Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน21 เมษายน 2552
นักลงทุนคลายวิกฤตการเมือง-วอลุ่มคึกดันดัชนีพุ่งเฉียด10จุด             
 


   
search resources

Stock Exchange




ดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดตัวแรงเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ ปิดที่ 466.28 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 10 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นเฉียด 2.2 หมื่นล้านบาท กลุ่มพลังงานนำตลาด แบงก์ทยอยประกาศผลดำเนินงาน เป็นปัจจัยสนับสนุน สมาคมนักวิเคราะห์เชื่อนักลงทุนคลายความวิตกปัญหาการเมือง แต่โบรกเกอร์เห็นพ้องยังต้องติดตามสถานการณ์ รวมทั้งจับตาราคาน้ำมัน และกระดานหุ้นต่างประเทศต่อไป ส่วนวันนี้มี โอกาสยืนระยะในแดนบวกได้ต่อ ขณะที่ บลจ.วรรณ เชื่อแนวโน้มลงทุนหุ้นเริ่มฟื้น มั่นใจไม่ซ้ำรอยปีก่อน

วานนี้ (20 เม.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 466.28 จุด เพิ่มขึ้น 9.48 จุด หรือ 2.08% โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 471.16 จุด ต่ำสุด 456.00 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 21,995.84 ล้านบาท โดยนักลงทุนในประเทศขายสุทธิ 398.86 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 276.48 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 675.35 ล้านบาท

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงกว่าที่นักวิเคราะห์ออกมาคาดการณ์ไว้ และขยับตัวสูงตลาดหุ้นภูมิภาคที่แกว่งแคบมีทั้งบวก-ลบ โดยมีกลุ่มปตท.ขึ้นนำตลาด นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากกลุ่มสถาบันการเงิน ที่ช่วงนี้เป็นช่วงประกาศงบการเงินประจำ ไตรมาส 1/2552 โดยมีหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 272 หลักทรัพย์ ลดลง 78 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 94 หลักทรัพย์

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่เริ่มฟื้นตัวนั้นเป็นผลมาจากนักลงทุนส่วนใหญ่คลายความไม่มั่นใจต่อปัญหาการเมืองในประเทศ อีกทั้งเป็นผลมาจากการปรับตัวขึ้นติดต่อกันของตลาดหุ้นต่างประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่นักลงทุนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มีการลงทุน จึงเข้ามาลงทุนในสัปดาห์นี้แทน

ทั้งนี้ นักลงทุนต้องจับตาการวอลุ่มการซื้อขายที่หนาแน่นติดต่อกันหลายวัน ซึ่งจะมีผลทำให้ดัชนีหลักทรัพย์จะมีโอกาสดีดตัวเพิ่มหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับนักลงทุนสถาบันไทยว่าจะยังซื้อต่อเนื่องต่อไปอีกหรือไม่ เพราะในส่วนนี้ถือว่าเป็นกำลังหลักสำคัญในการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ

นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 9 จุดสอดคล้องกับทิศทางดัชนีดาวโจนส์และตลาดหุ้นเอเชีย จึงประเมินว่าปัจจัยในประเทศเริ่มไม่ค่อยมีผลต่อดัชนีมากนัก หลังนักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวลต่อปัญหาดังกล่าว รวมถึงปัจจุบันยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นตามมาอีก

โดยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(21เม.ย.)คาดว่าดัชนีฯน่าจะแกว่งตัวในแดนลบ โดยนักลงทุนควรจับตาทิศทางการเมืองในประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และราคาน้ำมันโลก ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรเทขายทำกำไรรเมื่อดัชนีเข้าใกล้ระดับ 470 จุด และให้แนวรับอยู่ที่ 450 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 470-474 จุด

นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. เอเซียพลัส หรือ ASP กล่าวว่า วานนี้บรรยากาศซื้อขายหลักทรัพย์ค่อนข้างหนาแน่น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ เช่น บมจ.ปตท (PTT) และ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์ทางการเมืองเริ่มสงบลงขณะเดียวกันตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ทยอยประกาศออกมาดีเกินความคาดหมายของนักลงทุนได้กลายเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าปัญหาเศรษฐกิจเริ่มจะชะลอความรุนแรง และถือว่าเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทุนค่อนข้างมาก

ส่วนตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าแกว่งตัวในกรอบแคบๆ นักลงทุนควรรอดูความชัดเจนของปัญหาการเมืองในประเทศ ราคาน้ำมันโลก และการปรับขึ้นลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งถ้าหากเป็นไปได้แนะนำ ให้นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยให้กรอบแนวรับ 460 จุด และแนวต้าน 475 จุด

ด้านน.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป กล่าวว่านอกหุ้นในกลุ่มปตท.ขึ้นนำตลาดเพื่อรับผลบวกจากราคาน้ำมันแล้ว ดัชนียังได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ช่วงนี้เป็นช่วงของการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/52 และได้มีการประกาศงบฯออกมาแล้ว 2 แห่งซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ปัจจัยจากภายนอกประเทศช่วงนี้ดูดีขึ้น เนื่องจากมีความคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น ภายหลังจากที่มีการคาดว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว นอกจากนี้ทางตลาดสหรัฐฯเองก็ได้เข้าสู่ ช่วงของการประกาศผลประกอบการของกลุ่มสถาบันการเงิน

ดังนั้นแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีลุ้นบวกต่อได้ แต่ต้องระวังแรงขายในระหว่างเทรดด้วย เพราะตลาดหุ้นไทยยังมีเรื่องการเมืองที่ปกคลุมอยู่ พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 462 จุด แนวต้าน 479 จุด

บลจ.เชื่อตลาดหุ้นเริ่มสดใส

นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลของเจพี มอร์แกนพบว่าในช่วงวันที่ 12-18 มีนาคมที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดเงินของสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นมากขึ้น สังเกตได้จากเม็ดเงินที่ลดลงจำนวน 30,404 ล้านเหรียญสหรัฐในตลาดเงินและการไหลของเม็ดเงินไปยังตลาดทุนของสหรัฐฯ มากขึ้นประมาณ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดทุนเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่นประมาณ 409 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดย ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กระแสเงินไหลออกจากตลาดเงินมาจาก 1.อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในขาลงส่งผลให้นักลงทุนพยายามแสวงหาการลงทุนอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 2.มองว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำจึงส่งผลใ ห้ความกังวลการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นลดลง อีกทั้งมองว่าแนวโน้มดังกล่าวน่าจะยังมีต่อไปเนื่องจากภาวะความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงผันผวนต่อไปจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ และสภาพเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ซึ่งคาดว่าสิ่งต่างๆ คงต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนในการทำความเข้าใจและให้โอกาสรัฐบาลในการบริหารงาน ดังนั้น จากภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นในการลงทุนแต่ละครั้งนักลงทุนควรควรต้องประเมินเป้าหมายการลงทุนของตนเองให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ โดยมีหลักสำคัญดังนี้ 1.เพื่อความมั่งคั่ง คือ ลักษณะของเงินที่นำมาลงทุนเป็นนั้นต้องเป็นเงินเย็นหรือมีไว้เพื่อการลงทุนโดยเฉพาะไม่ใช่ต้นทุน โดยจะเน้นเป็นการลงทุนระยะยาว ด้วยการเลือกหุ้นในระดับราคาที่เหมาะสม ส่วนจะเป็นหุ้นตัวใดนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ลงทุนเป็นหลัก และเมื่อเป็นการลงทุนในระยะยาว นักลงทุนต้องสามารถรับความผันผวนของราคาในระยะสั้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

2.เพื่อสร้างกระแสเงินสด คือ เป็นการลงทุนในกองอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ระดับ 8-10% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ดีการลงทุนนี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่องที่จำเป็นต้องซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ และ3.รักษาเงินต้นและสภาพคล่อง คือ เลือกลงทุนในตราสารทางการเงิน (มันนี่มาร์เก็ต) เพราะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีในภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ซึ่งหากเปรียบเทียบ กันแล้วจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์

นอกจากนี้ ทางบลจ.วรรณ คาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้คงไม่ปรับตัวลงมาดังเช่นปีที่ผ่านมาและน่าจะมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า จึงไม่น่าจะทำให้มูลค่าของกองทุนหุ้นปรับตัวลดลง

สำหรับในปี 52 บลจ.วรรณ มีแผนจะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ ส่วนขนาดและรายละเอียดคาดว่าจะได้ความชัดเจนในครึ่งปีหลัง โดยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) ในปีนี้น่าจะยังเติบโตจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลทรัพย์สินสุทธิในการบริหาร 71,360.63 ล้านบาท และทางบริษัทฯ เตรียมจะออกกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลี (FIF) ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 4.6% อย่างไรก็ดีปีนี้ยังคงเน้นออกกองประเภท กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ (RMF) ที่ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำเพื่อเป็นทางเ ลือกให้กับนักลงทุน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us