|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ผลการประชุม G20 เมื่อเดือนเมษายน ดูเหมือนจะห่างไกลจากความคาดหวังที่เกิดขึ้นมากมายก่อนการประชุม ก่อนหน้าที่จะถึงวันประชุมเมื่อต้นเดือนเมษายน นายกรัฐมนตรี Gordon Brown ของอังกฤษเดินทางทัวร์ 4 ทวีป เพื่อโปรโมตข้อเสนอของเขาให้ทำข้อตกลงใหม่ของโลก ซึ่งเขาเรียกว่า New Deal ส่วนประธานาธิบดี Nicholas Sarkozy แห่งฝรั่งเศสกับนายกรัฐมนตรี Angela Merkel แห่งเยอรมนี ต่างกล่าวถึงการ "สร้างทุนนิยมแบบใหม่" Sam Palmisano CEO ของ IBM เรียกร้องให้การประชุม G20 ปลดปล่อยคลื่นลูกใหม่ของการลงทุนระยะยาว ส่วน Fred Bergsten นักวิเคราะห์วิจารณ์ด้านเศรษฐกิจ ชื่อดังกล่าวว่า การประชุมดังกล่าวเป็นความหวังสุดท้ายที่ผู้นำโลกจะร่วมมือกันในด้านนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลก
แต่ Jeffrey E. Garten ศาสตราจารย์ด้านการค้าและการเงินระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัย Yale School of Management เตือนว่า ในยุคที่เศรษฐกิจโลกมีความเปราะบางสูงอย่างทุกวันนี้ หากความจริงกับความหวังแตกต่างกันมากเกินไป ก็อาจสร้างความผิดหวังให้แก่ตลาดการเงิน นักลงทุนและผู้บริโภค ได้ และยังอาจกลายเป็นการส่งเสริมลัทธิชาตินิยมทางเศรษฐกิจที่อันตราย ซึ่งกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นได้ ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือกันในระยะยาวของผู้นำชาติต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าการประชุมสุดยอดเพียงแค่วันเดียว ดังนั้น สิ่งที่บรรดาผู้นำระดับโลกที่จะประชุมสุดยอดอย่างเช่นการประชุม G20 เมื่อเดือนที่แล้ว ควรจะตระหนักก็คือจะต้องลดความคาดหวัง ไม่ใช่กระพือความคาดหวังจนสูงเกินไปถึงความสำเร็จของการประชุม
แม้กระทั่งในยามปกติ การร่วมมือกันระหว่างประเทศก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย ยิ่งมีปัญหาเศรษฐกิจโลกอย่างทุกวันนี้ การร่วมมือกันก็ยิ่งยากมากขึ้น เนื่องจากบรรดาผู้นำแต่ละประเทศต่างก็ต้องเผชิญกับความกดดันอย่างหนักจากภายในประเทศของตน ซึ่งเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ที่รุมเร้า ทั้งการเติบโตที่ติดลบ การปล่อยสินเชื่อติดลบ การค้าติดลบ การว่างงานพุ่งสูง และการประท้วงที่เกิดขึ้นไปทั่ว เมื่อสมัยที่ G7 ยังเป็นเวทีหลักในการหารือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลก การพยายามจะเจรจาให้ทุกประเทศร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหาให้มีความเป็นเอกภาพก็ยากอยู่แล้ว แต่การเจรจาใน G20 ยิ่งยากเย็นและซับซ้อนมากขึ้นกว่า อีกหลายเท่า เพราะมีจำนวนชาติสมาชิกมากขึ้นและแต่ละประเทศก็ล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์ที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งยังมีกระบวนการทางการเมืองในประเทศที่แตกต่างกันไปอีก
นอกจากนั้นการจะตัดสินใจใดๆ ในการประชุมสุดยอดแบบ G20 ก็ยิ่งยากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างสูงในขณะนี้ จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้จะกินเวลายาวนานและจะหนักหนาสาหัสเพียงใด ไม่มีใครรู้สภาพที่แท้จริงของปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในระบบการเงินการธนาคารในขณะนี้ และไม่มีใครรู้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่ได้ออกไปแล้วนั้นจะเพียงพอหรือไม่
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความแตกต่างทางความคิดของบรรดาชาติสมาชิก G20 สหรัฐฯ ซึ่งเกรงว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตนได้ทุ่มเทงบประมาณอย่างมหาศาล จะทำให้ยุโรปพลอยได้รับประโยชน์ไปแบบฟรีๆ จึงพยายามจะผลักดันให้ EU เพิ่มงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากขึ้นอีก แต่ EU กลับต้องการให้สหรัฐฯ เพิ่มการควบคุมตลาดการเงินโลกให้เข้มงวดและครอบคลุมมากกว่านี้ ขณะเดียวกันทั้งสหรัฐฯ และ EU ต่างก็กลัวว่าจีนจะเพิ่มการอุดหนุนการส่งออก ด้านบราซิลอยากจะให้เปิดเจรจาการค้าโลกรอบใหม่ แต่ประธานาธิบดี Obama ของสหรัฐฯ ปฏิเสธเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่การประชุมแบบ G20 จะทำได้อย่างดีที่สุดก็คือ การประกาศเป้าหมายที่หนักแน่นชัดเจนและสามารถทำได้จริงเพียงไม่กี่ประการ ที่ไม่ใช่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อย่างการยกเครื่องระบบการเงินโลกระดับ Bretton Woods เมื่อครั้งที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง และ G20 ควรจะมีการประชุมกันทุกๆ ไตรมาสหลังจากนี้เป็นต้นไป เพื่อแสดงให้เห็นว่า การประชุมที่ประกาศว่าเพื่อจะร่วมมือกันแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลกนั้น ไม่ใช่โอกาสเพียงเพื่อให้ผู้นำโลกได้มาถ่ายภาพร่วมกันเท่านั้น
การประชุม G20 ควรสามารถจุดประกายความหวังให้แก่ตลาดโลกและประชาชนว่า ผู้นำโลกกำลังจะลงมือออกมาตรการสำคัญในอีกไม่ช้า แต่ในขณะเดียวกันก็สมควรถ่วงดุลความหวังนั้นด้วยความจริงที่ว่า การประชุมสุดยอดผู้นำโลกแบบ G20 นี้ สามารถจะบรรลุเป้าหมายได้แต่เพียงจำกัดเท่านั้น แม้ว่าในเวลานี้ทุกประเทศทั่วโลกต่างก็ตระหนักแล้วว่า การทำอะไรไปโดยลำพังโดยไม่สนใจคนอื่น เป็นสิ่งที่อันตรายและเปล่าประโยชน์ แต่ความตระหนักดังกล่าวนั้นก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ประเทศต่างๆ ยอมร่วมหัวจมท้ายกัน จนถึงขั้นที่สามารถจะสร้างระบบการเงินโลกขึ้นใหม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งสถาบันการเงินระดับโลกแห่งใหม่ เพราะผู้นำโลกยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนที่จะยอมรับการมีสถาบันทางการเงินระดับโลกที่มีอำนาจในการควบคุมด้วย หรือในแง่ของกรอบความคิด บรรดาประเทศสำคัญต่างๆ ใน G20 ก็ยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายภายในประเทศของตนอย่างถึงแก่น เพื่อที่จะรองรับความจำเป็นระหว่างประเทศ
โดยสรุปคือรัฐบาล G20 กำลังพยายามอย่างดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากวิกฤติการเงินโลก แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ยังไม่พร้อมหรือมีศักยภาพมากพอที่จะจับมือกันทำเรื่องใหญ่อย่างการยกเครื่องระบบการเงินโลกได้
แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง นิวสวีค 30 มีนาคม 2552
|
|
|
|
|