การลงทุนขนาดใหญ่ผู้ลงทุนมักจะเริ่มต้นจากการมองความต้องการของตลาด ระยะเวลาคุ้มทุนของการลงทุน
เมื่อคิดว่ามันกำไรก็ลงทุนพอตัดสินใจอย่างนั้น แล้วประเด็นตามมาก็คือว่าทำอย่างไรภายใต้เงื่อนไขเวลาและทุนขนาดนี้จึงจะได้กำไรสูงสุด
ปัจจัยด้านนิเวศวิทยา สิ่งแวดล้อมมีฐานะเป็นเพียงแค่เงื่อนไขที่จะลดต้นทุนการผลิตได้มากน้อยแค่ไหนเพียงไร
ผลที่ตามมาก็คือว่าการพยายามจะใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ ภายใต้เงื่อนไขเวลานั้นอย่างเต็มที่มันก็เกิดขึ้นกับโครงการขนาดใหญ่ที่เราห่วงมากที่สุดคือ
การใช้ทรัพยากร ดินน้ำ อย่างเต็มที่เพื่อจะได้ประโยชน์สูงสุด ที่เรากลัวก็คือ
ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ปกติจะถูกกระจายไปตามแหล่งผลิตรายย่อยๆ ก็จะถูกโครงการขนาดใหญ่ดึงทรัพยากรเหล่านี้มาเลี้ยงโครงการของตนเกือบหมด
ตัวอย่างเช่นในภาคเหนือ โดยธรรมชาติมีพื้นที่ราบน้อย มีลำน้ำสายเล็กๆ การลงทุนขนาดใหญ่ที่มีการใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่าจะสร้างระบบชลประทานที่ดึงเอาน้ำจากทั้งหมดมาเลี้ยงในฟาร์มตัวเอง
ฟาร์มขนาดเล็กจะไม่มีอะไรเหลือ
ภาคตะวันออกก็เหมือนกันทั้งในเรื่องของ PLANTATION และอุตสาหกรรมจะดึงน้ำมาเลี้ยงเกือบหมด
ในอนาคตเรื่องนี้จะเป็นความขัดแย้งที่สำคัญเรื่องหนึ่ง มีตัวอย่างในแคลิฟอร์เนียที่ชัดเจนมากอันหนึ่ง
คือ น้ำถูกดึงมาใช้ในทะเลทรายซึ่งปลูกส้ม ปลูกองุ่น ก็เกิดขัดแย้งกัน เรากำลังจะก้าวไปสู่ตรงนั้น
อีกปัญหาหนึ่งคือ การทำแบบ INTENSIVE มีการใช้สารเคมีอย่างเต็มที่ในการเพาะปลูกมันให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจริงในระยะเฉพาะหน้า
แต่สารเคมีที่ใช้ก็ไปทำลายธรรมชาติของระบบนิเวศวิทยาที่ทำหน้าที่ของมันอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ระบบนิเวศฯ จะถูกทำลาย
ในทางนิเวศวิทยา PLANTATION ขนาดใหญ่จะยิ่งเกิดโรคหรือการระบาดของแมลงหนักหน่วงยิ่งขึ้น
เช่นทั้งแปลงคุณมีแต่ยูคาลิปตัส มีแต่ข้าวโพด การระบาดจะเป็นไปอย่างเต็มที่
ยิ่งใช้ยาก็ยิ่งดื้อยาและต้องใช้ในปริมาณมากขึ้น
ประเด็นที่ผมกำลังมีคำถามมากกับการลงทุนขนาดใหญ่ตอนนี้คือเรื่องการถือครองที่ดิน
กรณีของเชลล์กับการปลูกป่ายูคาลิปตัส วิธีการคือเช่าพื้นที่ป่าสงวนเป็นแสนๆ
ไร่ ปัญหาคือพื้นที่ขนาดใหญ่ ในความเป็นจริงยังมีพื้นที่สองประเภทคือ พื้นที่ป่ากับพื้นที่ที่ชาวบ้านทำกินอยู่แล้ว
ไม่มีพื้นที่ไหนที่รกร้างว่างเปล่าโดยไม่มีอะไรเลย เมื่อเข้าไปลงทุนในพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างนั้นจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เพื่อสร้าง
INFRASTRUCTURE
เพราะฉะนั้นจะบอกว่าส่วนไหนเป็นป่าก็จะเว้นเอาไว้ ในทางปฏิบัติมันไม่จริง
ในอนาคตมันจะหมดไปเรื่อยๆ พื้นที่ป่าธรรมชาติจะถูกเปลี่ยนเป็น INFRASTRUCTURE
ในการทำ PLANTATION ขนาดใหญ่ บริษัทสมัยใหม่จะใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหา เช่นใช้แทรกเตอร์ปรับที่
สร้างถนนหนทาง คลองส่งน้ำ พวกนี้เปลี่ยนธรรมชาติหมด
ยกตัวอย่างภาคเหนือที่เป็นไหล่เขา การชะล้างทำลายผิวดินมีมาก ปีหนึ่งๆ
ที่เขื่อนภูมิพลจะต้องเอาตะกอนออกจากเขื่อน ถ้ามี PLANTATION เกิดขึ้นในภาคเหนือ
การชะล้างของดินจะมีสูงเพราะไปเปลี่ยนโครงสร้างของดิน การพังทลายของหน้าดินจะมีสูงขึ้น
ถ้าเทียบกับวิธีที่ชาวบ้านใช้จะใช้พวกพืชแนวระดับปลูกเป็นขั้นบันได แต่ PLANTATION
ขนาดใหญ่ทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะไม่คุ้มและใช้เวลานานในเรื่องของการถือครองที่ดิน
ประเทศเราคนไร้ที่ดินมีเยอะอยู่แล้ว การลงทุนขนาดใหญ่ต้องมีการกว้านซื้อที่ดิน
ทำให้เกิดผู้ไร้ที่ดินจำนวนมหาศาลตามมา เราจะแก้อย่างไร