"แฟชั่นเห่อการลงทุนถุงมือยางกำลังระบาดอย่างรวดเร็วในหมู่นักลงทุนไทย
เหมือนโรคเอดส์ที่กำลังระบาดไปทั่วโลก เชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดการลงทุนนี้อยู่ที่การคืนทุนในเวลาอันสั้น
และผลกำไรที่งดงาม แต่การผลิตที่ซับซ้อน และการขาดแคลนที่ชำนาญการเป็นอุปสรรคที่ส่งผลสะเทือนให้ธุรกิจนี้ไม่ง่ายอย่างที่หวัง
18 พฤศจิกายน 2531 โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า ห้องวิภาวดี บอลรูม บี แออัดเต็มไปด้วยผู้คนกว่า
200 คน ยืนหยัดฟังคำบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตถุงมือยางอย่างใจจดใจจ่อ
อารมณ์ความรู้สึกสนใจอย่างเต็มที่เช่นนี้ ไม่แตกต่างจากวันก่อนนี้ (17 พฤศจิกายน)
ที่พวกเขาเหล่านั้นต่างได้มาร่วมกันฟังคำบรรยายเรื่องอุตสาหกรรมน้ำยางข้น
มันเป็นเหตุการณ์ที่จะต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ธุรกิจไทยอีกบทหนึ่ง
ที่ธุรกิจไทยในทศวรรษที่ 80 เริ่มให้ความสนใจกับ "ผลิตภัณฑ์ยางพารา"
ทั้งที่ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก่อกำเนิดในธุรกิจไทยมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 20 หรือ 60
ปีก่อนหน้านี้แล้ว
ผลิตภัณฑ์ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจเส้นเลือดใหญ่ของชาวภาคใต้ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในภาคใต้ของไทยมาเป็นเวลานาน
การนำยางพาราที่ชาวนาเกษตรกรภาคใต้ปลูกมาเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจเพื่อผลิตเป็นยางแผ่นรมควัน
ยางแท่ง ยางเครพ และขายส่งออกไปยังโรงงานผู้ผลิตอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
ทำรายได้ติดอันดับ 1 ใน 5 ของมูลค่าสินค้าส่งออกสูงสุดของไทยมาตลอดหลายสิบปี
กลุ่มเต๊กบีห้าง กลุ่มคอแงะ และกลุ่มไทยแสง ได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้าเก่าแก่ด้านยางพาราแถวภาคใต้มาเป็นเวลานาน
และไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า 3 กลุ่มนี้เป็นผู้รู้เรื่องยางพาราและธุรกิจค้าด้านยางพาราดีที่สุด
และทรงอิทธิพลที่สุดของไทย
ที่น่าฉงนสนเท่ห์มากก็คือ ในห้องวิภาวดีบอลลูม บี ที่มีการบรรยายในหัวข้อเรื่อง
น้ำยางข้น และเทคโนโลยีการผลิตอุตสาหกรรมถุงมือยางวันที่ 17 และ 18 พฤศจิกายนนั้น
มีปรากฏร่างคนของกลุ่มเต๊กบีห้างมานั่งฟังด้วยเพียง 1 คนเท่านั้น
ซึ่งนั่นหมายความว่าที่เหลือ 200 คนนั้นเป็นผู้สนใจที่คิดจะลงทุนในอุตสาหกรรมยางพารานี้
ล้วนแต่หน้าใหม่ในวงการค้ายางและผลิตภัณฑ์ยางเกือบทั้งสิ้น
"ผมสังเกตดูกว่า 50% เป็นผู้กำลังคิดจะลงทุนเท่านั้น เข้าใจว่าคงเข้ามาสังเกตการณ์ดูมากกว่า"
ชิปปิ้งขนน้ำยางข้นและเคมีภัณฑ์ให้กับบริษัทผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่เข้าร่วมฟังคำบรรยายในวันนั้นกล่าวกับ
"ผู้จัดการ" ถึงผู้คนกว่า 200 คนที่แออัดกันมาฟังคำบรรยายในวันนั้น
จุดสังเกตนี้เมื่อตรวจสอบกลับมาที่รายชื่อผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในอุตสาหกรรมน้ำยางข้นและถุงมือยางที่มีจำนวนมากมายอุตสาหกรรมละกว่า
100 ราย ก็จะเห็นว่าส่วนใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริมเป็นนักลงทุนหน้าใหม่จากกรุงเทพฯ
ทั้งนั้น
นักลงทุนชาวใต้กลับมีจำนวนน้อยมาก และผู้ที่คร่ำหวอดกับธุรกิจค้ายางมานานหลายสิบปี
ก็มีแทบจะนับหัวได้!
"เวลานี้บีโอไอให้การส่งเสริมฯ ผลิตยางข้น 183 โรง เดินเครื่องผลิตจริง
ๆ เพียง 20 โรง อุตสาหกรรมถุงมือยางส่งเสริมไป 106 รายผลิตได้จริง ๆ 12 ราย
(ดูตารางผู้ลงทุน) โดยสรุปแล้วมีผู้ลงทุนจริง ๆ ในอุตสาหกรรมน้ำยางข้นและถุงมือยางเพียง
10% ของจำนวนที่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอเท่านั้น" สุเทพ อรุณกูล
ตัวแทนจำหน่ายเครื่องผลิตถุงมือยางยี่ห้อ "LAN NIEN" ให้ข้อมูลแก่
"ผู้จัดการ"
คนในแวดวงอุตสาหกรรมต่างยอมรับกันว่า ทั้งอุตสาหกรรมผลิตน้ำยางข้นที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตถุงมือยางและอุตสาหกรรมถุงมือยาง
ต่างเป็นอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างเพิ่งตื่นตัวให้ความสนใจลงทุนกันระยะ 1-2
ปีมานี้เอง โดยส่วนใหญ่รับอิทธิพลจากข่าวสาร "โรคเอดส์" ที่เกิดขึ้นในซีกโลกตะวันตก
แถว ๆ สหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก
ก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมทั้ง 2 ประเภท ดังกล่าว นักลงทุนเป็นชาวท้องถิ่นที่ลงทุนขนาดเล็ก
ๆ
"บริษัทในกลุ่มคอแงะ บุกเบิกอุตสาหกรรมผลิตน้ำยางข้นเป็นรายแรกใช้เครื่องจักร
5 เครื่อง เป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ๆ เมื่อ 20 ปีก่อน" แหล่งข่าวขายเครื่องแยกน้ำออกจากน้ำยาง
ALFA - LAVAL เล่าย้อนอดีตให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
กลุ่มคอแงะเป็นกลุ่มค้ายางเก่าแก่รายหนึ่งในภาคใต้ มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากยางพาราครบวงจรตั้งแต่สวนยางไปจนถึงทำเฟอร์นิเจอร์ที่นอนยี่ห้อ
"แพนเท็กซ์"
ส่วนอุตสาหกรรมผลิตถุงมือยางบริษัทไทยรับเบอร์เป็นเจ้าแรกที่ลงทุนโดยใช้เทคโนโลยีการผลิตจากไต้หวันเมื่อ
9 ปีก่อน ถุงมือยางที่บริษัทนี้ผลิตเป็นถุงมือยางที่ใช้ในครัวเรือน (HOUSEHOLD
GLOVES) ป้อนตลาดในประเทศ
ทิ้งช่วงไป 7-8 ปี ที่การลงทุนในอุตสาหกรรมนี้แทบจะไม่มีการเคลื่อนไหว!
ปลายปี 2529 ข่าวการระบาดของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือ "เอดส์"
เขย่าขวัญผู้คนในซีกโลกตะวันตกเกิดขึ้น
เพียงลัดนิ้วมือเดียว กระแสข่าวนี้ได้ลามปามเข้ามายังประเทศไทย!
ความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อปกป้องคุ้มกันการติดเชื้อโรคเอดส์พุ่งสูงลิ่วในซีกโลกตะวันตก
ปรากฏการณ์ "ความหวาดกลัว" ติดเชื้อนี้กระตุ้นให้นักลงทุนไทยสนใจลงทุนในธุรกิจผลิตสินค้าป้องกันการติดเชื้อนี้กันอย่างบ้าคลั่ง!
เพราะเล็งเห็นแสงสว่างกำไรลอยอยู่เบื้องหน้า
เมื่อ "กรุงเทพฯ" นครหลวงของประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผูกขาดข่าวสารที่รวดเร็วจากทุกมุมโลก
นักลงทุนที่อยู่ในเมืองศูนย์กลางแห่งนี้ จึงฉับไวต่อข่าวที่เกิดขึ้น ประกอบกับกรุงเทพฯ
เป็นเมืองของการแสวงหาโอกาสทำธุรกิจใหม่ ๆ โดยธรรมชาติ
จุดนี้เมื่อนำไปเชื่อมโยงกับข้อสังเกตเบื้องต้นที่ว่า ทำไมนักลงทุนจากกรุงเทพฯ
จึงเป็นกลุ่มที่ขอส่งเสริมจากบีโอไอในการผลิตน้ำยางข้นและถุงมือยางมากที่สุดได้แจ่มชัดในคำตอบที่มีว่า
"เป็นเพราะนักลงทุนจากกรุงเทพฯ สันทัดในการตัดสินใจลงทุนธุรกิจประเภทฉาบฉวย
คืนทุนเร็ว ด้วยอยู่ใกล้แหล่งข่าวสาร"
ต้นปี 2530 กลุ่มนักลงทุนจากกรุงเทพฯ โครงการผลิตถุงมือยางและน้ำยางข้นกันอย่างคึกคัก
พร้อม ๆ กับข่าวเปิดการส่งเสริมจากบีโอไอ
"นักลงทุนจากกรุงเทพฯ ขอส่งเสริมผลิตน้ำยางข้นกันมากเหลือเกิน จุดสำคัญผมว่าอยู่ที่ผลจากจิตวิทยาในตลาดที่นักลงทุนจากกรุงเทพฯ
จับได้ว่า หนึ่ง - ผลตอบแทนจากการลงทุนสั้นและเร็วมากภายใน 1 ปี เท่านั้น
สอง - ระดับราคาน้ำยางข้นเริ่มไต่จากตันละ 700-800 เหรียญสหรัฐฯ เป็น 1,000
กว่าเหรียญ มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นไปอีก และสาม - ตลาดผู้ผลิตถุงยางอนามัยและถุงมือยางในประเทศมีความต้องการวัตถุดิบน้ำยางข้นมากขึ้นเรื่อย
ๆ เหตุผล 3 ข้อนนี้ก็ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ให้นักลงทุนต่างเฮโลกันลงทุน"
บริษัทผู้ขายเครื่องจักร ALFA - LAVAL ให้ข้อสังเกต
ฝ่ายวิชาการธนาคารกสิกรไทยได้ให้ตัวเลขความต้องการใช้น้ำยางข้น ซึ่งตรงกับข้อสังเกตข้างต้นอย่างมาก
กล่าวคือ ความต้องการใช้น้ำยางข้นได้พุ่งสูงขึ้นจาก 715 ตันในปี 2528 เป็นประมาณ
10,000 ตันในปี 2530 หรือเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าตัว
ขณะเดียวกันปริมาณการผลิตได้เติบโตจาก 1,200 ตันในปี 2528 เป็น 13,500
ตันในปี 2530 หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัวเป็นต้น!
เมื่อสภาพตลาดน้ำยางข้นอยู่ในสถานะที่เรียกว่า ผลิตได้เท่าไรก็ขายหมด แถมราคาดีด้วย
วัฏจักรพฤติกรรมการลงทุนแบบใยแมงมุมที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมเกษตรก็เกิดขึ้น
นักลงทุนพากันแห่แหนลงทุนกันอย่างบ้าคลั่ง โดยแรงจูงใจจากราคาและโรคระบาดจากเอดส์
"ผู้จัดการ" สืบค้นตัวเลขที่แน่นอนที่บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว
ณ 15 พฤศจิกายนปีนี้มีจำนวน 183 ราย เฉพาะวันที่ 26 กันยายน เพียงวันเดียวอนุมัติส่งเสริม
60 ราย
แต่จากการตรวจสอบตัวเลขจำนวนรายที่ดำเนินการผลิตจริง ๆ เพียง 20 รายเท่านั้น
มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 0.18 ล้านตัน
ถ้าหากทุกรายสามารถดำเนินการผลิตจริง จะมีกำลังผลิตรวมทั้งสิ้น 1.34 ล้านตัน
ซึ่งจะมีปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบคือน้ำยางสด ซึ่งผลิตได้เพียงปีละ 1 ล้านตันเท่านั้น
"น้ำยางสดบางส่วนต่างนำไปผลิตยางแผ่น ยางเครพ ยางแท่ง ถ้าราคาน้ำยางข้นดี
ชาวสวนยางก็จะผลิตน้ำยางสดเพื่อป้อนโรงงานน้ำยางข้น ถ้าราคาเกิดตกขึ้นมาก็ไม่ผลิต
ไปผลิตยางแท่งหรือแผ่นที่ราคาดีกว่า มันเป็นไปตามกลไกตลาดที่ควบคุมไม่ได
้" วินัย ทาวัน วิศวกรเคมีจากบริษัท LATEX PRODUCTS กล่าวถึงปัญหานี้ให้
"ผู้จัดการ" ฟัง
จุดนี้ เสรี เสรีวัฒโนภาส ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจแบงก์กสิกรไทย ซึ่งครอบครองส่วนแบ่งตลาดสินเชื่ออุตสาหกรรมน้ำยางข้นประมาณ
60% ได้กล่าวความเห็นเชิงสนับสนุนข้อสังเกตข้างต้นเพิ่มเติมว่า
"มันเป็นปัญหาทางจิตวิทยาด้วยที่ชาวสวนยางมีความรู้สึกว่าถ้าหันมาผลิตน้ำยางสด
เพื่อป้อนโรงงานน้ำยางข้นอาจทำให้อำนาจต่อรองราคาผลิตเสียเปรียบเจ้าของโรงงาน
เนื่องจากอาจถูกโกงน้ำหนักและคุณภาพน้ำยางได้ มันไม่เหมือนการผลิตยางแผ่นที่เห็นน้ำหนักกันชัดเจน
ดังนั้นปัญหาทางจิตวิทยานี้มันเกี่ยวโยงกับทัศนคติในการเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตของชาวสวนยางที่ค่อนข้างจะแก้ไขได้ยากในเวลาอันรวดเร็ว"
ถึงตรงนี้มีคำถามเกิดขึ้นว่า แล้วบีโอไอให้การส่งเสริมไปได้ยังไงถึงเกือบ
200 ราย? ทั้ง ๆ ที่บีโอไอก็รู้อยู่ว่าที่ให้การส่งเสริมไปแล้วลงทุนผลิตได้ไม่ถึง
20% จากจำนวนที่ขออนุมัติมา!!!
การที่บีโอไอแก้ลำด้วยการวางกฎเกณฑ์ให้ผู้ขอส่งเสริมต้อวางเงินค้ำประกันโครงการ
1 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 กันยายนเป็นต้นมานั้นก็รู้อยู่ว่าไม่เป็นผล แต่ก็ยังส่งเสริมกันต่อไปอีก
ขณะที่มาเลเซียเวลานี้ ส่งเสริมกันไปแล้วเกือบ 200 รายเท่ากับไทย แต่เปิดได้จริงเพียง
65 ราย ทางบีโอไอมาเลเซียก็ปิดส่งเสริมไปแล้ว "คุณรู้ไหม เวลานี้พวกผีที่ขอส่งเสริมกันมาเกือบ
50 ราย เขาวิ่งเร่ขายใบอนุมัติส่งเสริมโครงการกันแล้ว ราคาใบละตั้งแต่ 1
ล้านบาทจนถึง 3 ล้านบาท" แหล่งข่าววงการชิปปิ้งน้ำยางข้นกล่าว"
สภาพการลงทุนที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมน้ำยางข้น ก็เหมือนกับอุตสาหกรรมผลิตถุงมือยาง
บีโอไอให้การส่งเสริมนักลงทุนที่เสนอโครงการผลิตถุงมือยางไปแล้วประมาณ 106
ราย ที่ผลิตได้จริง ๆ ประมาณ 12 ราย ในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ราย
กำลังผลิตรวมประมาณ 1,000-2,000 ล้านคู่ต่อปี ซึ่งกว่าร้อยละ 50 เป็นถุงมือยางประเภทใช้หนเดียวแล้วทิ้งที่เรียกว่า
EXAMINATION GLOVES
อมร อัศวานันท์ ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่ออุตสาหกรรม แบงก์ไทยพาณิชย์ได้ให้ข้อมูลแก่
"ผู้จัดการ" ว่าปริมาณการผลิตจำนวนดังกล่าว ประมาณร้อยละ 90 อยู่ในกลุ่มผู้ผลิตยักษ์ใหญ่
3 ราย คือ บริษัท แอนเซลล์ (ประเทศไทย) บริษัท เมดิคัลโกรฟ และบริษัทเจนนี่รับเบอร์
อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้ก็ยังไม่ชัดเจนนักว่าจะถูกต้อง เพราะเมื่อ "ผู้จัดการ"
สืบค้นกับแหล่งข่าวในแบงก์กสิกรไทยซึ่งเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อแก่อุตสาหกรรมนี้มากที่สุด
รวมถึงแหล่งข่าวในบริษัทยูนิโกรฟปรากฏว่าบริษัทผู้มีส่วนแบ่งตลาดในการผลิตถุงมือยางเกือบร้อยละ
90 อยู่ในมือผู้ผลิต 5 รายคือ บริษัท แอนเซล บริษัทเจนนี่รับเบอร์ บริษัท
โอเรียนท์รับเบอร์ บริษัทดอกเตอร์บู และบริษัทยูนิโกรฟ
ไม่ว่าข้อมูลในแง่นี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สำคัญคือข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างการผลิตในอุตสาหกรรมถุงมือยางไทย
และในระยะปัจจุบันว่ามีแนวโน้มที่ผู้ผลิตรายใหม่จะแทรกตัวเข้ามาได้ไม่ง่ายนัก
ตัวเลขความต้องการถุงมือยางในตลาดโลกทั้ง 4 ประเภทคือ ใช้ในครัวเรือน ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
ใช้ทางการแพทย์ และใช้หนเดียวแล้วทิ้งเหมือนกระดาษทิชชู เป็นเรื่องที่บอกชัดเจนได้ยาก
วินัย ทาวัน จากบริษัทยูนิโกรฟผู้ผลิตยักษ์ใหญ่รายหนึ่งได้ให้ข้อมูลประมาณการว่าตกอยู่ราว
ๆ 20-25 พันล้านชิ้น หรือ 10-12 พันล้านคู่/ปี
ข้อมูลความต้องการในตลาดโลกเช่นนี้จะเท็จจริงแค่ไหน ตอบได้ยากแม้แต่หน่วยงานอย่างธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อนี้ไปและบีโอไอเองซึ่งเป็นผู้ให้การส่งเสริมการลงทุนก็ตอบไม่ได้
หน่วยงานทั้ง 2 ไม่ว่าจะเป็นธนาคารก็ดีหรือบีโอไอก็ดีสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ใช้บรรทัดฐาน
JUDGE A FEELING ในการประเมินหรือวินิจฉัยขนาดของตลาด!
"ขนาดของตลาด เราตอบไม่ได้เพราะไม่รู้จริง ๆ แนวโน้มตลาดก็เช่นกันเราไม่รู้ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือไม่และแค่ไหน?
แต่เราก็ประเมินเอาจากทิศทางของข่าวที่เราได้รับว่ามันน่าจะสูงขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้หน่วยงานต่าง
ๆ ในสหรัฐฯ เริ่มวางกฎเกณฑ์ให้พนักงานต้องมีถุงมือยางกันคนละ 2 คู่เป็นอย่างน้อยในเวลาปฏิบัติหน้าที่…มีตัวอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ว่าหน่วยงานปราบปรามของตำรวจในรัฐหนึ่งของสหรัฐฯ
ออกกฎให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสวมถุงมือยางเวลาปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นหรือจับกุมคนร้าย
หลังจากที่มีนายตำรวจผู้หนึ่งติดเชื้อโรคเอดส์ที่สันนิษฐานว่าเกิดจากไปสัมผัสกับบาดแผลคนร้าย"
เสรี เสรีวัฒโนภาส จากแบงก์กสิกรไทยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
ตรงนี้ถ้าว่าไปแล้วมันน่ากลัวมาก! เพราะการสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้โดยที่ไม่รู้ตัวเลขขนาดของตลาดที่แท้จริงเป็นความเสี่ยงอย่างมาก
แบงเกอร์รายหนึ่งได้ประเมินคร่าว ๆ ให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า เวลานี้มีการปล่อยสินเชื่อสนับสนุนแก่อุตสาหกรรมนี้ไปแล้วไม่ต่ำกว่า
1,000 ล้านบาท!
กระนั้นก็ตามแม้ว่า สถาบันการเงินบางแห่งที่ปล่อยสินเชื่อแก่อุตสาหกรรมนี้
จะยืนยันว่า การคุ้มทุนจากการลงทุนด้วยเครื่องจักรประมาณ 5-6 เครื่องจะใช้เวลาเร็วเพียง
2-3 ปี และ PROFITABILITY อยู่ในเกณฑ์สูงประมาณไม่ต่ำกว่า 30% (ดูตารางประมาณการกำไรขาดทุน)
นอกจากนี้ผลตอบแทนด้านการชดเชยภาษีส่งออกอีก 6.89% ของมูลค่าส่งออก และการสนับสนุนด้านการเงินดอกเบี้ยต่ำจาก
PACKING CREDIT 7% ก็เป็นรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำที่นักลงทุนผลิตถุงมือยางได้รับกันอย่างเต็มที่อีกส่วนหนึ่ง
นอกเหนือจากกำไรจากการผลิต
"บริษัท แอนเซลล์ (ไทย) ยักษ์ใหญ่ถุงมือยาง ณ สิ้นปี 2530 มียอดคงค้างตั๋วส่งออกกับแบงก์ชาติ
255.9 ล้านบาท เทียบกับยอด flow การรับซื้อตั๋วส่งออกถุงมือยางของแบงก์ชาติ
557.7 ล้านบาท แสดงว่าแอนเซลล์มีส่วนแบ่งผลประโยชน์จาก PACKING CREDIT เกิน
50% ของทั้งหมด" แหล่งข่าวในแบงก์ชาติเล่าให้ "ผู้จัดการ"
ฟัง ซึ่งแสดงอย่างแจ่มชัดถึงตัวอย่างหนึ่งของผลประโยชน์จากการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้
แต่ลึก ๆ ลงไปแล้วแบงเกอร์เองก็ดูจะไม่วางใจผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้เท่าไรนัก
"ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ดูจะละเลยความสำคัญการบริหารเงินอย่างเข้มงวดเวลามาขอวงเงินจากเขาเพื่อขยายโครงการผลิต
เราจะต้องมีเงื่อนไขให้เขาเพิ่มทุนด้วยเสมอ เพื่อให้ DEBT / EQUITY RATIOอยู่ในสัดส่วน
2.5:1" เสรีจากกสิกรไทยกล่าวยอมรับกับ "ผู้จัดการ"
พูดง่าย ๆ เวลานี้ แม้ผู้ผลิตถุงมือยางที่ลงทุนไปแล้ว ส่วนใหญ่จะดูลอยตัว
แต่วงการแบงเกอร์เองก็ยังไม่สบายใจนัก ด้วยความลึกลับของตลาด
มีบริษัทอยู่รายหนึ่งชื่อดอกเตอร์ บู ผลิตถุงมือยางคุณภาพดีส่งไปสหรัฐฯ
เพียงแค่กล่องบรรจุมีตราคำว่า BOXES ตกตัว E ไปตัวเดียวที่ข้างกล่องถูกตีคืนทันที
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการนำถุงมือยางไปตรวจสอบคุณภาพเลย" แหล่งข่าวเล่าให้
"ผู้จัดการ" ฟังถึงตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนความลึกลับของพฤติกรรมตลาด
นอกจากนี้ในเรื่องการผลิตก็ดูจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วงการแบงก์ต่างให้ความสนใจเป็นพิเศษ
และเชื่อกันว่าเป็นเหตุสำคัญที่ตอบข้อสงสัยในตัวเลขการผลิตจริงกับโครงการที่ขอส่งเสริมที่มีสัดส่วนแตกต่างราวฟ้ากับดิน
ณรงค์ ศรีสอ้าน ผู้บุกเบิกสินเชื่ออุตสาหกรรมเกษตรให้กับแบงก์กสิกรไทย และเป็นคนแรกที่อนุมัติสินเชื่อให้แก่บริษัทแอนเซลล์
ยักษ์ใหญ่ผลิตภัณฑ์ยางของโลก ลงทุนขยายการผลิตสู่ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ
เมื่อ 2 ปีก่อน กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบ
(น้ำยางข้น) และการควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานความต้องการของตลาด เป็นประเด็นปัญหาการผลิตที่ถือว่าเป็นหัวใจความสำเร็จหรือล้มเหลวของการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้
และบรรทัดฐานนี้เองที่แบงก์กสิกรไทยใช้เป็นหลักในการพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่ออุตสาหกรรมถุงมือยาง!
คำถามคือ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ก็เพราะว่าวัตถุดิบคือน้ำยางข้น มีปริมาณไม่เพียงพอต่อการป้อนตลาด ส่วนหนึ่งที่ผลิตได้มีการส่งออกไปต่างประเทศ
เช่น ไต้หวัน และมาเลเซีย เนื่องจากราคาดีกว่า
"3 เดือนก่อนหน้านี้ ราคาน้ำยางข้นชั้นดีตกตันละ 2,200 เหรียญสหรัฐฯ
พอมาในเวลานี้ตกเหลือตันละ 1,200 เหรียญ ขณะที่ในมาเลเซียราคาตกตันละ 1,400
เหรียญ โรงงานยอมผลิตป้อนตลาดต่างประเทศ 40% อีก 60% ใช้ในโรงงานผลิตถุงมือยางของผมเอง
ถ้าคุณไม่มีฐานโรงงานผลิตน้ำยางข้นเอง เสี่ยงมากที่คุณจะตั้งโรงงานผลิตถุงมือยางเพราะอาจเจอปัญหาไม่มีน้ำยางข้นส่งมอบได้เพียงพอ"
วินัย ทาวัน วิศวกรเคมีจากบริษัทยูนิโกรฟกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
เฉลียว สุวรรณกิติ จากบริษัทธนสถาปนา ได้กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
เพื่อตอกย้ำความสำคัญในประเด็นนี้ว่า "มีนักลงทุนรายหนึ่งมาหาผมเพื่อชวนให้ธนสถาปนาร่วมลงทุนผลิตถุงมือยาง
ผมถามว่ามีฐานการผลิตน้ำยางข้นไหม? มีนักเคมีที่รู้การผสมน้ำยางไหม? ตลาด
- ลูกค้าที่พร้อมจะรับซื้อมีบ้างไหม? ทุกอย่างที่ผมได้คำตอบคือไม่มีอะไรเลย
เขามีแต่ความคิดว่าธุรกิจนี้ผลตอบแทนมันดี น่าลงทุน แต่ผมบอกเขากลับไปว่า
คุณอ่านรายงานการศึกษาเรื่องนี้ที่ผมจ้างให้อาจารย์บุษบาจากจุฬาฯ ทำดูก่อน
คุณเชื่อไหมหลังจากนั้นเขาติดต่อกลับมาที่ผมและพูดว่า ขอบคุณที่ให้ข้อมูลกับเขาอย่างรอบคอบ
ไม่อย่างนั้นเขาอาจต้องพังทลายไปกับโครงการนี้แน่ ๆ"
การผลิตถุงมือยางดูภายนอกอาจจะง่ายแต่กระบวนการผลิตซับซ้อนมาก ความรู้ความชำนาญของนักเคมีที่ผสมน้ำยางต้องมือถึง
และเป็นไปอย่างต่อเนื่องจริง ๆ (ดูแผนภูมิประกอบ) ขณะที่ในปัจจุบันนักเคมีที่มีคุณสมบัติเป็น
RUBBER TECHNOLOGIST ก็ขาดแคลนเอามาก ๆ
ตลาดต้องการปีละ 80 คน แต่มหาวิทยาลัยผลิตได้ 10 กว่าคน! "เวลานี้คุณเชื่อไหม
นักเคมีถูกจองตัวทันทีที่อยู่ปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย พอเขารู้ว่าจบส่งเครื่องบินมารับให้ไปอยู่โรงงานที่ปักษ์ใต้ก็ยังมี
ราคาค่าตัวตกเดือนละ 10,000 บาทขึ้นไป และยิ่งถ้าหากว่ามีประสบการณ์เคยทำงานมาก่อน
ค่าตัวยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก 5-6 เท่าตัว" สุเทพ อรุณกูล นักชิปปิ้งจากบริษัท
LIN CORPORATION เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
RUBBER TECHNOLOGIST ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในกระบวนการผลิตถุงมือยางเพราะต้นทุนการผลิตกว่า
50% อยู่ที่น้ำยางข้นและสารเคมีที่จำเป็นต้องใช้ RUBBER TECHNOLOGIST ควบคุมส่วนผสมนี้ออกมาให้ได้คุณภาพอย่างแท้จริง
ถุงมือยางที่มีตามด (PINHOLE) และความเหนียวต่ำกว่า 90 นิวตั้น ซึ่งตลาดสหรัฐฯ
ถือว่าคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน หัวใจสำคัญก็อยู่ที่การผสมน้ำยางไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ตัวเครื่องจักร"
ผู้รู้เล่า
ตรงนี้แหละคือหัวใจสำคัญที่สุดที่แบงก์ใช้เป็นหลักในการพิจารณาความเป็นไปได้โครงการพิจารณาสินเชื่อ!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าพร้อมเรื่องการผลิต ก็โดดลงมาลงทุนได้เลย แต่ถ้าไม่พร้อมอย่าเข้ามาเด็ดขาด
จะพากันลงเหวตายกันหมด!
นี่เป็นคำเตือนจากนายแบงก์…ที่ฝาก "ผู้จัดการ" มาบอกต่อ