ตลาดวัสดุรับศึกหนักอสังหาฯ หดตัว เอสซีจีเตรียมรีแบรนด์สินค้าในเครือ ปรับโฉมใหม่ภายในปีหน้า สร้างแบรนด์ชิงยอดขายรับมือตลาดแข่งดุ หลังประเมินภาพรวมตลาดทุกกลุ่มวัสดุโตติดลบ ประเดิมรีแบรนด์ใหญ่คอตโต้ ผนึก 3 สินค้าสุขภัณฑ์-ก๊อก-กระเบื้องทำการตลาดร่วมกัน ภายใต้โลโก้เดียว
ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างที่หดตัวตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างแทบทุกรายต้องตั้งเป้าการเติบโตปีนี้ไว้แบบ Conservative พร้อมกับเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อประคับประคองยอดขาย ทั้งการพยายามแย่งมาร์เก็ตแชร์จากคู่แข่ง หรือขยับหนีด้วยการสร้างดีมานด์ใหม่ เพื่อเข้าหาตลาดใหม่ แนวทางของเอสซีจีในฐานะเบอร์หนึ่งของตลาดวัสดุก่อสร้างก็มองไว้ไม่แตกต่างกัน และพบว่าในไตรมาส 1 ตลาดบ้านสร้างใหม่หดตัว 12% ตลาดสุขภัณฑ์หดตัว 16% ตลาดกระเบื้องเซรามิคหดตัว 16% ตลาดกระเบื้องหลังคาหดตัว 6% ทั้งนี้ตลาดระดับกลางได้รับผลกระทบมากที่สุด หดตัวลง 14% ส่วนตลาดระดับบนและตลาดล่างยังทรงตัว นอกจากนี้โครงการจัดสรรในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลยังลดลงยอดขายในหัวเมืองท่องเที่ยวชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ
ดังนั้นทิศทางปีนี้เอสซีจีจะเน้นรุกตลาดกลาง-บน และตลาดต่างจังหวัด ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท อย่างไรก็ตาม การปรับรูปแบบการขายสินค้ามาเป็นการขายแบบครบวงจรในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายของเอสซีจีมีอัตราการเติบโตที่ดี แม้ภาพรวมตลาดจะหดตัว โดยไตรมาสแรกมียอดขายประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้า โดยทั้งปีคาดว่าจะมียอดขาย 25,000 ล้านบาท ส่วนปี 2551 มียอดขาย 23,000 ล้านบาท
ในปีนี้เอสซีจีมีภารกิจใหญ่ที่จะต้องรีแบรนด์สินค้าในกลุ่มต่างๆ ที่มีอยู่มากมายหลายแบรนด์ แต่ละแบรนด์ทำตลาดมาหลายปี ให้มีภาพลักษณ์ที่ทันสมัย ชัดเจน ล้อไปกับนโยบายการทำตลาดภายใต้แนวคิด 'The Home Solution' หรือการขายสินค้าแบบยกระบบ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื่องบ้านอย่างครบวงจรในคราวเดียว ซึ่งการรีแบรนด์สินค้าไม่ใช่กลยุทธ์ที่เอสซีจีเพิ่งจะคิดทำเมื่อตอนเศรษฐกิจตกต่ำ แต่พิชิต ไม้พุ่ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า เป็นแผนระยะยาวที่เอสซีวางไว้ตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้ว หลังจากผลการสำรวจข้อมูลของลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ พบว่า ที่ผ่านมามีความสับสนในเรื่องแบรนด์สินค้าทำให้เอสซีจีตัดสินใจรวมสุขภัณฑ์-ก๊อกน้ำ-กระเบื้อง ภายใต้แบรนด์ 'คอตโต้' มารีแบรนด์ไว้ภายใต้แบรนด์และโลโก้เดียว ภายใต้แนวคิด The Right Solution ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภคได้ในแบรนด์เดียว จากนั้นจะทยอยรีแบรนด์สินค้ากลุ่มกระเบื้องหลังคาต่อไปให้เสร็จภายในปีหน้า
หลังจากรีแบรนด์คอตโต้แล้ว การพัฒนาสินค้าและการวางแผนการตลาดของทั้ง 3 สินค้าจะต้องทำร่วมกัน และเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งสินค้าและบริการ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการทำตลาดทั้งในและนอกประเทศ ภายใต้แนวทางการทำงาน 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1.สร้างสรรค์ร่วมกัน (Co Create) โดยจะร่วมกับแบรนด์ชั้นนำ เช่น มิคกี้เมาส์ ดอยตุงในการออกแบบสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษภายใต้ชื่อ 'Cotto Decor' 2.การคิดค้นนวัตกรรม (Innovation) 3.การมอบความสะดวกสบาย (Hassle Free) เช่น ระบบการติดตั้งที่ง่ายและรวดเร็ว และการบริการของ Cotto Studio ที่มีบริการครบครันตั้งแต่ออกแบบจนถึงการติดตั้งโดยช่างมืออาชีพ ช่วยให้การทำห้องน้ำเป็นเรื่องง่าย 4.การสร้างคุณภาพมาตรฐาน (Integrity) ของสินค้าและบริการ
การทำงานร่วมกันของคอตโต้จะเน้นพัฒนาสินค้าเป็นชุดที่มีดีไซน์ที่กลมกลืนกันทั้งสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ และกระเบื้อง ช่วยให้ผู้บริโภคเห็นภาพและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยล่าสุดได้พัฒนาออกเป็น 5 แนวคิด ได้แก่ Cotto Eco สินค้าสำหรับผู้ห่วงใยโลกและสิ่งแวดล้อม, Cotto Elegance สินค้าที่เน้นดีไซน์หรูหรา, Cotto Natural สินค้าที่ถ่ายทอดความงามของธรรมชาติ, Cotto Care สินค้าที่เน้นสุขอนามัยและความปลอดภัยสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ และ Cotto Wellness สินค้าเพื่อความสุนทรีย์ของชีวิต ความหลากหลายของสินค้าเป็นการตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับบริการติดตั้ง 'Cotto Speed Bathroom' ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้คอตโต้คาดหวังว่า การรีแบรนด์จะช่วยให้มียอดขายเพิ่มขึ้น
สำหรับปีนี้คอตโต้ตั้งเป้ายอดขายไว้ทรงตัวเท่าปีที่แล้ว ได้แก่ กลุ่มสุขภัณฑ์-ก๊อกน้ำ 5,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์ 40% กลุ่มกระเบื้อง 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์ 25% คาดการณ์ว่าตลาดรวมสุขภัณฑ์ปีนี้จะหดตัวลง 10% ส่วนตลาดรวมกระเบื้องหดตัว 15% รวมไปถึงตลาดส่งออกด้วย ซึ่งกระทบกับยอดขายของแบรนด์ 'โตโต้' ซึ่งกินสัดส่วน 10-20% ของยอดขายรวมโดยปีนี้โตโต้จะเร่งบุกตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา พร้อมกับเจาะตลาดเก่า เช่น จีน เวียดนามให้ลึกขึ้นผ่านช่องทางการตลาดของเอสซีจีในต่างประเทศและดีลเลอร์ในท้องถิ่น ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 3,000 ล้านบาท
|