Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2531
ถุงมือยาง เอดส์ธุรกิจตัวใหม่             
โดย สมชัย วงศาภาคย์
 


   
www resources

โฮมเพจ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน - บีโอไอ

   
search resources

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน - บีโอไอ
Investment
Chemicals and Plastics




"แฟชั่นเห่อการลงทุนถุงมือยางกำลังระบาดอย่างรวดเร็วในหมู่นักลงทุนไทย เหมือนโรคเอดส์ที่กำลังระบาดไปทั่วโลก เชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดการลงทุนนี้อยู่ที่การคืนทุนในเวลาอันสั้น และผลกำไรที่งดงาม แต่การผลิตที่ซับซ้อน และการขาดแคลนที่ชำนาญการเป็นอุปสรรคที่ส่งผลสะเทือนให้ธุรกิจนี้ไม่ง่ายอย่างที่หวัง

18 พฤศจิกายน 2531 โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า ห้องวิภาวดี บอลรูม บี แออัดเต็มไปด้วยผู้คนกว่า 200 คน ยืนหยัดฟังคำบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตถุงมือยางอย่างใจจดใจจ่อ อารมณ์ความรู้สึกสนใจอย่างเต็มที่เช่นนี้ ไม่แตกต่างจากวันก่อนนี้ (17 พฤศจิกายน) ที่พวกเขาเหล่านั้นต่างได้มาร่วมกันฟังคำบรรยายเรื่องอุตสาหกรรมน้ำยางข้น

มันเป็นเหตุการณ์ที่จะต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ธุรกิจไทยอีกบทหนึ่ง ที่ธุรกิจไทยในทศวรรษที่ 80 เริ่มให้ความสนใจกับ "ผลิตภัณฑ์ยางพารา" ทั้งที่ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก่อกำเนิดในธุรกิจไทยมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 20 หรือ 60 ปีก่อนหน้านี้แล้ว

ผลิตภัณฑ์ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจเส้นเลือดใหญ่ของชาวภาคใต้ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในภาคใต้ของไทยมาเป็นเวลานาน การนำยางพาราที่ชาวนาเกษตรกรภาคใต้ปลูกมาเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจเพื่อผลิตเป็นยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ยางเครพ และขายส่งออกไปยังโรงงานผู้ผลิตอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ทำรายได้ติดอันดับ 1 ใน 5 ของมูลค่าสินค้าส่งออกสูงสุดของไทยมาตลอดหลายสิบปี

กลุ่มเต๊กบีห้าง กลุ่มคอแงะ และกลุ่มไทยแสง ได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้าเก่าแก่ด้านยางพาราแถวภาคใต้มาเป็นเวลานาน และไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า 3 กลุ่มนี้เป็นผู้รู้เรื่องยางพาราและธุรกิจค้าด้านยางพาราดีที่สุด และทรงอิทธิพลที่สุดของไทย

ที่น่าฉงนสนเท่ห์มากก็คือ ในห้องวิภาวดีบอลลูม บี ที่มีการบรรยายในหัวข้อเรื่อง น้ำยางข้น และเทคโนโลยีการผลิตอุตสาหกรรมถุงมือยางวันที่ 17 และ 18 พฤศจิกายนนั้น มีปรากฏร่างคนของกลุ่มเต๊กบีห้างมานั่งฟังด้วยเพียง 1 คนเท่านั้น

ซึ่งนั่นหมายความว่าที่เหลือ 200 คนนั้นเป็นผู้สนใจที่คิดจะลงทุนในอุตสาหกรรมยางพารานี้ ล้วนแต่หน้าใหม่ในวงการค้ายางและผลิตภัณฑ์ยางเกือบทั้งสิ้น

"ผมสังเกตดูกว่า 50% เป็นผู้กำลังคิดจะลงทุนเท่านั้น เข้าใจว่าคงเข้ามาสังเกตการณ์ดูมากกว่า" ชิปปิ้งขนน้ำยางข้นและเคมีภัณฑ์ให้กับบริษัทผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่เข้าร่วมฟังคำบรรยายในวันนั้นกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงผู้คนกว่า 200 คนที่แออัดกันมาฟังคำบรรยายในวันนั้น

จุดสังเกตนี้เมื่อตรวจสอบกลับมาที่รายชื่อผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในอุตสาหกรรมน้ำยางข้นและถุงมือยางที่มีจำนวนมากมายอุตสาหกรรมละกว่า 100 ราย ก็จะเห็นว่าส่วนใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริมเป็นนักลงทุนหน้าใหม่จากกรุงเทพฯ ทั้งนั้น

นักลงทุนชาวใต้กลับมีจำนวนน้อยมาก และผู้ที่คร่ำหวอดกับธุรกิจค้ายางมานานหลายสิบปี ก็มีแทบจะนับหัวได้!

"เวลานี้บีโอไอให้การส่งเสริมฯ ผลิตยางข้น 183 โรง เดินเครื่องผลิตจริง ๆ เพียง 20 โรง อุตสาหกรรมถุงมือยางส่งเสริมไป 106 รายผลิตได้จริง ๆ 12 ราย (ดูตารางผู้ลงทุน) โดยสรุปแล้วมีผู้ลงทุนจริง ๆ ในอุตสาหกรรมน้ำยางข้นและถุงมือยางเพียง 10% ของจำนวนที่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอเท่านั้น" สุเทพ อรุณกูล ตัวแทนจำหน่ายเครื่องผลิตถุงมือยางยี่ห้อ "LAN NIEN" ให้ข้อมูลแก่ "ผู้จัดการ"

คนในแวดวงอุตสาหกรรมต่างยอมรับกันว่า ทั้งอุตสาหกรรมผลิตน้ำยางข้นที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตถุงมือยางและอุตสาหกรรมถุงมือยาง ต่างเป็นอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างเพิ่งตื่นตัวให้ความสนใจลงทุนกันระยะ 1-2 ปีมานี้เอง โดยส่วนใหญ่รับอิทธิพลจากข่าวสาร "โรคเอดส์" ที่เกิดขึ้นในซีกโลกตะวันตก แถว ๆ สหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก

ก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมทั้ง 2 ประเภท ดังกล่าว นักลงทุนเป็นชาวท้องถิ่นที่ลงทุนขนาดเล็ก ๆ

"บริษัทในกลุ่มคอแงะ บุกเบิกอุตสาหกรรมผลิตน้ำยางข้นเป็นรายแรกใช้เครื่องจักร 5 เครื่อง เป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ๆ เมื่อ 20 ปีก่อน" แหล่งข่าวขายเครื่องแยกน้ำออกจากน้ำยาง ALFA - LAVAL เล่าย้อนอดีตให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

กลุ่มคอแงะเป็นกลุ่มค้ายางเก่าแก่รายหนึ่งในภาคใต้ มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากยางพาราครบวงจรตั้งแต่สวนยางไปจนถึงทำเฟอร์นิเจอร์ที่นอนยี่ห้อ "แพนเท็กซ์"

ส่วนอุตสาหกรรมผลิตถุงมือยางบริษัทไทยรับเบอร์เป็นเจ้าแรกที่ลงทุนโดยใช้เทคโนโลยีการผลิตจากไต้หวันเมื่อ 9 ปีก่อน ถุงมือยางที่บริษัทนี้ผลิตเป็นถุงมือยางที่ใช้ในครัวเรือน (HOUSEHOLD GLOVES) ป้อนตลาดในประเทศ

ทิ้งช่วงไป 7-8 ปี ที่การลงทุนในอุตสาหกรรมนี้แทบจะไม่มีการเคลื่อนไหว!

ปลายปี 2529 ข่าวการระบาดของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือ "เอดส์" เขย่าขวัญผู้คนในซีกโลกตะวันตกเกิดขึ้น

เพียงลัดนิ้วมือเดียว กระแสข่าวนี้ได้ลามปามเข้ามายังประเทศไทย!

ความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อปกป้องคุ้มกันการติดเชื้อโรคเอดส์พุ่งสูงลิ่วในซีกโลกตะวันตก

ปรากฏการณ์ "ความหวาดกลัว" ติดเชื้อนี้กระตุ้นให้นักลงทุนไทยสนใจลงทุนในธุรกิจผลิตสินค้าป้องกันการติดเชื้อนี้กันอย่างบ้าคลั่ง! เพราะเล็งเห็นแสงสว่างกำไรลอยอยู่เบื้องหน้า

เมื่อ "กรุงเทพฯ" นครหลวงของประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผูกขาดข่าวสารที่รวดเร็วจากทุกมุมโลก นักลงทุนที่อยู่ในเมืองศูนย์กลางแห่งนี้ จึงฉับไวต่อข่าวที่เกิดขึ้น ประกอบกับกรุงเทพฯ เป็นเมืองของการแสวงหาโอกาสทำธุรกิจใหม่ ๆ โดยธรรมชาติ

จุดนี้เมื่อนำไปเชื่อมโยงกับข้อสังเกตเบื้องต้นที่ว่า ทำไมนักลงทุนจากกรุงเทพฯ จึงเป็นกลุ่มที่ขอส่งเสริมจากบีโอไอในการผลิตน้ำยางข้นและถุงมือยางมากที่สุดได้แจ่มชัดในคำตอบที่มีว่า "เป็นเพราะนักลงทุนจากกรุงเทพฯ สันทัดในการตัดสินใจลงทุนธุรกิจประเภทฉาบฉวย คืนทุนเร็ว ด้วยอยู่ใกล้แหล่งข่าวสาร"

ต้นปี 2530 กลุ่มนักลงทุนจากกรุงเทพฯ โครงการผลิตถุงมือยางและน้ำยางข้นกันอย่างคึกคัก พร้อม ๆ กับข่าวเปิดการส่งเสริมจากบีโอไอ

"นักลงทุนจากกรุงเทพฯ ขอส่งเสริมผลิตน้ำยางข้นกันมากเหลือเกิน จุดสำคัญผมว่าอยู่ที่ผลจากจิตวิทยาในตลาดที่นักลงทุนจากกรุงเทพฯ จับได้ว่า หนึ่ง - ผลตอบแทนจากการลงทุนสั้นและเร็วมากภายใน 1 ปี เท่านั้น สอง - ระดับราคาน้ำยางข้นเริ่มไต่จากตันละ 700-800 เหรียญสหรัฐฯ เป็น 1,000 กว่าเหรียญ มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นไปอีก และสาม - ตลาดผู้ผลิตถุงยางอนามัยและถุงมือยางในประเทศมีความต้องการวัตถุดิบน้ำยางข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผล 3 ข้อนนี้ก็ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ให้นักลงทุนต่างเฮโลกันลงทุน" บริษัทผู้ขายเครื่องจักร ALFA - LAVAL ให้ข้อสังเกต

ฝ่ายวิชาการธนาคารกสิกรไทยได้ให้ตัวเลขความต้องการใช้น้ำยางข้น ซึ่งตรงกับข้อสังเกตข้างต้นอย่างมาก กล่าวคือ ความต้องการใช้น้ำยางข้นได้พุ่งสูงขึ้นจาก 715 ตันในปี 2528 เป็นประมาณ 10,000 ตันในปี 2530 หรือเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าตัว

ขณะเดียวกันปริมาณการผลิตได้เติบโตจาก 1,200 ตันในปี 2528 เป็น 13,500 ตันในปี 2530 หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัวเป็นต้น!

เมื่อสภาพตลาดน้ำยางข้นอยู่ในสถานะที่เรียกว่า ผลิตได้เท่าไรก็ขายหมด แถมราคาดีด้วย วัฏจักรพฤติกรรมการลงทุนแบบใยแมงมุมที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมเกษตรก็เกิดขึ้น นักลงทุนพากันแห่แหนลงทุนกันอย่างบ้าคลั่ง โดยแรงจูงใจจากราคาและโรคระบาดจากเอดส์

"ผู้จัดการ" สืบค้นตัวเลขที่แน่นอนที่บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว ณ 15 พฤศจิกายนปีนี้มีจำนวน 183 ราย เฉพาะวันที่ 26 กันยายน เพียงวันเดียวอนุมัติส่งเสริม 60 ราย

แต่จากการตรวจสอบตัวเลขจำนวนรายที่ดำเนินการผลิตจริง ๆ เพียง 20 รายเท่านั้น มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 0.18 ล้านตัน

ถ้าหากทุกรายสามารถดำเนินการผลิตจริง จะมีกำลังผลิตรวมทั้งสิ้น 1.34 ล้านตัน ซึ่งจะมีปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบคือน้ำยางสด ซึ่งผลิตได้เพียงปีละ 1 ล้านตันเท่านั้น

"น้ำยางสดบางส่วนต่างนำไปผลิตยางแผ่น ยางเครพ ยางแท่ง ถ้าราคาน้ำยางข้นดี ชาวสวนยางก็จะผลิตน้ำยางสดเพื่อป้อนโรงงานน้ำยางข้น ถ้าราคาเกิดตกขึ้นมาก็ไม่ผลิต ไปผลิตยางแท่งหรือแผ่นที่ราคาดีกว่า มันเป็นไปตามกลไกตลาดที่ควบคุมไม่ได ้" วินัย ทาวัน วิศวกรเคมีจากบริษัท LATEX PRODUCTS กล่าวถึงปัญหานี้ให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

จุดนี้ เสรี เสรีวัฒโนภาส ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจแบงก์กสิกรไทย ซึ่งครอบครองส่วนแบ่งตลาดสินเชื่ออุตสาหกรรมน้ำยางข้นประมาณ 60% ได้กล่าวความเห็นเชิงสนับสนุนข้อสังเกตข้างต้นเพิ่มเติมว่า

"มันเป็นปัญหาทางจิตวิทยาด้วยที่ชาวสวนยางมีความรู้สึกว่าถ้าหันมาผลิตน้ำยางสด เพื่อป้อนโรงงานน้ำยางข้นอาจทำให้อำนาจต่อรองราคาผลิตเสียเปรียบเจ้าของโรงงาน เนื่องจากอาจถูกโกงน้ำหนักและคุณภาพน้ำยางได้ มันไม่เหมือนการผลิตยางแผ่นที่เห็นน้ำหนักกันชัดเจน ดังนั้นปัญหาทางจิตวิทยานี้มันเกี่ยวโยงกับทัศนคติในการเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตของชาวสวนยางที่ค่อนข้างจะแก้ไขได้ยากในเวลาอันรวดเร็ว"

ถึงตรงนี้มีคำถามเกิดขึ้นว่า แล้วบีโอไอให้การส่งเสริมไปได้ยังไงถึงเกือบ 200 ราย? ทั้ง ๆ ที่บีโอไอก็รู้อยู่ว่าที่ให้การส่งเสริมไปแล้วลงทุนผลิตได้ไม่ถึง 20% จากจำนวนที่ขออนุมัติมา!!!

การที่บีโอไอแก้ลำด้วยการวางกฎเกณฑ์ให้ผู้ขอส่งเสริมต้อวางเงินค้ำประกันโครงการ 1 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 กันยายนเป็นต้นมานั้นก็รู้อยู่ว่าไม่เป็นผล แต่ก็ยังส่งเสริมกันต่อไปอีก ขณะที่มาเลเซียเวลานี้ ส่งเสริมกันไปแล้วเกือบ 200 รายเท่ากับไทย แต่เปิดได้จริงเพียง 65 ราย ทางบีโอไอมาเลเซียก็ปิดส่งเสริมไปแล้ว "คุณรู้ไหม เวลานี้พวกผีที่ขอส่งเสริมกันมาเกือบ 50 ราย เขาวิ่งเร่ขายใบอนุมัติส่งเสริมโครงการกันแล้ว ราคาใบละตั้งแต่ 1 ล้านบาทจนถึง 3 ล้านบาท" แหล่งข่าววงการชิปปิ้งน้ำยางข้นกล่าว"

สภาพการลงทุนที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมน้ำยางข้น ก็เหมือนกับอุตสาหกรรมผลิตถุงมือยาง

บีโอไอให้การส่งเสริมนักลงทุนที่เสนอโครงการผลิตถุงมือยางไปแล้วประมาณ 106 ราย ที่ผลิตได้จริง ๆ ประมาณ 12 ราย ในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ราย กำลังผลิตรวมประมาณ 1,000-2,000 ล้านคู่ต่อปี ซึ่งกว่าร้อยละ 50 เป็นถุงมือยางประเภทใช้หนเดียวแล้วทิ้งที่เรียกว่า EXAMINATION GLOVES

อมร อัศวานันท์ ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่ออุตสาหกรรม แบงก์ไทยพาณิชย์ได้ให้ข้อมูลแก่ "ผู้จัดการ" ว่าปริมาณการผลิตจำนวนดังกล่าว ประมาณร้อยละ 90 อยู่ในกลุ่มผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ 3 ราย คือ บริษัท แอนเซลล์ (ประเทศไทย) บริษัท เมดิคัลโกรฟ และบริษัทเจนนี่รับเบอร์

อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้ก็ยังไม่ชัดเจนนักว่าจะถูกต้อง เพราะเมื่อ "ผู้จัดการ" สืบค้นกับแหล่งข่าวในแบงก์กสิกรไทยซึ่งเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อแก่อุตสาหกรรมนี้มากที่สุด รวมถึงแหล่งข่าวในบริษัทยูนิโกรฟปรากฏว่าบริษัทผู้มีส่วนแบ่งตลาดในการผลิตถุงมือยางเกือบร้อยละ 90 อยู่ในมือผู้ผลิต 5 รายคือ บริษัท แอนเซล บริษัทเจนนี่รับเบอร์ บริษัท โอเรียนท์รับเบอร์ บริษัทดอกเตอร์บู และบริษัทยูนิโกรฟ

ไม่ว่าข้อมูลในแง่นี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สำคัญคือข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างการผลิตในอุตสาหกรรมถุงมือยางไทย และในระยะปัจจุบันว่ามีแนวโน้มที่ผู้ผลิตรายใหม่จะแทรกตัวเข้ามาได้ไม่ง่ายนัก

ตัวเลขความต้องการถุงมือยางในตลาดโลกทั้ง 4 ประเภทคือ ใช้ในครัวเรือน ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้ทางการแพทย์ และใช้หนเดียวแล้วทิ้งเหมือนกระดาษทิชชู เป็นเรื่องที่บอกชัดเจนได้ยาก วินัย ทาวัน จากบริษัทยูนิโกรฟผู้ผลิตยักษ์ใหญ่รายหนึ่งได้ให้ข้อมูลประมาณการว่าตกอยู่ราว ๆ 20-25 พันล้านชิ้น หรือ 10-12 พันล้านคู่/ปี

ข้อมูลความต้องการในตลาดโลกเช่นนี้จะเท็จจริงแค่ไหน ตอบได้ยากแม้แต่หน่วยงานอย่างธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อนี้ไปและบีโอไอเองซึ่งเป็นผู้ให้การส่งเสริมการลงทุนก็ตอบไม่ได้

หน่วยงานทั้ง 2 ไม่ว่าจะเป็นธนาคารก็ดีหรือบีโอไอก็ดีสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ใช้บรรทัดฐาน JUDGE A FEELING ในการประเมินหรือวินิจฉัยขนาดของตลาด!

"ขนาดของตลาด เราตอบไม่ได้เพราะไม่รู้จริง ๆ แนวโน้มตลาดก็เช่นกันเราไม่รู้ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือไม่และแค่ไหน? แต่เราก็ประเมินเอาจากทิศทางของข่าวที่เราได้รับว่ามันน่าจะสูงขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้หน่วยงานต่าง ๆ ในสหรัฐฯ เริ่มวางกฎเกณฑ์ให้พนักงานต้องมีถุงมือยางกันคนละ 2 คู่เป็นอย่างน้อยในเวลาปฏิบัติหน้าที่…มีตัวอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ว่าหน่วยงานปราบปรามของตำรวจในรัฐหนึ่งของสหรัฐฯ ออกกฎให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสวมถุงมือยางเวลาปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นหรือจับกุมคนร้าย หลังจากที่มีนายตำรวจผู้หนึ่งติดเชื้อโรคเอดส์ที่สันนิษฐานว่าเกิดจากไปสัมผัสกับบาดแผลคนร้าย" เสรี เสรีวัฒโนภาส จากแบงก์กสิกรไทยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

ตรงนี้ถ้าว่าไปแล้วมันน่ากลัวมาก! เพราะการสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้โดยที่ไม่รู้ตัวเลขขนาดของตลาดที่แท้จริงเป็นความเสี่ยงอย่างมาก

แบงเกอร์รายหนึ่งได้ประเมินคร่าว ๆ ให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า เวลานี้มีการปล่อยสินเชื่อสนับสนุนแก่อุตสาหกรรมนี้ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท!

กระนั้นก็ตามแม้ว่า สถาบันการเงินบางแห่งที่ปล่อยสินเชื่อแก่อุตสาหกรรมนี้ จะยืนยันว่า การคุ้มทุนจากการลงทุนด้วยเครื่องจักรประมาณ 5-6 เครื่องจะใช้เวลาเร็วเพียง 2-3 ปี และ PROFITABILITY อยู่ในเกณฑ์สูงประมาณไม่ต่ำกว่า 30% (ดูตารางประมาณการกำไรขาดทุน) นอกจากนี้ผลตอบแทนด้านการชดเชยภาษีส่งออกอีก 6.89% ของมูลค่าส่งออก และการสนับสนุนด้านการเงินดอกเบี้ยต่ำจาก PACKING CREDIT 7% ก็เป็นรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำที่นักลงทุนผลิตถุงมือยางได้รับกันอย่างเต็มที่อีกส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากกำไรจากการผลิต

"บริษัท แอนเซลล์ (ไทย) ยักษ์ใหญ่ถุงมือยาง ณ สิ้นปี 2530 มียอดคงค้างตั๋วส่งออกกับแบงก์ชาติ 255.9 ล้านบาท เทียบกับยอด flow การรับซื้อตั๋วส่งออกถุงมือยางของแบงก์ชาติ 557.7 ล้านบาท แสดงว่าแอนเซลล์มีส่วนแบ่งผลประโยชน์จาก PACKING CREDIT เกิน 50% ของทั้งหมด" แหล่งข่าวในแบงก์ชาติเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง ซึ่งแสดงอย่างแจ่มชัดถึงตัวอย่างหนึ่งของผลประโยชน์จากการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้

แต่ลึก ๆ ลงไปแล้วแบงเกอร์เองก็ดูจะไม่วางใจผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้เท่าไรนัก

"ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ดูจะละเลยความสำคัญการบริหารเงินอย่างเข้มงวดเวลามาขอวงเงินจากเขาเพื่อขยายโครงการผลิต เราจะต้องมีเงื่อนไขให้เขาเพิ่มทุนด้วยเสมอ เพื่อให้ DEBT / EQUITY RATIOอยู่ในสัดส่วน 2.5:1" เสรีจากกสิกรไทยกล่าวยอมรับกับ "ผู้จัดการ"

พูดง่าย ๆ เวลานี้ แม้ผู้ผลิตถุงมือยางที่ลงทุนไปแล้ว ส่วนใหญ่จะดูลอยตัว แต่วงการแบงเกอร์เองก็ยังไม่สบายใจนัก ด้วยความลึกลับของตลาด

มีบริษัทอยู่รายหนึ่งชื่อดอกเตอร์ บู ผลิตถุงมือยางคุณภาพดีส่งไปสหรัฐฯ เพียงแค่กล่องบรรจุมีตราคำว่า BOXES ตกตัว E ไปตัวเดียวที่ข้างกล่องถูกตีคืนทันที ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการนำถุงมือยางไปตรวจสอบคุณภาพเลย" แหล่งข่าวเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนความลึกลับของพฤติกรรมตลาด

นอกจากนี้ในเรื่องการผลิตก็ดูจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วงการแบงก์ต่างให้ความสนใจเป็นพิเศษ และเชื่อกันว่าเป็นเหตุสำคัญที่ตอบข้อสงสัยในตัวเลขการผลิตจริงกับโครงการที่ขอส่งเสริมที่มีสัดส่วนแตกต่างราวฟ้ากับดิน

ณรงค์ ศรีสอ้าน ผู้บุกเบิกสินเชื่ออุตสาหกรรมเกษตรให้กับแบงก์กสิกรไทย และเป็นคนแรกที่อนุมัติสินเชื่อให้แก่บริษัทแอนเซลล์ ยักษ์ใหญ่ผลิตภัณฑ์ยางของโลก ลงทุนขยายการผลิตสู่ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ เมื่อ 2 ปีก่อน กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบ (น้ำยางข้น) และการควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานความต้องการของตลาด เป็นประเด็นปัญหาการผลิตที่ถือว่าเป็นหัวใจความสำเร็จหรือล้มเหลวของการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้

และบรรทัดฐานนี้เองที่แบงก์กสิกรไทยใช้เป็นหลักในการพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่ออุตสาหกรรมถุงมือยาง!

คำถามคือ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

ก็เพราะว่าวัตถุดิบคือน้ำยางข้น มีปริมาณไม่เพียงพอต่อการป้อนตลาด ส่วนหนึ่งที่ผลิตได้มีการส่งออกไปต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน และมาเลเซีย เนื่องจากราคาดีกว่า

"3 เดือนก่อนหน้านี้ ราคาน้ำยางข้นชั้นดีตกตันละ 2,200 เหรียญสหรัฐฯ พอมาในเวลานี้ตกเหลือตันละ 1,200 เหรียญ ขณะที่ในมาเลเซียราคาตกตันละ 1,400 เหรียญ โรงงานยอมผลิตป้อนตลาดต่างประเทศ 40% อีก 60% ใช้ในโรงงานผลิตถุงมือยางของผมเอง ถ้าคุณไม่มีฐานโรงงานผลิตน้ำยางข้นเอง เสี่ยงมากที่คุณจะตั้งโรงงานผลิตถุงมือยางเพราะอาจเจอปัญหาไม่มีน้ำยางข้นส่งมอบได้เพียงพอ" วินัย ทาวัน วิศวกรเคมีจากบริษัทยูนิโกรฟกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

เฉลียว สุวรรณกิติ จากบริษัทธนสถาปนา ได้กล่าวกับ "ผู้จัดการ" เพื่อตอกย้ำความสำคัญในประเด็นนี้ว่า "มีนักลงทุนรายหนึ่งมาหาผมเพื่อชวนให้ธนสถาปนาร่วมลงทุนผลิตถุงมือยาง ผมถามว่ามีฐานการผลิตน้ำยางข้นไหม? มีนักเคมีที่รู้การผสมน้ำยางไหม? ตลาด - ลูกค้าที่พร้อมจะรับซื้อมีบ้างไหม? ทุกอย่างที่ผมได้คำตอบคือไม่มีอะไรเลย เขามีแต่ความคิดว่าธุรกิจนี้ผลตอบแทนมันดี น่าลงทุน แต่ผมบอกเขากลับไปว่า คุณอ่านรายงานการศึกษาเรื่องนี้ที่ผมจ้างให้อาจารย์บุษบาจากจุฬาฯ ทำดูก่อน คุณเชื่อไหมหลังจากนั้นเขาติดต่อกลับมาที่ผมและพูดว่า ขอบคุณที่ให้ข้อมูลกับเขาอย่างรอบคอบ ไม่อย่างนั้นเขาอาจต้องพังทลายไปกับโครงการนี้แน่ ๆ"

การผลิตถุงมือยางดูภายนอกอาจจะง่ายแต่กระบวนการผลิตซับซ้อนมาก ความรู้ความชำนาญของนักเคมีที่ผสมน้ำยางต้องมือถึง และเป็นไปอย่างต่อเนื่องจริง ๆ (ดูแผนภูมิประกอบ) ขณะที่ในปัจจุบันนักเคมีที่มีคุณสมบัติเป็น RUBBER TECHNOLOGIST ก็ขาดแคลนเอามาก ๆ

ตลาดต้องการปีละ 80 คน แต่มหาวิทยาลัยผลิตได้ 10 กว่าคน! "เวลานี้คุณเชื่อไหม นักเคมีถูกจองตัวทันทีที่อยู่ปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย พอเขารู้ว่าจบส่งเครื่องบินมารับให้ไปอยู่โรงงานที่ปักษ์ใต้ก็ยังมี ราคาค่าตัวตกเดือนละ 10,000 บาทขึ้นไป และยิ่งถ้าหากว่ามีประสบการณ์เคยทำงานมาก่อน ค่าตัวยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก 5-6 เท่าตัว" สุเทพ อรุณกูล นักชิปปิ้งจากบริษัท LIN CORPORATION เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

RUBBER TECHNOLOGIST ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในกระบวนการผลิตถุงมือยางเพราะต้นทุนการผลิตกว่า 50% อยู่ที่น้ำยางข้นและสารเคมีที่จำเป็นต้องใช้ RUBBER TECHNOLOGIST ควบคุมส่วนผสมนี้ออกมาให้ได้คุณภาพอย่างแท้จริง

ถุงมือยางที่มีตามด (PINHOLE) และความเหนียวต่ำกว่า 90 นิวตั้น ซึ่งตลาดสหรัฐฯ ถือว่าคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน หัวใจสำคัญก็อยู่ที่การผสมน้ำยางไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ตัวเครื่องจักร" ผู้รู้เล่า

ตรงนี้แหละคือหัวใจสำคัญที่สุดที่แบงก์ใช้เป็นหลักในการพิจารณาความเป็นไปได้โครงการพิจารณาสินเชื่อ!

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าพร้อมเรื่องการผลิต ก็โดดลงมาลงทุนได้เลย แต่ถ้าไม่พร้อมอย่าเข้ามาเด็ดขาด จะพากันลงเหวตายกันหมด!

นี่เป็นคำเตือนจากนายแบงก์…ที่ฝาก "ผู้จัดการ" มาบอกต่อ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us