบว่ามั่นใจปานกลางคิดเป็น 39% โดยเห็นว่าสถานการณ์ตึงเครียดได้ผ่อนคลายลงในระดับหนึ่ง แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ มีนักวิเคราะห์ตอบ52% ยังเชื่อมั่นเพียงเล็กน้อย เพราะมีความขัดแย้งและแตกแยกอยู่ รวมถึงการชุมนุมต่าง ๆ และแรงกดดันจากนอกรัฐสภา ในขณะที่ยังไม่เห็นแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว และมีผู้ตอบไม่มั่นใจ 9% โดยเห็นว่ายังมีความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีการเจรจาประสานข้อเรียกร้องของกลุ่มต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับข้อแนะนำสำหรับรัฐบาลที่เป็นประโยชน์ต่อภาวะเศรษฐกิจ สังคม และตลาดทุนไทยคือ การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค ให้สิทธิพิเศษทางภาษีและโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ จัดการกับปัญหาการว่างงาน มีผู้ตอบ30% การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในประเทศ สร้างเสถียรภาพทางการเมือง และสร้างความสมานฉันท์ มีผู้ตอบ 26% และเร่งโครงการลงทุนภาครัฐ รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณ มีผู้ตอบ 17%

หุ้นพลังงาน-แบงก์ดันดัชนีบวก

ส่วนตลาดหุ้นไทยวานนี้ ปิดที่ระดับ 544.54 จุด เพิ่มขึ้น 9.36 จุด หรือ 1.75% มูลค่าการซื้อขาย 24,235.70 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์ฯมองว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงของการปรับฐาน โดยมีการเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ และสุดท้ายก็สามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้ เนื่องจากยังมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน-ธนาคาร ทำให้สามารถต้านแรงขายทำกำไรที่มีเข้ามาในระหว่างเทรดได้ ขณะเดียวกันสัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์สุดท้ายที่จะมีการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งผลที่ออกมาก็จะสนองตอบไปที่หุ้นเป็นรายตัว โดยมีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิ 1,092.56 ล้านบาท

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) หรือ DBS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงเช้ามีการแก่วงตัวลง 4 จุด และดีดตัวกลับมาเป็นบวกในช่วงท้าย มาจากแรงซื้อที่มีเข้ามาของหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ จากปัจจัยเดิมๆ ที่เข้ามาสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน

ทั้งนี้มองว่าสถานการณ์ตลาดจะเริ่มดีขึ้นจากสัญญาณความมั่นใจของนักลงทุนที่ทยอยกลับเข้ามา รวมถึงภาพรวมของเศรษฐกิจได้ผ่านจุดที่ต่ำสุดไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน อีกทั้งปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับทั่วโลกได้ผู้ที่รับผิดชอบช่วยกันออกมาตรการแก้ไขมาอย่างชัดเจน ส่งผลให้วิกฤตที่เกิดขึ้นลดความรุนแรงลงไปได้เยอะ ประกอบกับมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศขณะนี้เริ่มเห็นผลที่ชัดเจนแล้ว ซึ่งถือเป็นการสร้างควาเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง โดยประเมินแนวรับที่ 535-540 จุด แนวต้านที่ 550 จุด เป็นการประเมินในระยะสั้นๆ เนื่องจากดัชนีมีแนวโน้มแก่วงตัวผันผวนในช่วงสั้นๆ แนะนักลงทุนซื้อขายตามภาวะตลาด

ด้าน นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด กล่าวว่า ดัชนีมีการปรับตัวตามเดินหน้าต่อตามหุ้นกลุ่มพลังงาน รับเหมาก่อสร้าง และเหล็ก ซึ่งการขายของนักลงทุนช่วงนี้จะเป็นรูปแบบของการย้ายไปลงทุนในหุ้นกลุ่มเล็ก ประเมินสถานการณ์ช่วงนี้ที่ดีขึ้น จากข่าวดีต่างๆที่ออกมาของรัฐบาลทั้งในประเทศและต่างประเทศเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับช่วงนี้ตลาดจึงเข้าสู่ภาวการณ์เก็งกำไร โดยการประเมินแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันนี้ แนวรับที่ 540 จุด แนวต้านที่ 480 จุด ตลาดมีการแกว่งตัวในกรอบที่อาจปรับตัวเป็นบวกได้ แนะนำนักลงทุนหันมาลงทุนในหุ้นกลุ่มเล็ก ประเภทหุ้นรับเหมา และวัสดุก่อสร้าง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us