|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
จีเอฟพีทีชี้รายได้รวมปีนี้ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าปีก่อนที่ 1.1หมื่นล้านบาท แม้ว่าปริมาณการผลิตอาหารสัตว์และเนื้อไก่แปรรูปจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และราคาส่งออกลด ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลงไม่มาก เหตุรัฐประกันราคาอุ้มช่วยเกษตรกร ระบุไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009 ส่งผลดีต่อการส่งออกเนื้อไก่แปรรูปในระยะยาว
นพ.อนันต์ ศิริมงคลเกษม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้ต่ำกว่าเล็กน้อยหรือใกล้เคียงปี 2551 ที่มีรายได้รวม 1.1 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะมีปริมาณการผลิตเนื้อไก่แปรรูปและอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาขายเนื้อไก่แปรรูปเพื่อส่งออกต่ำกว่าปีก่อนนโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3-4/2551 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทำให้ผู้นำเข้ามีการหยุดการสั่งซื้อเนื้อไก่แปรรูปทันที ทำให้บริษัทฯต้องปรับลดราคาลงมา แต่ก็โชคดีที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงทำให้รายได้ลดลงไม่มาก
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาวะตลาดส่งออกเนื้อไก่แปรรูปเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (ไข้หวัดหมู) น่าจะส่งผลดีในระยะยาวทำให้การส่งออกเนื้อไก่แปรรูปไทยเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันราคาส่งออกเนื้อไก่แปรรูปไปตลาดญี่ปุ่นอยู่ที่ 4,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน สำหรับราคาส่งออกไปตลาดอียูอยู่ที่ 2,500-4,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน เชื่อว่าราคาเนื้อไก่แปรรูปจะไม่ต่ำกว่านี้ เนื่องจากญี่ปุ่นยังวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานสินค้าไก่ปรุงสุกจากจีนหลังเกิดปัญหาเมลามีน ทำให้มีการหันมานำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับอียู
“ ปีนี้รายได้น่าจะอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรขั้นต้นไม่สูงเท่ากับปีที่แล้ว แต่มั่นใจว่าปีนี้กำไรแน่นอน แม้ว่าจะรับรู้ค่าใช้จ่ายจากค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงงานแห่งใหม่ของกรุงไทยอาหารสัตว์ที่เริ่มผลิตเดินเครื่องจักรในปีนี้ โดยค่าเสื่อมราคาดังกล่าวจะบันทึกรับรู้ในไตรมาส 2 ปีนี้ ”
นอกจากนี้ ไทยมีโอกาสส่งออกไก่สดแช่แข็งไปตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น หากประเทศผู้นำเข้ายอมรับการเลี้ยงไก่ของไทยที่เป็นระบบการเลี้ยงแบบคอมพาร์ทเม้นท์ ซึ่งเป็นการเลี้ยงแบบปิด แม้ว่าไข้หวัดนกจะไม่สามารถขจัดได้หมดไปอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ไทยเผชิญปัญหาไข้หวัดนก ผู้ประกอบการไทยได้หันมาลงทุนและปรับปรุงเทคโนโลยีจากการส่งออกไก่สดแช่แข็งมาเป็นการส่งออกเนื้อไก่แปรรูปแทน ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น จึงมองผู้ส่งออกไทยก็น่าจะให้ความสำคัญในตลาดนี้มากกว่าการส่งออกไก่สดแช่แข็ง
นพ.อนันต์ กล่าวว่า ในปีนี้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลงจากปีก่อนไม่มาก แม้ว่าราคาพลังงานจะปรับตัวลดลงมาก เนื่องจากรัฐบาลมีการประกันราคาข้าวโพดไว้ที่กก.ละ 8.50 บาท ขณะที่ราคาข้าวโพดในตลาดโลกอยู่ที่ 6-7 บาท/กก. ส่วนกากถัวเหลืองที่ผลิตในประเทศก็มีการคุ้มครองเช่นเดียวกัน ซึ่งต้นทุนวัตถุดิบคิดเป็น 80%ของต้นทุนผลิตอาหารสัตว์
ส่วนความคืบหน้าโครงการลงทุนร่วมกับบริษัท นิชิเร ประเทศญี่ปุ่นในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน คือบริษัท จีเอฟพีที นิชิเร (ประเทศไทย )หรือ GFN เพื่อดำเนินการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปและไก่สดแช่แข็งไปยังญี่ปุ่นว่า บริษัทฯเตรียมก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2553 ทำให้ช่วยขยายตลาดและเพิ่มปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปยังต่างประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น
“ขณะนี้บริษัทฯมีการขยายตลาดส่งออกเนื้อไก่แปรรูปไปตลาดอียูมากขึ้น เพราะมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และมีช่องทางขยายไปยังลูกค้าใหม่ ทำให้ไทยส่งออกเนื้อไก่ปรุงสุกไปตลาดอียูเพิ่มสูงขึ้นกว่าโควตาที่ได้รับ 1.6 แสนตัน/ปี”
ในปีนี้ปริมาณการผลิตไก่เนื้อของไทยมีแนวโน้มที่จะลดลงเล็กน้อยจากปี 2551 โดยคาดว่าปริมาณการเลี้ยงไก่เนื้อจะมีประมาณ 920 ล้านตัว คิดเป็นปริมาณผลผลิต 1.36 ล้านตัน หรือลดลง 0.44% เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจถดถอยและต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้น
ปีนี้การส่งออกเนื้อไก่ของไทยอยู่ที่ 362,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 44,326 ล้านบาท ลดลงกว่าปีที่ผ่านมา 11.56 % ตลาดส่งออกสำคัญที่สุดยังคงเป็นตลาดญี่ปุ่น และอียู โดยปริมาณการส่งออกไปตลาดหลักดังกล่าวปีนี้จะลดลง 2.86% และ 8.05% ตามลำดับ
|
|
|
|
|